ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 303 เรื่องเหนือความคาดหมาย

บทที่ 303 เรื่องเหนือความคาดหมาย

ดวงตาดำขลับของม่อเหยียนดำราวกับคืนมืด เขาพูดอย่างเชื่องช้า “พูดเช่นนี้แสดงว่าอาจารย์อาใหญ่สงสัยข้า?”

ลู่ยาไม่ลังเลเลย “เป็นไปได้ที่จะเป็นเจ้าจริงๆ”

ม่อเหยียนพลันยิ้มอย่างขมขื่น

“เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่คิดเช่นนั้นแล้ว หากเป็นเจ้า ข้าคิดว่ายามนี้เจ้าคงไม่มีเวลาตามหาคนมาอุ่นเตียงไปทั่ว” ลู่ยามองไปที่เป้ากางเกงเขาอย่างเย็นชา

ม่อเหยียนกุมเป้าทันที ใบหน้างดงามแดงเสียจนเหมือนเพิ่งดื่มสุราร้อนแรงสิบกว่าชั่งในคำเดียว เขาเงียบไปสามวินาทีก่อนหายตัวไป และกลับมาทันทีในเวลาไม่ถึงสามวินาที ครั้งนี้ภายในเสื้อที่เปิดกว้างมีเสื้อตัวในเนื้อหนาขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ปกปิดแม้กระทั่งลำคอ แต่ใบหน้าของเขายังคงแดงซ่านอยู่

ราชาปีศาจที่สามารถร่วมอภิรมย์กับชายหนุ่มได้หลายรอบ กลับยังรู้จักมียางอายด้วย

มู่จิ่วกัดหน่อไม้กรอบดังกร๊อบ ช่างเปิดโลกทัศน์โดยแท้

“อาจารย์อาใหญ่ช่างมองได้แม่นยำ วิเคราะห์ออกมาอย่างมีเหตุผล แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ข้าจริงๆ” ม่อเหยียนกุมเข่าด้วยมือข้างเดียว พูดอย่างช้าๆ “ไม่เพียงไม่ใช่ข้า เกรงว่าแม้แต่ข้าก็ตกเป็นเหยื่อเช่นเดียวกัน”

ลู่ยาชะงักถ้วยที่กำลังจะจรดริมฝีปาก “หมายความว่าอย่างไร?”

ม่อเหยียนยืนขึ้นมา “ท่านตามข้ามาก็จะรู้เอง”

พูดจบก็ยกแขนเสื้อก่อนลุกขึ้นมายืนด้านข้าง

ลู่ยาชะงักเล็กน้อยแล้วยืนขึ้น

มู่จิ่วเห็นแล้วก็รีบยืนตาม

ม่อเหยียนเดินนำอยู่ข้างหน้า ออกจากประตูตำหนักเลี้ยวไปทางตะวันตก ขึ้นไปยังระเบียงทางเดินยาว

ระเบียงทางเดินยาวนั้นคดเคี้ยวลงไปเหมือนงูและยังสร้างอยู่บนผา ด้านหนึ่งเป็นศาลาของสวนดอกไม้ในวัง ด้านหนึ่งเป็นดอกพลับพลึงแมงมุมสีแดงเลือด และด้านนอกของดอกพลับพลึงแมงมุมก็เป็นภูเขาสูงชัน ด้านล่างมีเมฆหมอกปกคลุมจนไม่เห็นพื้น ดวงจันทร์ส่องสว่างกลางท้องฟ้า ทำให้ทิวทัศน์เบื้องหน้ายิ่งดูมืดสลัวและแปลกประหลาด

เดินไปไม่รู้นานเท่าไหร่ เห็นเพียงว่าท้องฟ้ายิ่งมืดมิด มู่จิ่วรู้สึกเครียดขึ้นเล็กน้อย ถึงแม้นางมั่นใจว่าม่อเหยียนไม่ใช่ชายชุดเขียว แต่หากนางมองพลาดล่ะ? หากม่อเหยียนเป็นชายชุดเขียว หากลู่ยากระชากใบหน้าที่แท้จริงของเขาออกมา เช่นนั้นอันดับแรกก็ต้องต่อกรกับพวกเขาแน่ ถึงแม้นางมั่นใจในฝีมือของลู่ยามาก แต่นางยังไม่รู้ว่าฝีมือของชายชุดเขียวมีมากเท่าไหร่ หากเขาแข็งแกร่งกว่าลู่ยาล่ะ?

นางจับแขนลู่ยา อดมองเขาไม่ได้

เห็นเพียงความสงบนิ่งของเขา ราวกับมีแผนการอยู่แล้ว

จากนั้นมองม่อเหยียนที่อยู่ข้างหน้า แต่ละย่างก้าวมั่นคง ไม่มีอะไรผิดปกติ

เดินไปเช่นนี้อีกสักพัก ท้องฟ้ามืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ก่อนจะมีเสียงฟู่หลายเสียงดังมาจากทางด้านหน้า จากนั้นโคมสิบกว่าดวงก็สว่างขึ้นตลอดทาง

เมื่อมีแสงโคมข้างหน้า ทัศนวิสัยของมู่จิ่วก็ชัดเจนขึ้น และนางเห็นม่อเหยียนหยุดออยู่ที่ปลายสุดของโคม

ปลายสุดของโคมคือประตูสำริดขนาดใหญ่ที่ปิดสนิท ปากประตูมีหมอกดำลอยอยู่ มีปีศาจหลายตนที่เห็นหน้าไม่ชัดวนเวียน

ม่อเหยียนสะบัดมือเปิดประตูสำริด ด้านในมีเสียงฟู่ๆ ยามโคมสว่างขึ้น พริบตาเดียวโคมไฟก็สว่างไสว แต่ในประตูมีผนังหินล้อมรอบ ด้านบนวาดตัวอักษรใหญ่ๆ เล็กๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายไว้

หลังจากเข้าไปข้างในแล้ว ประตูพับสำริดทั้งสองฝั่งก็ปิดลงทันที

ม่อเหยียนหันกลับมายืนนิ่ง มองลู่ยาคราหนึ่งก่อนพูด “อาจารย์อาใหญ่คงจะเดาออกแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน”

ลู่ยามองตัวอักษรบนผนังหิน “ในสมัยบรรพกาล สวรรค์ชั้นหกซิวหมีเดิมเป็นพื้นที่หนองน้ำ ภายหลังเมื่อถึงยามที่สิ่งมีชีวิตค่อยๆ ถือกำเนิดขึ้น ที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ล่าสัตว์ หลังจากนั้น สัตว์ที่กินปราณเดิมของฟ้าดินก็มีมากขึ้น ค่อยๆ มีปีศาจปรากฏขึ้นมาและกลายเป็นมาร ซิวหมีจึงเป็นสถานที่ที่มีวิญญาณมารสมบูรณ์ที่สุดในหกภพ”

“หลายหมื่นปีก่อนวิญญาณมารที่อาจารย์หลอมได้ก็มาจากซิวหมี ดังนั้นที่แห่งนี้คงจะเป็นสถานที่พวกเจ้าเก็บซ่อนของวิเศษของภพมาร”

“อาจารย์อาใหญ่พูดได้ไม่ผิด” ม่อเหยียนหยิบเทียนเล่มหนึ่งขึ้นมาจากแท่นหยกใต้กำแพงหิน ก่อนจะใช้นิ้วจุดไฟ เห็นเปลวเทียนพลิ้วไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของพลัง “หลังจากที่ปีนั้นปฐมวิญญาณหลอมวิญญาณมารจากซิวหมีแล้ว ก็ผนึกพลังและสถานที่ที่หลอมไว้ แต่หลังจากที่ข้าพาศิษย์ของลัทธิเจี๋ยเข้ามาดูแลซิวหมี จึงคลายผนึกออกเพื่อกระตุ้นปราณเดิมของที่นี่ และสร้างวังน้ำพุนี้ขึ้นมา”

“เมื่อก่อนวังน้ำพุนี้เป็นสถานที่หลอมวิญญาณ หลังจากหลอมวิญญาณมารแล้วยังทิ้งหินวิญญาณไว้อีกมากมาย พลังวิญญาณบนหินเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้วแม้ยังแข็งแกร่งสู้วิญญาณมารไม่ได้ แต่สามารถรักษาพลังในภพมารของข้าให้สงบ แต่ก่อนหน้านี้ไม่นานหินวิญญาณมารในวังน้ำพุกลับหายไปทั้งหมด”

ม่อเหยียนพูดถึงตรงนี้ก็พลันผลักผนังหินด้านหน้าออก พื้นที่ที่ถูกขวางไว้เมื่อครู่พลันเผยให้เห็นเตาหลอมหินขนาดหนึ่งจั้ง

ไม่รู้ว่าเตาหลอมหินนี้ลึกเท่าไหร่ แต่ระยะสองจั้งจากปากเตาคือหินหนืดสีแดงเพลิง หินหนืดสีแดงนี้ย้อมใต้ดินให้เป็นสีแดง ความร้อนกดดันให้มู่จิ่วถอยหลังไป ท่ามกลางหินหนืดนั้นมีแท่นนั่งอยู่สิบสองที่ บนนั้นว่างเปล่า

ลู่ยาหยักนิ้วทำสัญลักษณ์มือ สร้างปราการเซียนขึ้นปกป้องนาง จากนั้นมองไปยังหลุมลึกอย่างสงสัย “เจ้าหมายความว่ามีคนขโมยหินวิญญาณมารไป?”

“พวกมันไม่อาจหายไปเองได้” ม่อเหยียนตอบ “ราวแปดร้อยปีก่อน ข้ามาตรวจสอบหลุมตามปกติ พบว่าหินวิญญาณมารทั้งสิบสองก้อนหายไปหมด”

“หินวิญญาณมารเป็นของวิเศษของภพมาร สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่ปฐมวิญญาณสร้างขึ้น เต็มไปด้วยพลังของเขาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พูดอย่างโอ้ออวดสักหน่อย แม้กำลังการต่อสู้ของภพมารข้าไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ก็นับได้ว่าเป็นที่สองหรือสาม แต่หินวิญญาณมารกลับหายไปภายใต้สายตาข้าเช่นนี้”

“หลายร้อยปีมานี้ข้าใช้ทุกวิถีทางตามหามัน แต่กลับไม่พบร่องรอยเลยแม้แต่น้อย เมื่อสูญเสียการสะกดจากหินวิญญาณมารไป ช่วงนี้ภพมารของข้าก็ถูกภพอื่นก่อกวน ข้าจึงสั่งให้เข้มงวดระแวดระวังกันทุกเผ่า แต่นี่เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ ปฐมวิญญาณทิ้งหินวิญญาณมารทั้งสิบสองไว้ก็เพื่อทำให้ซิวหมีมั่นคง มาตอนนี้หินหายไปแล้ว พลังวิญญาณในภพมารก็เดือดพล่าน”

พูดถึงตรงนี้เขาก็หันกลับมามองลู่ยา “หากอาจารย์อาใหญ่ไม่บอกว่าเสือลายเหลืองแห่งถิ่นทุรกันดารทางเหนือหลอมวิญญาณร้าย เกรงว่าข้าคงไม่มีวันเชื่อมโยงเรื่องที่หินวิญญาณมารหายไปกับเรื่องนั้นเข้าด้วยกันแน่ ในเมื่อท่านมาหาข้า แสดงว่าหาร่องรอยของคนผู้นี้ได้แล้ว?”

พูดจบเขาก็ยื่นมือมาหาลู่ยา

ลู่ยาก็ไม่เกรงใจ ยื่นมือไปโบกไปมาบนข้อมือเขาก่อนรั้งกลับมา “มีเบาะแสเล็กน้อยจริงๆ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐาน” พูดจบก็เล่าเรื่องคดีทั้งหมดให้เขาฟัง “เมื่อมองไปทั้งใต้หล้า ก็มีเพียงภพมารของเจ้าถึงจะมีความสามารถพลิกฟ้าดินได้ แต่ในเมื่อไม่ใช่เจ้า ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใครไปได้อีก”

บนโลกนี้ยังมีคนใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียววางอำนาจบาตรใหญ่ได้ด้วยหรือ?

คนผู้หนึ่งต่อให้ยิ่งร้ายกาจกว่านี้ แต่เมื่อเป็นเรื่องการสร้างอำนาจย่อมต้องมีผู้สนับสนุน มิฉะนั้นแล้วแม้ทั้งโลกพ่ายแพ้ต่อเขา ใครเล่าจะไปวิ่งรอกทำงานให้? ไม่มีฐานกำลังค้ำบัลลังก์ เรื่องที่จะล้มอำนาจเขาก็เกิดขึ้นได้ตลอด

ชีพจรของม่อเหยียนบอกว่าเขาไม่ได้โกหก

เมื่อตัดหินหนืดในเตาหลอมออกไป ยังหลงเหลือแท่นนั่งสิบสองที่ เตานั้นเป็นสิ่งที่ปฐมวิญญาณสร้างไว้หรือไม่ เพียงมองเขาก็รู้แล้ว ทั้งสายตาและชีพจรของม่อเหยียนล้วนกระจ่างแจ้งว่าเขาไม่ได้โกหก

…………………………………………………………………..

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset