ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 107 สงครามริมฝีปาก

เมื่อสายตาสบมองกัน เช่นนั้นจึงยากยิ่งที่จะเสแสร้งแกล้งเป็นไม่เห็น เฉินฉางเซิงก้มหน้าลงเป็นการทักทาย ใต้ต้นเสวี่ยซง มีลูกศิษย์คนหนึ่งของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่อายุมากกว่าผู้อื่นพยักหน้าเล็กน้อย การกระทำของทั้งสองถึงแม้จะเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเป็นการแสดงมารยาท หญิงสาวที่เหลือสิบกว่าคนจึงทำความเคารพกลับเฉินฉางเซิง

มีนักเรียนสตรีผู้หนึ่งใบหน้าอ่อนเยาว์กลับไม่ได้ทำความเคารพใดๆ ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยความรู้สึกเยือกเย็น สายตาที่จ้องมองเฉินฉางเซิงเฉยชาถึงขีดสุด ลูกศิษย์สตรีที่อายุมากกว่าคนก่อนหน้านี้คงจะเป็นศิษย์พี่ของนาง กล่าวเสียงต่ำไม่กี่ประโยค หญิงสาวผู้นี้โมโห กล่าวตอบ “ศิษย์พี่โหย่วหรงจะสมรสกับเขารึ ในเมื่อไม่ใช่ แล้วเหตุใดข้าจะต้องเคารพเขาด้วยเล่า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของบรรดาลูกศิษย์เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จึงเปลี่ยนไป กลับไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอย่างไร ศิษย์พี่ผู้นั้นยิ่งไม่อาจทนไหว เดินตรงไปด้านหน้าต้นเสวี่ยซง อบรมสั่งสอนนางด้วยเสียงเบาๆ ไม่กี่ประโยค ทว่าหญิงสาวผู้นี้กลับไม่สะทกสะท้าน จ้องมองเฉินฉางเซิงแสยะยิ้มเยือกเย็นออกมา “คางคกอยากกินเนื้อหงส์รึ คนที่คิดเพ้อเจ้อเช่นนี้จะมีอะไรให้สนใจเล่า ศิษย์พี่ ท่านก็อย่าได้สนใจเขา”

เมื่อนางกล่าวออกมา มิได้กดเสียงให้ต่ำลง แต่จงใจให้เฉินฉางเซิงและพวกได้ยิน เมื่อแรกเริ่ม เฉินฉางเซิงคิดว่าเป็นเพียงแค่นักเรียนหญิงเยาว์วัย ไยจะต้องสนใจ ครั้นได้ยินประโยคที่สอง ย่างก้าวของเขาจำเป็นต้องหยุดชะงัก เป็นเพราะว่าถังซานสือลิ่วไม่ยอมเดินต่อไป

หญิงสาวผู้นั้นมีใบหน้างดงาม อายุก็ยังอ่อนวัยที่สุด คิดไม่ถึงกลับเอ่ยประโยคที่โหดร้ายเช่นนี้ เสียงของนางผ่านไปไกลอย่างยิ่ง บรรดานักเรียนของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ที่ยังอยู่ด้านหน้ายังอยู่ในอาการปกติ ทว่าบรรดานักเรียนของหอจงซื่อและสำนักจวนราชวังหลีที่อยู่ไกลออกไป หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

ทางเดินของพระราชวังหลีกว้างขวางและก็ยาวอย่างยิ่ง สายตาของถังซานสือลิ่วจ้องมองไปยังด้านหน้าเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินประโยคของนักเรียนหอจงซื่อก็อดกลั้นมาเป็นเวลานาน เวลานี้ได้ยินประโยคที่โหดร้ายของหญิงสาวผู้นี้ และได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเหล่านั้น ไฉนจะยินยอมอดกลั้นต่อไปได้เล่า

ได้ยินเสียงหัวเราะของทางเดินที่อยู่ด้านข้าง หญิงสาวนางนั้นมิได้ใส่ใจ กลับรู้สึกลำพองใจเล็กน้อย จ้องมองเฉินฉางเซิง ทำเสียงฮึดฮัดออกจมูก กล่าวกับบรรดาศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้าง “ได้ยินหรือไม่ แม้แต่คนต้าโจวล้วนแต่คิดว่าข้ากล่าวมีเหตุผล”

พระราชวังยามเช้าตรู่เงียบสงัดอย่างยิ่ง น้ำเสียงหัวเราะเหล่านั้นกลับสะท้อนไปยังกลุ่มของตำหนักและในป่า แสบแก้วหูอย่างยิ่ง

บรรดานักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีกับหอจงซื่อต่างก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบเยาะหยันกับคำกล่าวที่โหดร้ายของหญิงสาวผู้นี้มากยิ่งขึ้น เป็นเพราะประโยคที่ว่าคางคกอยากกินเนื้อหงส์ซึ่งขณะนี้เป็นเรื่องเล่าขบขันที่มีโด่งดังที่สุดในจิงตู เป็นการกล่าวถึงการสมรสระหว่างเฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรง

ไม่มีผู้ใดกล้าไปพูดที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวง เป็นธรรมดาที่ไม่กล้ากล่าวต่อหน้าเฉินฉางเซิงซึ่งเป็นคนในเรื่องเล่านี้ วันนี้กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งเอ่ยออกมา นักเรียนที่เกรงกลัวเรื่องราวจะวุ่นวายไม่ใหญ่พอเหล่านั้นจะมีเหตุผลอะไรที่ไม่หัวเราะเยาะตามเล่า

“ข้ามองแล้ว…ประโยคนี้เกรงว่าจะต้องคัดลอกลงในพจนานุกรม กลายเป็นสุภาษิตคำพังเพยที่ใช้กันทั่วในต้าลู่กระมัง”

กลุ่มผู้คนของหอจงซื่อเสียงดังออกมา ไม่รู้ว่าเป็นคนก่อนหน้าที่เย้ยหยันเฉินฉางเซิงหรือไม่ มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครา

เฉินฉางเซิงจ้องมองหญิงสาวที่อยู่ใต้ต้นเสวี่ยซง จ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ ในใจครุ่นคิดอายุน่าจะประมาณสิบสองปี คงจะพอๆ กับลั่วลั่ว จึงลังเลใจเล็กน้อย

ศิษย์พี่ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นคลี่ยิ้มเป็นการขออภัยแก่เขา

หญิงสาวผู้นั้นเห็นสายตาของเฉินฉางเซิง กลับมิได้สะทกสะท้าน แสยะยิ้มกล่าวออกไป “มองอะไร หรือว่าข้ากล่าวอะไรผิด”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ กล่าวว่า “แท้ที่จริงเจ้ากล่าวผิดแล้ว”

หญิงสาวผู้นั้นมองเขาอย่างเหยียดหยาม เอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าบอกมา ที่จริงแล้วข้าพูดผิดตรงไหน เจ้ามีตรงไหนที่คู่ควรกับศิษย์พี่โหย่วหรง”

“นางแท้จริงแล้วเป็นหงส์จริงๆ”

เฉินฉางเซิงมองนางพลางกล่าวต่อ “ทว่าข้ามิใช่คางคกอย่างแน่นอน”

เขายังอยากจะกล่าวต่อ ตนเป็นคางคกที่มิได้สนใจเนื้อหงส์

หญิงสาวผู้นั้นไม่ให้โอกาสเขา กล่าวเยาะหยันต่อ “เจ้าพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ เช่นนั้นเสียงหัวเราะดังลั่นเมื่อครู่ ต่างหัวเราะผู้ใดกัน”

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผู้ใด”

เฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็จ้องมองไปยังด้านในของต้นเสวี่ยซง เอ่ยว่า “แต่ข้าทราบดีว่า มีคนที่ไม่คิดว่าข้าเป็นคางคกตัวหนึ่งเป็นแน่”

ประตูของสวนเล็กไม่รู้ว่าเปิดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ โก่วหานสือนำศิษย์น้องสามคนของหอกระบี่เขาหลีซาน ผ่านทะลุออกจากป่ามา เดินมาถึงด้านข้างของทางเดิน

โก่วหานสือได้ยินประโยคที่เขากล่าวกับหญิงสาวก่อนหน้านี้ รู้ดีถึงความหมายประโยคสุดท้ายของเขา มีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ พยักหน้าพลางเอ่ยออกไป “เจ้ามิได้เป็นคางคกเป็นแน่ ถ้าหากว่าเจ้าเป็น เช่นนั้นพวกข้าจะนับว่าเป็นอะไร”

เสียงหัวเราะด้านหน้าตำหนักพลันหายไป ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ

การชุมนุมไม้เลื้อย สำนักฝึกหลวงชนะหอกระบี่เขาหลีซาน มีเพียงคนที่อยู่ในงานเท่านั้นที่รู้ดีว่าผู้ใดเป็นบุคคลสำคัญ

ถึงแม้ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเฉินฉางเซิงแข็งแกร่งกว่าโก่วหานสือ ทว่าอย่างน้อยเขาก็มิได้เป็นรอง

ถ้าหากเขาเป็นคางคก โก่วหานสือเป็นอะไร แล้วเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพเป็นอะไรเล่า

ผู้คนหัวเราะเยาะเฉินฉางเซิง หรือว่ากำลังตบหน้าหอกระบี่เขาหลีซานอยู่กันแน่

ด้วยเหตุนี้จึงมิกล้ามีผู้ใดเอ่ยปาก ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงหัวเราะ หญิงสาวของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น จ้องมองโก่วหานสือไม่สงบอย่างยิ่ง อยากจะอธิบายบางอย่าง ทว่ากลับไม่รู้จะอ้าปากเอ่ยอย่างไรดี

ในกลุ่มฝูงชนของสำนักจวนราชวังหลี ซูม่ออวี๋จ้องมองทางนั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดโก่วหานสือต้องปรากฏตัว กล่าวแทนเฉินฉางเซิงอีกด้วย

มีเพียงเฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือถึงเข้าใจชัดเจน นอกจากหอกระบี่เขาหลีซานจะแสดงน้ำใจออกมา ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง เป็นเพราะว่าชิวซานจวิน เฉินฉางเซิงกับสวีโหย่วหรงมีหนังสือสมรสทั้งสองฝ่าย ชิวซานจวินยืนอยู่ในที่ห่างไกลของการสมรส เรื่องนี้ไม่อาจทำให้เป็นเรื่องอับอายขายหน้าเกินไป

ต้นเสวี่ยซงงดงามเงียบสงบ

เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือคารวะกันและกัน

ไร้ผู้คนสนใจหญิงสาวผู้นั้น รวมถึงศิษย์พี่ของนางด้วย ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ ทำให้นางรู้สึกตึงเครียด ล่วงเกินศิษย์พี่ของพรรคฉางเซิง สำหรับนางแล้วเป็นเรื่องที่มิได้คาดฝัน นางลุกลี้ลุกลน กล่าวปนด้วยน้ำเสียงร้องไห้ “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เขา…เขายังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร หรือว่ามิใช่เป็นเพียงของไร้ประโยชน์หรอกรึ”

ได้ยินประโยคนี้ บรรยากาศของที่เกิดเหตุได้เงียบขึ้นอีกครา

กวนเฟยไป๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ชื่นชอบการกระทำของหญิงสาวผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง อันดับห้าเหลียงปั้นหูส่ายหน้า จิตใจมุ่งมั่นการฝึกบำเพ็ญเพียร แม้แต่ชีเจียนที่ไม่ค่อยเข้าใจบนโลกใบนี้ ยังล้วนแต่รู้สึกว่าคำพูดนี้เกินไป มองไปยังโก่วหานสือ คาดหวังว่าศิษย์พี่จะทำสิ่งใดบางอย่าง

โก่วหานสือท่าทางยากจะเข้าใจ ไม่ได้ทำสิ่งใดออกมา ถึงแม้จะเป็นลูกศิษย์ของพรรคทางทิศใต้ ถึงแม้จะเรียกเหมือนกัน เป็นดั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ทว่าแต่ละพรรคก็ยังคงมีอิสระเป็นของตนเอง เขาคือศิษย์พี่อันดับสองของพรรคฉางเซิง หมดหนทางที่จะก้าวก่ายเรื่องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ทว่ามีคนที่อยากก้าวก่ายนานแล้ว

“ข้าแปลกใจยิ่งนัก เพราะเหตุใดเจ้าถึงเกลียดชังเฉินฉางเซิงอย่างยิ่งเล่า…ถึงแม้บางทีเขาจะน่าเกลียดชังจริงๆ” ถังซานสือลิ่วอยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา

หญิงสาวผู้นั้นมองเฉินฉางเซิงด้วยสายตาเกลียดชัง ทว่ามิได้ตอบกลับ

“ถึงแม้เจ้าจะมีพรสวรรค์อีกเท่าไหร่ก็ไม่อาจเหนือกว่าหงส์ตัวนั้น นี่ยังไม่ต้องกล่าวถึงนิสัยที่มีปัญหาของเจ้า ตามอายุของเจ้าแล้ว เจ้าก็คงไม่อาจเข้าสถานศึกษาหนานซีได้ เช่นนั้น เจ้าจะเป็นลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รึ อืม ข้าเดาว่า…เจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์ของวัดฉือเจี้ยน”

ถังซานสือลิ่วกล่าวออกมา

เพราะว่าเขาเอ่ยถึงปัญหาเรื่องอุปนิสัย หญิงสาวจึงอับอายและโกรธเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีอยากจะถามเขาว่าตนนั้นมีนิสัยที่เป็นปัญหาอย่างไร ทว่าได้ยินประโยคสุดท้ายนั้น พลันตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มีสิบกว่าพรรค เจ้าคาดเดาถูกต้องได้อย่างไรว่าตนเป็นลูกศิษย์ของวัดฉือเจี้ยน

“มิผิด ข้านามว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียน เป็นลูกศิษย์ของวัดฉือเจี้ยน รอให้ปีหน้าอายุครบแล้ว ข้าจะต้องเข้าสถานศึกษาหนานซี ทำไมรึ”

นางมองถังซานสือลิ่วพลางเอ่ยออกไป แหงนใบหน้าเรียวเล็กขึ้น มิได้ปิดบังความภาคภูมิใจและความตั้งใจของตนแม้แต่น้อย

ถังซานสือลิ่วอยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “วัดฉือเจี้ยน…คงจะอยู่ใกล้กับเขาหลีซานเป็นอย่างยิ่งล่ะสิ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ กวนเฟยไป๋ตกตะลึง ในใจครุ่นคิดเจ้าเด็กผู้นี้มิใช่คนทางใต้ เหตุใดถึงรู้ชัดเจนยิ่งนัก

“พรรคฉางเซิงมีหลายสิบเทือกเขา เขาหลีซานอยู่สูงที่สุด…วัดฉือเจี้ยนอยู่ข้างๆ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเห็นความโดดเด่นของชิวซานจวินบ่อยๆ ล่ะสิ”

ถังซานสือลิ่วไม่ให้โอกาสนางเอ่ย กล่าวต่อ “เป็นบุคคลดังเช่นชิวซานจวิน หากเจอบ่อยครั้งเข้า ก็คงจะชื่นชอบเป็นแน่ ถึงแม้จะอายุเยาว์วัย กลับแอบรักอยู่เพียงฝ่ายเดียว เพราะเหตุใดเจ้าถึงเกลียดชังเฉินฉางเซิง ก็เพราะว่าเรื่องนี้ เขาถึงถูกนำไปเปรียบเทียบเฉินฉางเซิง”

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!” หญิงสาวที่นามว่าเยี่ยเสี่ยวเหลียนยิ่งอับอายและโมโห

โก่วหานสือที่ทนฟังไม่ได้ ส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “คำพูดนี้ผิดพลาดเกินไปแล้ว”

ใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวเหลียนแดงเล็กน้อย สบถออกไป “ข้าเกลียดชังเจ้าเด็กคนนี้ ฉะนั้นเกี่ยวข้องอันใดกับศิษย์พี่ ข้าเพียงแค่เสียดายแทนศิษย์พี่โหย่วหรง”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ไม่ต้องโป้ปด อาจจะมีสตรีที่จิตใจดีงามเช่นนี้อยู่จริง ทว่าเจ้าเป็นเพียงแค่สาวน้อยคงจะไม่ใช่ มิใช่ว่าอยากให้ศิษย์พี่โหย่วหรงของเจ้ารีบสมรสกับคางคกตัวนี้ ทว่าเพียงแค่ค่อนคืนเมื่อนอนหลับเจ้าก็คงจะแอบยิ้มตื่นขึ้นมา”

เยี่ยเสี่ยวเหลียนตะลึงงัน เอ่ยว่า “ข้าจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”

ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงหญิงสาวที่อายุสิบสองปี นางไม่รู้ว่าจิตใจของตนได้ร่วงหล่นอยู่ในสายตาของคนข้างๆ ซึ่งได้เป็นข้อพิสูจน์บางอย่าง บรรดาหญิงสาวเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย

เมื่อถังซานสือลิ่วเอ่ยออกมานั้นใบหน้าไร้ความรู้สึก มองแล้วจริงจังสูงสุด ทว่าที่จริงแล้ว เมื่อเขากล่าวกลับไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับคำว่าจริงจังสองคำนี้เลย คล้ายกับว่ายิ่งทำให้แสบแก้วหู “เพียงแค่ ชิวซานจวินที่จริงแล้วเป็นชายในฝันของเจ้า คาดไม่ถึงว่าจะแย่งชิงสตรีพ่ายแพ้ให้แก่เฉินฉางเซิง หากเปลี่ยนข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงจะโกรธ”

เมื่อฟังประโยคนี้ เฉินฉางเซิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ในใจครุ่นคิดนี่เป็นเพราะเหตุใด

สีหน้าของโก่วหานสือและศิษย์น้องทั้งสามเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

“เขามีคุณสมบัติอะไรเทียบเท่ากับศิษย์พี่”

น้ำเสียงของเยี่ยเสี่ยวเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นโมโหถึงขีดสุด จ้องเขม็งถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ข้าเพียงแค่ไม่เข้าใจ ศิษย์พี่โหย่วหรงเพราะเหตุใดจะต้องเขียนจดหมาย คาดไม่ถึงว่าศิษย์พี่จะถูกบีบบังคับหยิบยกมาวิพากษ์วิจารณ์กับของไร้ประโยชน์ชนิดนี้ หรือนางไม่รู้ว่านี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามศิษย์พี่”

“เดิมที เจ้าเกลียดชังหาได้ใช่เฉินฉางเซิง แต่เป็น…ศิษย์พี่โหย่วหรงของเจ้า”

ถังซานสือลิ่วมิได้พยายามสีหน้าว่าคิดออก เขาไม่อยากจะแสดงละครเช่นนั้น กล่าวอย่างสงบ “เช่นนั้นหรือว่าเจ้าจะพูดว่าตนไม่ชื่นชอบชิวซานจวินรึ”

ด้านข้างทางเดินทั้งสองเงียบเชียบ บรรดาผู้คนจ้องมองศิษย์น้องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสับสน

เยี่ยเสี่ยวเหลียนตะลึงงัน ถึงจะเข้าใจว่านี่เป็นเรื่องอะไร ความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ข้างใต้จิตใจ วันหนึ่งกลับถูกคนเปิดโปงออกมา ใบหน้าเรียวเล็กของนางพลันเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ น้ำตารื้อขอบตา คล้ายกับว่าจะร่วงลงมา เหมือนกับว่าไม่สงบอย่างยิ่ง

“เพราะเหตุใดเจ้าจะต้องร้องไห้ เป็นบุคคลดังเช่นชิวซานจวิน ชื่นชอบเขาเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง”

“เพราะว่าเจ้าเข้าใจ ตนไร้คุณสมบัติไปชื่นชอบชิวซานจวิน…เผ่ามนุษย์บนโลกสองปีมานี้มีปัญหาที่น่าแปลกประหลาดยิ่ง คล้ายกับว่ามีเพียงชิวซานจวินถึงจะมีคุณสมบัติชื่นชอบสวีโหย่วหรง สวีโหย่วหรงถึงจะมีคุณสมบัติชื่นชอบชิวซานจวิน ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงจึงถูกผู้คนหัวเราะเยาะ และเวลานี้ ผู้คนต่างมองเจ้าด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจเช่นกัน”

ถังซานสือลิ่วมองไปยังกลุ่มผู้คน กล่าวอย่างสงบ “ทว่าในความเป็นจริง นี่มิใช่ความผิดของเจ้า เพราะว่าการชื่นชอบคนหนึ่งไม่มีผิด ที่ผิดก็คือผู้คนเหล่านี้ ใช้สิ่งใดเป็นตัวตัดสินว่าไม่สามารถชื่นชอบได้กัน เพราะว่าพวกเจ้าไม่กล้าชื่นชอบ ก็เลยไม่อนุญาตให้ผู้อื่นชื่นชอบ ช่างแปลกประหลาดอย่างยิ่ง”

“ด้วยเหตุนี้ เจ้าไม่ควรเกลียดชังเฉินฉางเซิง กลับกัน เจ้าควรจะเห็นอกเห็นใจเขาถึงจะถูก”

เยี่ยเสี่ยวเหลียนแหงนหน้าขึ้น เช็ดน้ำตา จ้องมองสายตาที่ไม่ยินดีที่มองมาที่ตน เข้าใจความหมายของเขา

ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ เพราะคำพูดของถังซานสือลิ่ว ถึงแม้จะไม่ค่อยมีมารยาท ทว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง

ในใจของเฉินฉางเซิงที่จริงแล้วไม่เหมือนกัน ตนมิได้ชื่นชอบสวีโหย่วหรง ทว่าเขาก็ไม่สามารถกล่าวประโยคนี้ออกมาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เป็นแน่ การชุมนุมไม้เลื้อย จดหมายของสวีโหย่วหรงช่วยเหลือเขา เขาก็ต้องให้เกียรตินาง

สายลมยามเช้าตรู่พัดกระทบต้นไหวเขียวกับต้นเสวี่ยซง ทำให้ลำแสงกวัดแกว่ง อุณหภูมิเพิ่มขึ้น ความรู้สึกของฤดูใบไม้ร่วงค่อยเข้ามา

พวกนักเรียนจ้องมองถังซานสือลิ่ว ใจหายอย่างยิ่ง ในใจครุ่นคิดนี่สมภาคภูมิจะเป็นลูกหลานตระกูลผู้มีฐานะ มีลักษณะอบอุ่นอ่อนโยน เปิดความรู้สึกในใจของศิษย์น้องเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นได้อย่างง่ายดาย สายตาของบรรดาสตรีกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเหล่านั้น ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

ตามความคิดของผู้คนทั้งหมด เรื่องราวก็จะจบเพียงเท่านี้ แล้วต้อนรับกับสถานการณ์ที่งดงาม…ถังซานสือลิ่วหันหลังกลับ จ้องมองไปยังเยี่ยเสี่ยวเหลียนอีกคราหนึ่ง

“แต่ความจริงแล้ว…เจ้ากับเฉินฉางเซิงมิใช่เรื่องเดียวกัน”

“เขากับสวีโหย่วหรงมีการหมั้นหมาย ไม่ต้องกล่าวว่าชื่นชอบ ถึงแม้จะจูงมือไปดูพระอาทิตย์ตก ก็ไม่มีคนที่จะมีคุณสมบัติเอ่ยสิ่งใดแม้แต่ครึ่งคำ ทว่าเจ้ากับชิวซานจวินไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งทั่วทั้งต้าลู่ต่างรู้ดี เขาชื่นชอบสวีโหย่วหรง เจ้ากลับเพียงเพราะชื่นชอบเขากลับไปเหยียดหยามเฉินฉางเซิง นี่มีเหตุผลหรือไม่”

“ถ้าหากเขาเป็นของไร้ประโยชน์…แล้วเจ้าเล่าเป็นหญิงสารเลวใช่หรือไม่”

เขาจ้องมองหญิงสาวกล่าวด้วยความสงบนิ่ง สามคำสุดท้ายเมื่อเอ่ยออกมาชัดถ้อยชัดคำ มั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดฟังผิดเด็ดขาด

ทั่วทั้งผืนเงียบสนิท หลังจากนั้นเสียงดังเกรียวกราว!

เยี่ยเสี่ยวเหลียนร้องฮือออกมา ปิดหน้าวิ่งไปยังด้านลึกของป่าด้านใน

บรรดาหญิงสาวของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จ้องเขม็งมองเขาโหดเหี้ยม พลันวิ่งตามไป บรรดาหญิงสาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ก่อนหน้านี้มองเขาด้วยสายตาที่เร่าร้อน ตอนนี้ท่าทางก็แปรเปลี่ยนไป ผู้ใดจะคาดคิดได้ คำพูดของเขาที่เอ่ยออกมายาวเหยียดก่อนหน้านี้ ประโยคที่มีเหตุผลสะเทือนใจผู้คน เพียงเพราะว่าคำสามคำสุดท้ายนั่น!

จินอวี้ลวี่กับเซวียนหยวนผ้ออยู่ด้านข้างฟังมาตลอด เผ่าปีศาจคิดมาตลอดว่าเผ่ามนุษย์ปลิ้นปล้อนไร้ยางอาย มิอาจเชื่อถือได้ ผ่านเรื่องวุ่นวายก่อนหน้านี้ เซวียนหยวนผ้อย้ายไปอยู่ข้างเฉินฉางเซิงตามจิตใต้สำนึก ไม่อยากอยู่ใกล้ถังซานสือลิ่ว จินอวี้ลวี่อุทานออกมา “เจ้าถึงเป็นสารเลวแท้จริง”

เฉินฉางเซิงไม่รู้ควรจะกล่าวสิ่งใด จึงยกมือคารวะโก่วหานสือเพื่ออำลา ประโยคของถังซานสือลิ่วถึงแม้จะโหดร้ายไม่น่าฟัง ทว่ามิได้เกี่ยวของกับพรรคฉางเซิง โก่วหานสือจึงทำได้เพียงพยักหน้า ประสานมือทำคารวะ จึงพาศิษย์น้องทั้งสามกลับจวนรับรอง

ไม่มีผู้ใดชื่นชอบเรื่องที่ศิษย์น้องเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นได้กระทำ แต่แท้จริงแล้วนางเป็นเพียงแค่หญิงสาวอายุสิบสองปี เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาวิ่งไป มีนักเรียนบุรุษจำนวนมากยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกสงสารเวทนานาง รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแทนนาง เมื่อรู้สึกเช่นนี้เป็นธรรมดาที่จะมีเสียงดังขึ้น

“นี่คงเป็นเพียงแค่ใช้คำพูดรังแกเด็กน้อยเท่านั้นเอง”

กลุ่มผู้คนในสำนักจวนราชวังหลี ซูม่ออวี๋มิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่รู้สึกผิดหวัง ต่างกล่าวกันว่าสำนักฝึกหลวงอาจจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครา วันนี้มองแล้ว ก็คงมิเป็นเช่นนั้น

เฉินฉางเซิงกังวลถังซานสือลิ่วจะเสียเวลาอีก กล่าวว่า “ไปกันเถิด”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองบรรดานักเรียนคนหนุ่มเหล่านั้นที่อยู่ข้างๆ กล่าวง่ายดายแต่มีความหมายลึกล้ำ “เมื่อเสร็จธุระ แล้วข้าจะกลับมา หากพวกเจ้าใจกล้า อย่าไปไหน”

ทั่วทั้งผืนตะลึงงัน บรรดานักเรียนหนุ่มน้อยในใจครุ่นคิด นี่เป็นพระราชวังหลี เป็นสำนักของพวกข้า นี่มิใช่สำนักฝึกหลวง เจ้าเด็กผู้นี้รังแกหญิงสาวร้องไห้ก่อน เวลานี้กลับกำเริบเสิบสานเช่นนี้ นี่ชัดเจนยิ่งนักว่าเชื้อเชิญให้ทุกคนไปด่าทอเขาจนกลายเป็นหัวหมูมิใช่รึ

เวลานี้เอง ในกำแพงของป่าด้านลึก มีเสียงระฆังดังอย่างสบายอกสบายใจ ปะปนไปด้วยเสียงด่าทอที่ดังกังวาน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset