ท่านเทพมาแล้ว – ตอนที่ 71

วัยเด็กที่ไม่น่าจดจำ

พูดในอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้พวกเขาไม่ใส่ใจว่าจะคลี่คลายคดีได้หรือไม่ วิมานหลีเฮิ่นรู้เรื่องนี้ก็กดดันลงมาที่หน่วยลาดตระเวน พวกเขาจึงต้องมาที่ชิงชิวสักรอบเช่นนี้

ราชาจิ้งจอกหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ ไพล่มือเดินช้าๆ ลงมาข้างล่าง ก่อนพูด “เผ่าพันธุ์ชิงชิวของข้ารวมแล้วไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว ในหลายสิบตัวนี้มีสามตัวที่ตายในเงื้อมมือของลัทธิฉ่าน ศิษย์ลัทธิฉ่านมีอยู่ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศ ไม่ถึงแสนก็ต้องถึงเก้าหมื่นเก้า หากนับกันตามสัดส่วนนี้ เผ่าพันธุ์จิ้งจอกของข้าสังหารพวกมันสักพันหรือหมื่นก็ไม่นับว่าผิดหลักนัก ตอนนี้เพิ่งสังหารได้เพียงกี่สิบคน พวกเจ้าร้อนรนอะไร?”

“พูดแบบนี้ไม่ได้ ความดีความชั่วมีบทลงโทษของมันเอง ถึงแม้ฆาตกรจะเป็นลัทธิฉ่าน ก็ต้องสืบเสาะให้ชัดแจ้ง ตามจับฆาตกรตัวจริงก่อนค่อยลงโทษ หากแต่ละคนต่างก็ดูหมิ่นกฎหมายบ้านเมือง ลงโทษคนผิดตามอำเภอใจ หกภพจะไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ?”

ไม่ว่าผู้เฒ่าจะมีหลักตรรกะบิดเบี้ยวอย่างไร มู่จิ่วจะลองพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผลดู

แต่ราชาจิ้งจอกมีท่าทีราวกับไม่อยากฟัง มือทั้งสองซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีพลางพูด “กฎหมายบ้านเมือง? พวกเราชิงชิวมีจิ้งจอกตายสามตัว หนึ่งตัวยังเป็นลูกของคนแก่อย่างข้า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงไม่เห็นสวรรค์ใช้กฎหมายบ้านเมืองช่วยข้า? คราวนี้ข้าเพียงลงมือกับลูกศิษย์หลานศิษย์ของวิมานหลีเฮิ่นไม่กี่คน อวี้ตี้ก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว?”

“นั่นเป็นเพราะท่านไม่ร้องเรียนก่อนเป็นอันดับแรก” มู่จิ่วพูด “ท่านดูสิ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเนินอารามก็เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากตระกูลซ่างกวนส่งคนขึ้นมาร้องเรียน ทัพทหารสวรรค์ก็ลงมือคลี่คลายคดีทันใด ตอนนี้ยังให้ข้าน้อยสืบเสาะต่ออีกด้วย”

พูดปกปิดความอับอายแทนสวรรค์ออกไป มู่จิ่วก็ละอายใจนัก แต่ไม่มีทางเลือก นางเป็นคนของหน่วยงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดจากมุมมองของหน่วยก่อน

“อย่าคิดว่าคนแก่อย่างข้าจะไม่รู้เรื่องเขาเนินอาราม” ราชาจิ้งจอกร้องเหอะเยาะเย้ย “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหล่าชี (คนที่เจ็ด) ของตระกูลเขา จนบัดนี้ได้ออกจากคุกหรือยัง?”

จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้แม้แต่เรื่องซ่างกวนสุ่นถูกจับก็รู้หมด…

มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ยังไม่ทันพูด ราชาจิ้งจอกก็พูดต่อ “หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านเติบโตอย่างรวดเร็ว ในสำนักทั้งหมดบนสวรรค์และพื้นพิภพ หากพวกมันกล้าพูดว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ทุกเรื่องอวี้ตี้ยังต้องไว้หน้าสักสามส่วน พวกมันมาก่อเรื่องฆาตกรรมในชิงชิวของข้า ถือเป็นการอาศัยสวรรค์ที่ไม่มีทางเอาจริงด้วยไม่ใช่หรือ?”

“ร้องเรียน? หากข้าไปร้องเรียน สุดท้ายไม่แน่ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร แม้คนแก่อย่างข้าไม่ออกจากชิงชิวง่ายนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้เรื่องราวภายนอก ลัทธิฉ่านอาละวาดไปทั่ว บนโลกมนุษย์โอดครวญไม่พอใจกันมานานแล้ว ข้าก็ทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง ในเมื่อตอนนี้ลงมือมาถึงชิงชิว พวกเราเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยผ่านไป”

“พวกเราชิงชิวไม่แพ้เผ่าพันธุ์เทพใด ลัทธิฉ่านกล้าสังหารลูกชายข้า เช่นนั้นข้าจะให้พวกมันใช้หนี้เลือดล้างด้วยเลือด!”

“ข้าไม่รังแกเด็ก เรื่องชิงชิวกับลัทธิฉ่านเจ้าไม่ต้องยุ่ง กลับไปซะ!”

ราชาจิ้งจอกเพียงโบกมือ มู่จิ่วก็ต้านไว้ไม่ได้ ลอยถอยออกไป

ยังดีที่ลู่ยาดันหลังนางไว้ให้หยุดนิ่ง ไม่เช่นนั้นคงกลิ้งออกประตูวังไปแล้ว!

มู่จิ่วอดกลั้นความอัดอั้นตันใจพลางทำร่างกายให้มั่นคง คิดจะพูดอีก ลู่ยากลับเดินแทรกขึ้นมาข้างหน้า “ในเมื่อไล่พวกเราไป ภายหลังก็ไม่อนุญาตให้ลูกของเจ้ามาหาเรื่องพวกเราอีก”

คำพูดนี้ของเขาทำให้มู่จิ่วสำลัก!

เขานี่ถ้าไม่พูดให้คนตกใจตายก็จะไม่หยุดจริงๆ!

“ลูกของข้า?” คิ้วของราชาจิ้งจอกพลันขมวด “เจ้าหมายถึงอะไร?”

“หมายความว่าระหว่างทางเมื่อครู่ เส่าชิงบุตรชายคนที่สองของท่าน ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรถึงมาขวางพวกเราไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือด้วย ราชาจิ้งจอกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด คงรู้ดีว่ามีหน้าที่อยู่ไม่อาจละทิ้งได้ เพื่อที่จะรีบมาเข้าพบท่าน เราจึงจำเป็นต้องเชิญให้เขาพักผ่อนอยู่ข้างทางชั่วครู่ แต่ดูเหมือนเขาจะโกรธเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะขอให้ท่านปล่อยพวกเราไปได้หรือไม่”

ราชาจิ้งจอกอึ้งอยู่ตรงนั้น มือชี้มายังพวกเขาทั้งสอง “พวกเจ้ากับเส่าชิง?”

ลู่ยาพยักหน้า “ไม่ผิด เส่าชิงที่มีสัมพันธ์อันดีกับเหล่าลิ่ว (คนที่หก) ของจิ้งจอกขาวเหอเจ๋อคนนั้น”

ราชาจิ้งจอกได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าก็พลันเปลี่ยน กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างยังเบิกกว้างราวกับกระแสไฟฟาด “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเส่าชิงกับเหล่าลิ่วของตระกูลจิ้งจอกขาว…”

เขามองสำรวจลู่ยา ดวงตาทั้งคู่เบิกค้าง เขารีบเดินสองก้าวเข้ามาตรงหน้าลู่ยา พูดขึ้นว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าคุ้นตานัก? เจ้าคือ…หรือเจ้าคือ…” พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปมาก และสองขาจิ้งจอกก็อ่อนแรงลงอย่างควบคุมไม่ได้!

ลู่ยาเปิดปาก “ข้าเป็นเพียงซ่านเซียน ราชาจิ้งจอกย่อมต้องไม่รู้จักข้า”

“ไม่! ข้าต้องเคยพบเจ้ามาก่อน!” ดวงตาของราชาจิ้งจอกพลันเบิกกว้างจนกลมดิก “หรือเจ้าคือ…คือลู่ยาเต้าจู่!”

มู่จิ่วที่อยู่ข้างม่านหน้าต่างสูดลมหายใจเย็นเข้าไป

ลู่ยาพูดอย่างสงบ “ข้าจะเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร? เพียงแค่ท่านอาจารย์ปู่มีวาสนากับลู่ยาเต้าจู่ ข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของสำนักเรา ราชาจิ้งจอกรู้สึกว่าคล้าย อาจเป็นเพราะข้าก็ฝึกพลังสายเสวียนหมิงด้วย?”

พูดจบเขาก็ยื่นข้อมือไปตรงหน้าราชาจิ้งจอก

ราชาจิ้งจอกจับข้อมือเขาไว้แล้วตรวจสอบ…เป็นพลังเสวียนหมิงจริง! แต่กลับยังห่างไกลกับพลังของลู่ยาเต้าจู่มากนัก อย่าถามเลยว่าเขารู้ได้อย่างไร ตอนยังเล็กเขาถูกคนผู้นั้นนำไปเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ระยะเวลาหนึ่ง!

คิดถึงตรงนี้ ราชาจิ้งจอกยังรู้สึกข้อเข่าทั้งสองอ่อนแรงอยู่

ตอนยังเล็กเขาตามปู่ของตนไปอยู่วังจิ่วหลีของหนี่ว์วาเสียหลายปี

ตอนนั้นหนี่ว์วาให้สัตว์อสูรตัวน้อยทั้งหลายรวมตัวฝึกพลังสายเสวียนคงอยู่ที่วังหลังหนึ่ง

ลู่ยาเต้าจู่ทั้งวันไม่มีอะไรทำ ก็วิ่งมาดึงหางดึงหูของพวกสัตว์น้อยที่ด้านหลังวังจิ่วหลี เวลาอารมณ์ดีก็ให้เรียงแถวกินไขกระดูกหยกอยู่ที่สวนดอกไม้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ให้พวกเขาต่อแถว แล้วจับแขวนไว้บนต้นไม้เพื่อทำเป็นชิงช้า เจ้าลองคิดดูสักหน่อย จิ้งจอกเสือขาวและป๋ายเจ๋อตัวน้อยกว่ายี่สิบตัวเข้าแถวรอถูกจับแขวนบนต้นไม้จะเป็นอย่างไร?

ตอนนั้นเขากับเสือขาวหนานกงซีตัวอ้วน ก้นทั้งสองไม่รู้ถูกเตะไปเท่าไหร่ เจ้าปีศาจร้ายตนนี้…ไม่ใช่! เทพเซียนบรรพกาลที่มีพลังไร้ขอบเขตจนผู้คนในสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าได้ยินชื่อแล้วอกสั่นขวัญแขวนผู้นี้ เขาจะไม่รับรู้ถึงความเก่งกาจของอีกฝ่ายได้อย่างไร?

ลู่ยาเต้าจู่เป็นอาจารย์ปู่ของเด็กตรงหน้านี่?

เขาก็รับศิษย์ด้วย?

ไม่ไม่ นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทำไมเขารู้สึกว่าเจ้าคนนี้กับตัวลู่ยาคล้ายคลึงกันหลายส่วน?

ราชาจิ้งจอกจ้องซ้ายขวาด้วยแววตาสงสัย สามแสนปีก่อนลู่ยาย้ายไปอยู่วังชิงเสวียน ห่างจากวังจิ่วหลีไปหลายหมื่นลี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้โลกมนุษย์ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ เขาไม่ได้อยู่บนสวรรค์เท่าไหร่นัก ดังนั้นคำนวณดูก็เป็นหลายหมื่นปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน แต่โครงร่างของลู่ยาเขากลับจำได้ขึ้นใจ ที่จริงเทพเซียนที่หล่อเหลาและโหดร้ายในเวลาเดียวกันอย่างนั้นก็มีไม่มากนัก

แต่ภายนอกเหมือนก็แล้วไปเถอะ สำคัญคือบุคลิกลักษณะ!

เจ้าคนทรามที่ทำอะไรให้ตัวเองสบายใจก็พอนั่น!

พูดถึงตรงนี้เขาก็มองลู่ยาอย่างประหม่า

ทว่าเขาเห็นคนผู้นี้ไม่มองมาทางเขาเลยตั้งแต่ต้น แต่เอามือไพล่หลังสำรวจวังไปรอบๆ อย่างสนใจ ไม่ต่างอะไรกับพวกบ้านนอกที่เข้ามาหาเขาที่นี่เลยแม้แต่น้อย ดูแล้วไม่เหมือนหนึ่งในสี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งปกครองสวรรค์ชั้นสามสิบเก้า…

หรือเขาจะคิดมากไปเอง?

ท่านเทพมาแล้ว

ท่านเทพมาแล้ว

เส้นทางการบำเพ็ญเป็นเซียนของมู่จิ่วราบรื่นนัก แต่พอถึงจุดสำคัญกลับไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเซียนได้ อาจารย์ชี้ทางสว่างให้นาง เดิมทีสามารถปะปนอยู่ในแดนสวรรค์รอเวลาที่จะสำเร็จสมหวัง ไหนเลยจะรู้ว่าไปได้ครึ่งทางกลับเก็บเจ้าตัวปัญหาได้คนหนึ่ง…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset