ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 100 ยุคสมัยที่ดอกไม้ป่าเบ่งบานสะพรั่ง

เผ่าปีศาจเดิมทีมีร่างกายและจิตใจแข็งแกร่ง ไม่ต้องชำระล้างกระดูก ชีพจรก็ผ่านเข้าออกปลอดโปร่งโล่งสะดวก สามารถดึงแสงดวงดาวมาเป็นพลังปราณแท้ได้โดยตรง ทว่าก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ จึงเกิดเป็นข้อด้อยชนิดหนึ่ง เผ่ามนุษย์คิดค้นวิทยายุทธ์การฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมาก เดิมทีเผ่าปีศาจก็หมดหนทางจะใช้ได้ ในเมื่อบังเกิดปรากฏผู้มีพรสวรรค์ไม่กี่ท่าน เหมือนกับวิธีที่เฉินฉางเซิงสอนลั่วลั่ว นับว่าเป็นรูปแบบการลอกเลียนแบบอย่างหนึ่ง หลังจากฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับสูงสุดก็จะพบกับความยากลำบากมหาศาล

ชีพจรของเผ่ามนุษย์สลับซับซ้อนดุจดังมหาสมุทรดวงดาว ระหว่างขับเคลื่อนพลังปราณแท้นั้น เสมือนหนึ่งขับเคลื่อนพลังฟ้าดิน สามารถแสดงวิทยายุทธ์อันเลิศล้ำออกมานับไม่ถ้วน ทว่าตรงกันข้ามกับร่างกายของเผ่ามนุษย์ที่อ่อนแอ ต้องการระยะเวลาในการดึงแสงดวงดาวชำระล้างร่างกายเป็นเวลานาน เมื่อทะลวงขั้น ร่างกายจะดับสลายเผามลายไปอย่างง่ายดาย

สำหรับเผ่ามาร ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ เป็นชีพจรหรือว่าสติปัญญา ล้วนแต่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ มีคุณสมบัติที่ดีพร้อมในการฝึกบำเพ็ญเพียร ทว่าอาจจะเป็นเพราะว่าสมบูรณ์แบบจนเกินไป แม้แต่บนสรวงสวรรค์ยังมีคนอิจฉา ความสามารถในการกำเนิดบุตรของเผ่าพันธุ์นี้ก็จะต่ำอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีปัญหาที่ยุ่งยากจะต้องได้รับการแก้ไข

บนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งที่สมบูรณ์แบบ สิ่งที่เสียใจก็คือ บนร่างกายของเฉินฉางเซิงยิ่งเพิ่มความชัดเจนที่เป็นรูปธรรมนี้

เมื่อเยาว์วัยเขาท่องตำราเต๋าแตกฉาน อ่านตำราร้อยครา สัจธรรมพึงเห็นเองอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ตัวว่าจิตวิญญาณถูกขัดเกลาให้แข็งแกร่งไร้สิ่งใดเปรียบ ถ้าหากเขาสามารถชำระล้างกระดูกสำเร็จ ไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะเป็นโกว่หานสือคนที่สอง สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ตอนนี้มองแล้ว การฝึกบำเพ็ญเพียรด่านแรกเขาก็ยากที่จะทะลุทะลวงไปได้

“ลัทธิเต๋าสูงส่ง ยากยิ่งประเมินได้ พวกเราจักต้องเสาะแสวงหา มานะบากบั่น”

เฉินฉางเซิง เอ่ยต่อ “นี่เป็นประโยคที่ศิษย์พี่เคยเอ่ยกับข้า ข้าจำขึ้นใจมาตลอด”

“ศิษย์พี่เจ้าจะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่”

จินอวี้ลวี่ชื่นชมออกมา หลังจากนั้นจ้องมองไปยังเฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วพลางกล่าวต่อ “ในภายภาคหน้าพวกเจ้าจะต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่”

ถังซานสือลิ่วเป็นหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์มีตำแหน่งอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น ทว่าสามารถได้รับคำชื่นชมจากผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นตำนานเช่นนี้ ทว่ากลับเป็นเพราะลักษณะนิสัย จินอวี้ลวี่ชื่นชมที่เขาตัดสินใจออกจากสำนักเทียนเต้าอย่างยิ่ง สภาพจิตใจเมื่อประสบกับเรื่องราว มีสภาพจิตใจเช่นนี้ ในภายภาคหน้าจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่

แม้เซวียนหยวนผ้อไม่อยู่ในเหตุการณ์ จินอวี้ลวี่ก็มองเขาในแง่ดีอย่างยิ่ง เพราะหนุ่มน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์เผ่าปีศาจค่อนข้างจะแปลกประหลาด มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกสำนักเด็ดดารารับเป็นศิษย์ ยามนี้พบเจอกับอาจารย์ยอดเยี่ยมดังเช่นเฉินฉางเซิงในสำนักฝึกหลวง ความก้าวหน้าในภายภาคหน้าคงจะรวดเร็วอย่างน่าทึ่ง

ใช่แล้ว เขาให้ความสนใจที่สุดก็คือเฉินฉางเซิง เป็นเพราะเขาคืออาจารย์ขององค์หญิงลั่วลั่ว เขาชัดเจนยิ่งนักในระยะเวลาไม่กี่เดือนในสำนักฝึกหลวงองค์หญิงลั่วลั่วมีการพัฒนาไปถึงระดับไหน อีกทั้งการพัฒนาเหล่านี้ยังมาจากหนุ่มน้อยที่คล้ายกับธรรมดาผู้นี้

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ หนุ่มน้อยทั้งสามราวกับไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความหวาดกลัว สิ่งใดเรียกว่าถอดใจ พวกเขามีมุมมองในการมองโลกใบนี้เป็นของตนเอง อีกทั้งยังเด็ดเดี่ยว จิตใจดุจดังกระจกที่แวววาว เมื่อแสงอาทิตย์ทาบทับลงยังร่างกายพวกเขา จะสะท้อนหักเหเป็นแสงที่แพรวพราวละลานตา

จินอวี้ลวี่คิดอย่างใจหาย สำนักฝึกหลวงคล้ายกับว่าทรุดโทรมเงียบเหงา ทว่าตอนนี้มีนักเรียนหนุ่มน้อยที่ยอดเยี่ยมทั้งสาม เพียงแค่ไม่ถูกสายลมสายฝนบ้าระห่ำทำให้สูญสลายไปฉับพลัน การฟื้นคืนของสำนักฝึกหลวงสามารถกล่าวได้ว่านับวันรอได้

ได้ยินคำชื่นชมจากผู้อาวุโส เฉินฉางเซิงรู้สึกเก้อเขิน ยกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน ใบหน้าหน้าถังซานสือลิ่วเป็นปกติ ไม่รู้ว่ากอบกุมมือที่เต็มไปด้วยผิวหนังด้านของจินอวี้ลวี่แล้วแกว่งไม่หยุดตั้งแต่เมื่อไหร่ เอ่ยชื่นชมออกไป “ท่านผู้อาวุโสมีตาทิพย์ดุจดังเปลวเพลิง”

จินอวี้ลวี่ชักมือกลับ นำมือไขว้ไว้ด้านหลังเดินไปยังหอตำรา ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมทิ้งไว้หนึ่งประโยค

“ใต้หล้าผู้มีพรสวรรค์ปรากฏสับเปลี่ยน ทุกคนเฉิดฉายเพียงชั่วขณะหนึ่ง”

ใช่แล้ว การเจริญก้าวหน้าของดินแดนต้าลู่เดิมทีมิใช่เส้นตรง ผู้แกร่งกล้าเดิมทีมิได้ปรากฏออกมาตามอายุปี มีบางครั้งร้อยกว่าปีไม่ปรากฏผู้แกร่งกล้าที่อยู่ขั้นรวบรวมดวงดาวแม้แต่ผู้เดียว และบางครั้งเพียงแค่สิบกว่าปีก็ปรากฏผู้แกร่งกล้าขั้นอำพรางเทพติดต่อกันหลายท่าน!

ก็เหมือนกับดอกไม้ป่าที่อยู่ตามเนินเขามิปาน ฤดูร้อนไม่มี ฤดูใบไม้ร่วงไม่มี ฤดูหนาวไม่มี จนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิ อยู่ๆ ทั้งหมดก็ผลิดอกเบ่งบานออกมา ทว่าระยะเวลาของดอกไม้กับสภาพอากาศนั้นเกี่ยวข้องกัน แล้วอัตราของผู้แกร่งกล้าปรากฏออกมาจะเกี่ยวข้องกับสิ่งใดกันเล่า

ปรากฏการณ์เช่นนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ไร้กฎระเบียบใดๆ ไร้เหตุผลใดๆ มีแต่ความนิ่งเงียบเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ราวกับว่ากำลังพักผ่อน จนกระทั่งถึงเวลาหนึ่ง ทั่วทั้งต้าลู่รู้สึกว่าเงียบเหงา ต้องการผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ออกมา พวกเขาจึงปรากฏออกมา

เวลาพันกว่าปีใกล้กันนี้ ในดินแดนต้าลู่มีผู้แกร่งกล้าจำนวนมากปะทะกันสองครั้ง ต้าโจวในยุคราชวงศ์ก่อนมีอำนาจทั่วทั้งใต้หล้า หลังจากก่อตั้งนิกายหลวง และระยะเวลาก่อนหน้านี้หลายร้อยปี ใต้หล้าวุ่นวาย ต้าลู่แบ่งแยกดินแดนออกอย่างชัดเจน มีผู้แกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนแบ่งพรรคแบ่งพวก การปะทะต่อสู้กันมิหยุดพัก หลังจากนั้นทยอยกันเสียชีวิตดุจดังดวงดาราร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ก่อนหน้านี้หลายร้อยปี เผ่ามารเข้าบุกรุกโจมตี จักรพรรดิไท่จงกับจักรพรรดิไป๋ตี้องค์ก่อนได้ร่วมมือกัน นำผู้แกร่งกล้าของดินแดนต้าลู่นับไม่ถ้วน เข้าต่อต้านพลังอันน่าเกรงกลัวของเผ่ามาร ก็เหมือนกับดวงดาราที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้าเช่นกัน ดวงดาราที่ตกลงมาเหล่านั้นเคยเปล่งประกายระยิบระยับมาก่อน

นั่นเป็นยุคสมัยของกลุ่มดวงดาวผู้เปล่งประกายระยิบระยับทั้งสองกลุ่ม

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ใต้เท้าสังฆราช จักรพรรดิขาว ผู้นำเทือกเขาหลีซาน เทพธิดาทางทิศใต้ รวมถึงจินอวี้ลวี่เอง และยังมีเฟ่ยเตี่ยน เสี่ยวซงกง…ล้วนแต่เป็นผู้แกร่งกล้าที่หลงเหลือมาจนถึงยุคหลัง ยุคนั้นห่างจากขณะนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี

ดินแดนต้าลู่ก็สงบเกินไปมานานหลายปีแล้ว

เริ่มจากหลายสิบปีก่อน หากจะกล่าวให้ถูก จากระหว่างที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เริ่มครองราชย์ ผู้แกร่งกล้าในดินแดนต้าลู่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่ๆ ต้าลู่ก็มีผู้แกร่งกล้าขั้นรวบรวมดวงดาวจำนวนมากมายจนขนาดถึงเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอำพรางเทพปรากฏกาย ทว่ามีคนหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ปรากฏมากมาย

ดังเช่นขณะนี้คนหนุ่มเหล่านั้นที่อยู่ในประกาศได้อย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นชิวซานจวิน ม่ออวี่ สวีโหยว่หรง โกว่หานสือ ลูกสุนัขป่าทางทิศเหนือผู้นั้น ลั่วลั่ว…และยังมีอีกมากมาย

หากวิเคราะห์ตามอายุของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยปี พวกเขาล้วนแต่เป็นคนหนุ่ม ตอนนี้พวกเขาอาจจะยังอยู่ในขั้นทะลวงอเวจี หากเปรียบเทียบกับบรรดาผู้แกร่งกล้าอาวุโสก็มิอาจนับอะไรได้ ทว่าผู้คนทั้งหมดล้วนแต่มองเห็นคุณสมบัติความสามารถของพวกเขา มองเห็นอนาคตพวกเขา รู้ดีว่าพวกเขาสามารถไปได้ไกล

สองสามปีมานี้ ประกาศชิงอวิ๋นและประกาศจินเตี่ยนทั้งสองนี้ การชุมนุมไม้เลื้อยรวมถึงกิจกรรมประลองของบรรดาสำนักต่างๆ ไปจนถึงการสอบใหญ่ที่นับวันยิ่งได้รับความสำคัญ ทุกสำนักล้วนแต่ให้ความใส่ใจต่อบรรดาลูกศิษย์วัยเยาว์มากยิ่งขึ้น เพราะว่าทุกคนล้วนแต่ให้ความสนใจกับแนวโน้มนี้พอดี

จินอวี้ลวี่เชื่อว่า หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุนั้นสาเหตุนี้ หนุ่มน้อยทั้งสามของสำนักฝึกหลวง คงจะไม่เหมือนหนุ่มน้อยเหล่านั้นที่จะเดินไปด้วยหนทางที่ราบเรียบ ทว่าอนาคตของพวกเขาจะต้องเปล่งประกายภายใต้แสงรัศมีแวววาวของตนเอง แผดเผาความโดดเด่นของตนเองออกมา

หลังเดินออกจากหอตำราหยุดยืนอยู่บนขั้นบันไดหิน ผู้อาวุโสที่เคยผ่านประสบการณ์สู้รบกับเผ่ามารจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่มีดวงดาวเดียรดาษเงียบๆ คิดไปถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ท่าทางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้ม จิตใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง

จากคำกล่าวของโจวตู้ฟูในปีนั้น อัตราการปรากฏของผู้แกร่งกล้าในต้าลู่มีความเกี่ยวพันกับโชคชะตาอย่างแนบแน่น และเกี่ยวข้องกับระยะเวลาหลายร้อยปีหลังจากการสู้รบกับเผ่ามาร ดินแดนต้าลู่มีลมฝนในปริมาณที่พอเหมาะ อยู่เย็นเป็นสุขอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จำนวนการปรากฏของผู้แกร่งกล้ามีน้อยอย่างยิ่ง เช่นนั้นทุกวันนี้บรรดาหนุ่มน้อยผู้แกร่งกล้าได้ปะทุพรั่งพรูออกมา หรือจะหมายความว่าความสงบสุขได้สิ้นสุดลงแล้วหรือ

เนื่องด้วยตั้งแต่แรกเริ่มถึงสิ้นสุดการชำระล้างกระดูกไม่มีผล ระยะไม่กี่วันนี้เฉินฉางเซิงจึงไม่ได้นั่งสมาธิใคร่ครวญทั้งคืน และมิได้เกี่ยวข้องกับการถอดใจแต่อย่างใด ยิ่งไม่ใช่การล้มเลิกความตั้งใจ เพียงแค่เป็นวิธีใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง เมื่อเขาหยุดนั่งสมาธิใคร่ครวญ เซวียนหยวนผ้อก็สิ้นสุดการออกกำลังกายข้างทะเลสาบ

เซวียนหยวนผ้อแขนขวาได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะนี้ยังไม่สามารถฝึกฝนได้ชั่วคราว จึงทำได้เพียงออกกำลังกาย เฉินฉางเซิงสงสารต้นไม้ใหญ่ข้างริมทะเลสาบเหล่านั้นกับสิ่งที่ต้องพบเจอ เป็นธรรมดาที่จะไม่รักษาเขาอย่างสบายๆ เพียงแค่เทียนไห่หยาเอ๋อร์ลงมือค่อนข้างโหดร้าย ชีพจรและกระดูกของแขนขวาเซวียนหยวนผ้อแตกละเอียดทั้งสิ้น บวกกับความพิเศษของร่างกายเผ่าปีศาจ ทำให้การรักษาเป็นสิ่งที่ยุ่งยากขึ้นมาก ถึงแม้จะเป็นแพทย์หลวงในพระราชวังต่างก็หมดสิ้นจนปัญญา ถึงแม้เขาจะจดจำวิธีการรักษาทางการแพทย์โบราณไม่กี่แบบได้ ทว่าอยากจะรักษาเขาจำเป็นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน อีกทั้งยังเหน็ดเหนื่อยยิ่ง

ใช้น้ำอุ่นล้างมือ เช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นหน้าผากทิ้ง เฉินฉางเซิงให้เซวียนหยวนผ้อไปพักผ่อน ตัวเขาเองกลับเป็นเพราะว่าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเกินไป ไร้หนทางที่จะสงบจิตใจนอนหลับได้ทันที ประจวบเหมาะกับเห็นแสงดวงดาวในค่ำคืนนี้ จึงเดินเล่นในป่าริมทะเลสาบ

เขาปีนป่ายไปยังต้นไทรย้อย จ้องมองไปตรอกจิงตูที่อยู่ด้านนอกกำแพง

ยืนอยู่บนต้นไม้จ้องมองทิวทัศน์ ได้กลายเป็นความเคยชินส่วนหนึ่งของชีวิตเขาไปแล้ว และก็เปลี่ยนเป็นภาพทิวทัศน์ภาพหนึ่งของสำนักฝึกหลวง

ท้องฟ้ายามราตรีมีดวงดาวนับไม่ถ้วน ในเมืองจิงตูมีแสงโคมไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นหลัง ต่างส่องแสงแพรวพราวให้กันและกัน จ้องมองเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว สุดท้ายเจ้าก็ยากที่จะแยกแยะว่าด้านไหนคือท้องฟ้า ด้านไหนคือพื้นดิน

เขาจ้องมองเป็นระยะเวลายาวนาน อยากจะแน่ใจว่าในแสงโคมไฟจากบ้านเรือนนับหมื่นหลังตำแหน่งไหนคือพระราชวังหลี และก็ไม่รู้ว่าที่แห่งนั้นจะมีคนกำลังจ้องมองสำนักฝึกหลวงหรือไม่

ลั่วลั่วจากไปเพียงแค่ไม่กี่วัน เขาปีนป่ายขึ้นต้นไม้จำนวนหลายต่อหลายครั้ง

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเบาๆ มาจากทางด้านหลัง จึงหันกายกลับไปมอง ทว่าพบเพียงป่าไม้ที่มืดมิดผืนหนึ่ง มีแสงโคมไฟสลัวๆ จากที่ไกล คงจะเป็นสวนร้อยหญ้า ดูเหมือนว่าจะมีคนอยู่ที่นั่น

เขารู้สึกตกตะลึง ลั่วลั่วกับคนของนางได้ย้ายไปที่พระราชวังหลี สวนร้อยหญ้าไร้ผู้คน มืดสนิทมาหลายค่ำคืนแล้ว เพราะเหตุใดเวลานี้อยู่ๆ ถึงปรากฏแสงไฟกับเสียงคนเล่า เขามองไปยังประตูสำนักตามจิตใต้สำนึก พบว่าเสียงโคมไฟในห้องไม้เล็กๆ ยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ ผู้ช่วยจินคงจะยังอยู่ข้างใน เช่นนั้น…ผู้ใดอยู่ในสวนร้อยหญ้าเล่า

หรือว่าจะเป็นลั่วลั่ว

เขารู้ว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยอย่างยิ่ง ถ้าหากลั่วลั่วออกมาจากพระราชวังหลี อันดับแรกจะต้องมาที่สำนักฝึกหลวงเป็นแน่ แต่ในจิตใจเขากลับมีความคิดที่ว่าถ้าหาก จึงกระโดดลงจากกิ่งต้นไม้ลงมายังพื้นดิน เดินไปยังแสงโคมไฟที่อยู่ไกลออกไป

จากต้นไทรย้อยใหญ่มาสู่พื้นดิน แสงโคมไฟที่สลัวแสงนั้นก็มองไม่เห็นเสียแล้ว คงจะถูกกำแพงที่สูงชะลูดระหว่างสำนักฝึกหลวงและสวนร้อยหญ้าบดบัง เขาเดินไปตามทางที่อยู่ในความทรงจำ มุ่งไปทางด้านหน้าต่อ เดินไปถึงกำแพงที่อยู่ด้านหลังอาคารหลังเล็กๆ เปิดประตูบานนั้นออก

นั่นเป็นประตูบานที่ลั่วลั่วทุบเปิดไว้

จากวันนั้นที่ประตูบานนี้ได้เริ่มปรากฏขึ้น สำนักฝึกหลวงกับสวนร้อยหญ้าได้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงเปิดประตู มองระเบียงทางเดินหินที่มีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ด้านหน้าสายตา เงียบนิ่งชั่วครู่ หลังจากนั้นจึงเดินต่อไป

สำนักฝึกหลวงกับสวนร้อยหญ้ามีเพียงกำแพงกั้น มีประตูลอดผ่านหากัน ทว่านี่เป็นเพราะเหตุผลบางประการ เขาไม่อยากเดินเข้าไปในชีวิตของลั่วลั่วให้ลึกเกินไป เวลาเดียวกันก็ไม่อยากล่วงรู้ฐานะที่แท้จริงของลั่วลั่ว หลีกเลี่ยงที่จะเกิดความอึดอัดแก่ทั้งสองฝ่าย ด้วยเหตุนี้นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาเดินเข้าไปในสวนร้อยหญ้า

เคยเป็นสวนของพระราชวงศ์ หลังจากนั้นถูกตำหนักคุณธรรมสวรรค์นิกายหลวงดูแลการเพาะปลูกให้เป็นสวนพืชสมุนไพรผลไม้วิญญาณ การดูแลรักษาสวนร้อยหญ้าเป็นธรรมดาที่จะเข้มงวด ทว่าล้วนแต่รวมอยู่ติดตรอกไป่ฮวาและกำแพงทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกทั้งสองทิศทางนี้ อยู่ติดกับสำนักฝึกหลวงที่ไร้ผู้คนทางด้านนี้

ในสวนป่าแห่งนี้ปลูกพืชสมุนไพรมากมายร้อยชนิดเชียวหรือ เฉินฉางเซิงหยิบยืมแสงดวงดาวมองเข้าไปเห็นพืชสมุนไพรล้ำค่าและหายากที่อยู่ในบันทึกตำราสมุนไพรนับไม่ถ้วน และยังเห็นเหมือนผลชาดสีเข้มซึ่งเป็นผลไม้ล้ำค่าที่มีผลการรักษาอันน่าทึ่งกวัดแกว่งเบาๆ ไปตามลมอยู่บนกิ่งไม้

สำหรับสมุนไพรและผลจิตวิญญาณเหล่านี้ เขามิได้ประหลาดใจ เหตุเพราะในระยะเวลาหลายเดือนมานี้ โชคดีที่มีลั่วลั่ว เขาจึงเคยกินมาไม่น้อย

พื้นดินของป่าฤดูใบไม้ร่วงสะสมใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา สัมผัสเข้ากับน้ำค้างยามค่ำคืนจึงเปียกชุ่มเล็กน้อย ทำให้เมื่อเหยียบย่ำลงไปไม่มีเสียงใดๆ

เขาเดินไปตามทางที่มีร่องรอยของเส้นทางเข้าไปในป่า ห่างจากแสงโคมไฟสลัวยิ่งนานยิ่งใกล้ทุกที

ในที่สุดเขาจึงมาถึงด้านหน้าของแสงโคมไฟ

ในป่าฤดูใบไม้ร่วงมีโต๊ะหินที่ก่อขึ้นง่ายๆ บนโต๊ะตัวนั้นมีตะเกียงน้ำมันธรรมดาเล็กๆ วางไว้

นั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวนั้นมิใช่ลั่วลั่ว แต่เป็นสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง

แสงตะเกียงน้ำมันทาบทับบนใบหน้าของนาง ชัดเจนว่าเป็นใบหน้าที่ธรรมดายิ่งนัก กลับทำให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้ยากยิ่ง ความรู้สึกไม่ธรรมดาอย่างมาก

หรือว่า เพราะป่าฤดูใบไม้ร่วงที่แน่นขนัดและแสงโคมไฟสลัวเกินไปกันเล่า

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset