ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 114 บนประกาศชิวอวิ๋นมีคนใหม่ (3)

ตามกาลเวลาที่หมุนไป ความเงียบเชียบค่อยๆ ถูกทำลาย ในป่าฤดูใบไม้ร่วงมีเสียงโห่ร้องยินดีขึ้น เหมือนกับว่าเป็นนักเรียนคนหนึ่งของหอจงซื่อที่อยู่ในประกาศ ในเวลาต่อมา กลับมีเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังออกมา คล้ายว่าจะเป็นศิษย์พี่ท่านหนึ่งของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่หล่นจากลำดับเดิมคือเก้าสิบกว่าลงมาอยู่อันดับร้อยกว่า

ลำดับกลางและท้ายของประกาศชิงอวิ๋น หากยังเหมือนกับปีที่ผ่านมา นักเรียนที่ปรากฏรายชื่อมากที่สุดก็คือนักเรียนจากทางทิศใต้ เป็นพรรคฉางเซิงกับสำนักต้นไหวต้นไหวเยอะที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคฉางเซิง คู่ควรเป็นหนึ่งสำนักที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า บรรดาสำนักในจิงตูรวมถึงสำนักเทียนเต้ากับสำนักเด็ดดารา รวมสำนักอีกสามแห่งรวมเข้าด้วยกันแล้ว ก็มากกว่าพรรคฉางเซิงเพียงเล็กน้อย

มีคนจำนวนมากจ้องมองจวนรับรองที่ยังคงเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง โก่วหานสือและลูกศิษย์ของหอกระบี่เขาหลีซาน ยังมีนักเรียนของคณะทูตทางทิศใต้ พักอยู่ที่นั่น หอกระบี่เขาหลีซานก็อยู่ภายใต้พรรคฉางเซิง ทุกคนต่างทราบดี ในเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพนอกจากมีชิวซานจวินกับโก่วหานสือ คนที่เหลือจะต้องอยู่ในประกาศเป็นแน่ เพียงแค่ยังไม่เอ่ยถึงชื่อพวกเขา คิดมาถึงตรงนี้ พวกนักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีกับหอจงซื่อรวมถึงกระทรวงสิบสามชิงเหย้าต่างมีความรู้สึกที่ย่ำแย่ จนถึงขนาดที่ว่าหน้าม่อยคอตก

นักบวชของสำนักชัดเจนอย่างยิ่ง กระบี่ออกมาจากเขาหลีซาน ในพรรคฉางเซิงเดิมทีลูกศิษย์ของหอกระบี่เขาหลีซานแข็งแกร่งที่สุด ทว่าพวกเขาไม่อาจนำจุดดังกล่าวมาปลอบประโลมนักเรียน ทำได้เพียงให้กำลังใจ การฝึกบำเพ็ญเพียรของบรรดาพรรคของนิกายทิศใต้กับนิกายหลวงเน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง พรรคทางทิศใต้ให้ความสำคัญกับความเร่งรีบมาตลอด ทว่าหากต้องการฝึกฝนถึงระดับที่สูงส่งลึกล้ำ กลับไม่พบว่ามีความแข็งแกร่งกว่าบรรดาสำนักในจิงตู หากวิเคราะห์ตามประกาศเซียวเหยา ก็มิได้มีปัญหาว่าทิศใต้แข็งแกร่งทิศเหนืออ่อนแอแต่อย่างใด

ได้ยินคำที่ให้กำลังใจเหล่านี้ บรรดานักเรียนของสำนักในจิงตูความรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับหมดหนทางที่จะรู้สึกยินดีอย่างแท้จริง ความลับที่ประกาศเซียวเหยาไม่อาจเอ่ยถึง เป็นเวลาหลายปีที่มิได้เปลี่ยนอันดับ ยิ่งไม่สามารถเอ่ยถึงสถานการณ์ที่แน่ชัด ต้องรู้ว่าเมื่อครั้งชิวซานจวินกับโก่วหานสือเข้าไปอยู่ในประกาศเตี่ยนจินนั้น พรรคทางทิศใต้ได้รับไปสองประกาศก่อนแล้ว

เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับความรู้สึก ป่าฤดูใบไม้ร่วงสองข้างทางจึงได้เปลี่ยนเป็นเงียบลงอีกคราหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นเพราะความตื่นเต้น การประกาศรายชื่อช่วงกลางและท้ายของประกาศชิงอวิ๋นได้สิ้นสุดไปแล้ว ตอนนี้ได้เริ่มประกาศรายชื่อสี่สิบลำดับต้น ไม่ต้องเอ่ยถึงนักเรียนที่เลือดร้อนเหล่านั้น แม้จะเป็นคนที่พูดน้อยดังเช่นซูม่ออวี๋ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

มีเพียงเฉินฉางเซิงที่ไม่ได้ใส่ใจกับประกาศชิงอวิ๋นเท่าไหร่ เพราะว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก ประกาศชิงอวิ๋นกับเขาตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กัน เขามิใช่เซวียนหยวนผ้อ ที่ไม่ต้องชำระล้างกระดูกมาตั้งแต่กำเนิด หากยังชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จในเงื่อนไขแรก เดิมทีก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น เกรงว่าต่อให้เขาจะเป็นบุตรชายแท้ๆ ของผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ก็คงจะมิได้

ทว่านี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเขาที่มีการเปลี่ยนการจัดอันดับของประกาศชิงอวิ๋น และก็เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลง รู้สึกว่าเห็นได้น้อยยิ่ง มองท่าทางผู้คนที่อายุเท่ากันตื่นเต้น เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นขึ้นมา รู้สึกสะเทือนอารมณ์ และยังเกิดความรู้สึกหลากหลายเลือนราง เพียงแค่ความรู้สึกเหล่านั้นไม่ปรารถนาให้คนภายนอกได้ล่วงรู้

เขามองถังซานสือลิ่ว พลางเอ่ยปลอบโยน “ไม่ต้องตื่นเต้น เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะกล่าวกับเซวียนหยวนผ้อไป ถึงแม้จะเป็นประกาศชิงอวิ๋น แต่แย่งชิงมาเพียงตำแหน่งเดียวก็มิได้มีความหมาย จะต้องมองไปไกลกว่านี้อีกหน่อย”

เมื่อต้นปีการประกาศของประกาศชิงอวิ๋นมาถึงตอนนี้เวลาได้ล่วงเลยไปครึ่งค่อนปีแล้ว ถังซานสือลิ่วนอกจากเคยต่อสู้ในการชุมนุมไม้เลื้อยอย่างเป็นทางการหนึ่งครั้ง ก็มิได้ลงมือประลอง อีกทั้งการแข่งขันครานั้น ผู้ใดล้วนแต่มองออก พลังของเขาแท้จริงแล้วด้อยกว่าชีเจียน จากสติปัญญาของผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ ก็คงจะมองไม่ผิดเป็นแน่

กล่าวเช่นนี้ ตำแหน่งที่จะขยับขึ้นไปข้างบนของเขาในประกาศชิงอวิ๋น แท้จริงแล้วยากที่จะคาดเดาได้

“การแย่งชิงหนึ่งตำแหน่งแน่นอนว่าไม่มีความหมาย แต่ข้าอยู่ในประกาศแล้ว เช่นนี้จะต้องล้มสักสองสามรายชื่อ มิเช่นนั้นก็ขายขี้หน้าคนตายเลย ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาตำแหน่งเดิมให้ได้!”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วยังคงเยือกเย็นหยิ่งทระนง ริมฝีปากบางกลับขมุบขมิบเร็วขึ้น เสียงที่ทุ่มต่ำเล็กน้อย อากัปกิริยาโมโหเมื่อตอบเขา

เฉินฉางกล่าวอย่างจนปัญญา “ตื่นเต้นจนมีท่าทางเช่นนี้ หรือเจ้าไม่รู้สึกว่าอับอายขายหน้าหรอกรึ”

ถังซานสือลิ่วร้องเสียงเยือกเย็น “ข้าเคยกล่าวไว้ แสร้งเป็นคนโดดเดี่ยวเป็นเรื่องที่เหนื่อยอย่างยิ่ง กล่าวอีก…”

ถังซานสือลิ่วตาเบิกกว้างจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิง เอ่ยว่า “ข้าตื่นเต้นเมื่อไหร่กัน”

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “มองออกง่ายดายอย่างยิ่ง”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตื่นเต้นเล็กน้อย กดเสียงให้ต่ำพลางเอ่ยว่า “หรือว่าข้าเสแสร้งยังไม่สงบพอกระมัง”

สายตาของเฉินฉางเซิงมิได้เคลื่อนไป จับจ้องอยู่ในคลื่นที่เป็นระลอกของแขนเสื้อเขา กล่าวเสียงต่ำว่า “มือของเจ้าสั่นรุนแรงเล็กน้อย”

“นั่นเป็นเพราะข้าว่างจนเบื่อหน่าย! คนดังเช่นข้าหรือโก่วหานสือต่างก็สามารถพูดไปด้วยหัวเราะไปด้วยได้! เจ้าจะไปเข้าใจอะไร!”

สีหน้าของถังซานสือลิ่วไม่น่าดูเล็กน้อย ตะเบ็งเสียงต่ำ เวลาเดียวกันกลับนำมือทั้งคู่ไปไขว้หลังไว้เงียบกริบ

เฉินฉางเซิงยิ้มออกมา ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก

เวลาที่สนทนากัน เสียงประกาศของตำหนักประกาศการศึกษาได้สิ้นสุดไปที่ลำดับที่สามสิบเจ็ด ต่อมาก็เป็นลำดับที่สามสิบหก เฉินฉางเซิงคุ้นเคยกับสามสิบหกที่สุด เป็นสามสิบหกของถังซานสือลิ่ว

คนผู้นั้นไม่ได้แซ่ถัง มิได้มีนามว่าถังถัง และก็มิได้เกี่ยวข้องกับเวิ่นสุ่ย

ผู้คนที่อยู่ข้างทางจับจ้องถังซานสือลิ่วพร้อมเพรียงกัน รู้สึกแปลกประหลาดใจ รู้สึกไม่เข้าใจ

บรรยากาศของสถานที่นั้นแปลกประหลาดเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงจ้องมองถังซานสือลิ่ว รู้สึกกังวลใจพลางเอ่ยว่า “คงจะไม่มีปัญหากระมัง”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วไม่ได้เปลี่ยนแปลง มีเพียงเฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อที่อยู่ใกล้ถึงจะเห็นได้ชัดเจน คิ้วทั้งคู่ของเขาสั่นเล็กน้อย

“มองแล้ว ครั้งนี้คงจะพัฒนาแล้ว”

ประโยคนี้ของเขาไม่มั่นใจแม้แต่น้อย มองอย่างไรก็คงไม่สามารถตกจากอันดับได้ เช่นนั้น หากไม่ใช่สามสิบหกก็คงจะอยู่ลำดับข้างหน้า แต่เขาไม่เข้าใจ ตำแหน่งของตนใช้อะไรมาวัดเพื่ออยู่ข้างหน้า หากใช้การชุมนุมไม้เลื้อย ตัวเขาเองก็แสดงมิได้ดีเสียเท่าไหร่

เสียงการประกาศของตำหนักประกาศการศึกษามาถึงลำดับที่สามสิบสามอย่างรวดเร็ว

เสียงชื่นชมดังมาจากสำนักจวนราชวังหลี จนถึงขนาดมีเสียงปรบมือ ซูม่ออวี๋ทำความเคารพอย่างสงบ การประลองของการชุมนุมไม้เลื้อยค่ำคืนที่สองเขามีคะแนนเป็นอันดับแรก หากไม่อาจทำให้เขาพัฒนาไปได้ เช่นนั้นคงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ กระนั้นยังสามารถมีอันดับอยู่ในประกาศเท่ากับปีที่แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่พึงพอใจ เป็นเพราะเป้าหมายของเขาอยู่ที่การสอบใหญ่

เขาเหลือบมองถังซานสือลิ่ว คิ้วขมวดเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดรู้สึกไม่สงบ

“ถังถัง สำนักฝึกหลวง ลำดับที่สามสิบสองของประกาศชิงอวิ๋น”

เวลานี้เอง เสียงที่ดังมาจากตำหนักประกาศการศึกษา ดังชัดเจนมายังป่าฤดูใบไม้ร่วง กลุ่มฝูงชนเสียงดังอึกทึกขึ้นทั่วทั้งผืน หลังจากนั้นจึงวิพากษ์วิจารณ์พร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างตกตะลึง

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ข้าไม่ชื่นชอบถูกเรียกชื่อถังถัง”

คำพูดแม้จะพูดเช่นนี้ ความยินดีที่ปรากฏบนใบหน้ากลับปิดบังไม่มิด นอกจากความยินดี ยังมีความเลื่อนลอย เขาไม่เข้าใจจริงๆ เพราะเหตุใดตนถึงสามารถอยู่ข้างหน้าไปอีกสี่ตำแหน่ง ก็เหมือนกับที่เซวียนหยวนผ้อไม่เข้าใจเพราะเหตุใดตนถึงสามารถอยู่บนประกาศชิงอวิ๋น…ถึงกระนั้นเขาก็คร้านจะคิดถึงเรื่องเหล่านี้ อันดับแรกเขาจะต้องรับเอาความรุ่งโรจน์ของลำดับที่สามสิบสองก่อน

ลำดับที่สามสิบสองช่างดีอย่างยิ่ง อยู่เหนืออันดับสามสิบสามอยู่หนึ่งตำแหน่ง

เขาจับจ้องไปที่ซูม่ออวี๋ ความรู้สึกบนใบหน้าคล้ายกับยิ้มคล้ายกับไม่ยิ้ม กล่าวไม่ออกว่าน่าเกลียด

ซูม่ออวี๋คิดไปถึงประโยคก่อนหน้านี้ที่ปะทะกับคนของสำนักฝึกหลวง ตามอุปนิสัยของเขา ก็รู้สึกว่ายอมรับไม่ได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองยิ่งนัก

ตอนนั้นเขากล่าวกับถังซานสือลิ่วว่า เมื่อไหร่ที่เจ้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋นได้อันดับก่อนหน้าข้า เจ้าค่อยมาบอกกับข้าว่าวันนี้ข้ากล่าวผิดไป เขายังกล่าวกับเซวียนหยวนผ้อ เมื่อใดที่เจ้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ค่อยมาคุยกับข้า ทว่าผลลัพธ์เกิดขึ้นในพริบตา เซวียนหยวนผ้ออยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ถังซานสือลิ่ว…อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นอันดับเหนือกว่าเขา

ด้านข้างทางเดินทั้งสองเงียบนิ่ง สายตาของพวกนักเรียนสตรีกระทรวงสิบสามชิงเหย้าจับจ้องถังซานสือลิ่วยิ่งนานยิ่งร้อนดังนั่งอยู่บนกองไฟ นักเรียนของหอจงซื่อยิ่งนานยิ่งนิ่งเงียบ นักเรียนของสำนักจวนราชวังหลีก็เป็นดังเช่นซูม่ออวี๋ที่ใบหน้าไม่น่ามองยิ่ง

“เซวียนหยวนผ้ออาศัยสิ่งใดเพื่ออยู่ในประกาศ เขาใช้สิ่งใดเพื่ออยู่ในอันดับเหนือกว่าศิษย์พี่ซูเล่า”

ในที่สุดมีนักเรียนทนไม่ไหว เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความชอบธรรมของลำดับประกาศชิงอวิ๋นในปีนี้ ในอดีตความยุติธรรมของประกาศชิงอวิ๋นไม่มีผู้ใดมีข้อซักถาม ชี้ชัดว่าไม่มีผู้ใดไม่กล้าซักถามหอความลับสวรรค์กับผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ต่อหน้า แม้มีคนรู้สึกไม่ยินยอมและไม่เลื่อมใสศรัทธาเป็นการส่วนตัว แต่วันนี้ใบหน้าของนักเรียนสำนักจวนราชวังหลี ถูกลำดับประกาศชิงอวิ๋นใหม่ตีจนทำให้ชอกช้ำใจเป็นอย่างยิ่ง จึงมีคนทนไม่ไหวจนถามออกมากลางฝูงชน

วาจากระฟัดกระเฟียดของนักเรียนผู้นั้น หอความลับสวรรค์ไม่ได้ยิน ถึงแม้จะได้ยินก็มิได้สนใจ เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่ออธิบายออกมาโดยตรง

ทว่าการวิเคราะห์ของผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ ที่ตามมาข้างหลังกลุ่มฝูงชนล้วนแต่ได้ยิน

“เด็กผู้นี้เกียจคร้านเกินไป มิเช่นนั้นจะอยู่ภายในอันดับสิบนานแล้ว ขณะนี้พานพบโอกาส ไม่อาจเกียจคร้านได้อีก จักเลิศล้ำต่อไป”

การวิเคราะห์ประกาศชิงอวิ๋นของทุกคน ผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์ต่างเขียนง่ายดายแต่ความหมายลึกซึ้ง ทุกคนต่างเข้าใจเหตุผลที่คนผู้นั้นจัดลำดับอยู่ในตำแหน่งนั้น ความแข็งแกร่งอยู่ที่ใด มีเพียงเมื่อมาถึงถังซานสือลิ่ว มิได้กล่าวถึงพลังปราณแท้ มิได้กล่าวถึงสติปัญญา กล่าวเพียงแค่ความเกียจคร้านกับไม่เกียจคร้าน และยังกล่าวถึงคำที่ว่าโอกาสเอาไว้อย่างคลุมเครือ

มีสายตานับไม่ถ้วนร่วงหล่นบนร่างกายของถังซานสือลิ่ว

ถังซานสือลิ่วถึงแม้จะแสดงความเฉยเมยทระนงชำนาญอย่างไร หลังจากถูกผู้อาวุโสที่ยอดเยี่ยมวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ จึงยากที่จะรักษาสีหน้ามิให้เปลี่ยนได้

เขากล่าวออกมาอย่างเก้อเขิน “ตอนนี้ไม่เกียจคร้านแล้ว เกียจคร้านก็คงจะมิได้แล้ว”

เขาเข้าใจโอกาสที่การวิเคราะห์ของประกาศชิงอวิ๋นกล่าวถึง คงจะเป็นการออกมาจากสำนักเทียนเต้า มุ่งไปยังสำนักฝึกหลวง หากจะกล่าวให้ถูกต้อง ก็คือมาพบกับเฉินฉางเซิง

มีสหายดังเช่นเฉินฉางเซิงอยู่ข้างกาย แล้วผู้ใดจะไม่ละอายเกียจคร้านต่อไปได้เล่า

คิดมาถึงตรงนี้ เขามองไปยังเฉินฉางเซิง กล่าวแสดงขอบคุณอย่างจริงใจ “สหายโอกาส สวัสดี”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ บรรดาผู้คนที่ได้ยินประโยคนี้ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงไม่ได้กล่าวรับ เอ่ยถามปัญหาที่ประหลาดใจ “หรือว่าอีกหน่อยจะต้องเรียกเจ้าว่าถังซานสือเอ้อร์ (สามสิบสอง) กระมัง”

ท่าทางของถังซานสือลิ่วเปลี่ยนเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดนี่แท้จริงแล้วมิได้น่าฟังแต่อย่างใด เมื่อการสอบใหญ่มาถึง ต้องมุ่งมานะอีกหน่อย ช่วงชิงลำดับของประกาศชิงอวิ๋นใหม่ในปีหน้า แล้วอยู่อันดับที่น่าฟังกว่านี้

เพียงแค่…สุดท้ายแล้วจะเป็นลำดับที่ยี่สิบแปดแห่งยี่สิบแปดกลุ่มดาว หรือว่าจะเป็นลำดับที่สิบสองแห่งสิบสองขุนพลทหารม้ากันเล่า แต่อันดับสามที่จริงแล้วดีอย่างยิ่ง ปัญหาก็คือระดับความยากมีมาก กวนเฟยไป๋ เหลียงปั้นหู และยังมีลูกสุนัขป่าทางทิศเหนือที่ยากจะข้ามผ่านได้ คิดไปมาหลายตลบ เขาพลันคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งออก จึงหยุดความคิดกลางคันเสีย

เขาแหงนหน้ามองซูม่ออวี๋ ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ยังคงรักษาท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยออกมาสามคำอย่างเงียบเชียบ

“เจ้าผิดแล้ว”

ใบหน้าของซูม่ออวี๋สีเขียวคล้ำ กลับไร้วาจาที่จะเอื้อนเอ่ยออกมา

คำพูดทะเลาะวิวาทระหว่างคนหนุ่ม ก็เป็นดังเพลงประกอบฉากละคร

วันนี้ การประกาศชิงอวิ๋นถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดของทั่วทั้งต้าลู่

เซวียนหยวนผ้อเข้าไปอยู่ในประกาศอย่างแปลกประหลาด ถังซานสือลิ่วขยับมาอยู่ข้างหน้าสี่ลำดับเป็นลำดับที่สามสิบสอง เผชิญกับปัญหาที่ถูกบังคับการเปลี่ยนชื่อ วันนี้ประกาศชิงอวิ๋นเผชิญต่อการเปลี่ยนอันดับ สำนักฝึกหลวงดึงดูดความสนใจจากผู้คนจำนวนมากอย่างมิต้องสงสัย สำนักที่เคยโดดเด่นไร้ที่เปรียบแห่งนี้ หลังจากเงียบสงัดไร้ข่าวคราวผ่านพ้นมาสิบกว่าปี ในที่สุดก็จะปรากฏต่อหน้าผู้คนบนโลกใบนี้อีกครั้ง ผู้ใดจะคาดคิดว่าจะกลับมาสง่างามอีกครั้ง

เพียงแค่การประกาศชิงอวิ๋นยังคงเปลี่ยนอันดับอย่างกะทันหัน เช่นนั้นจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเป็นแน่ ถึงแม้จะไม่ได้ทำให้ใต้หล้าตกตะลึงดังเช่นชิวซานจวินและสวีโหย่วหรง แต่ก็จะต้องทำให้ผู้คนตกตะลึงได้เพียงพอเป็นแน่ การเปลี่ยนแปลงนี้ปกติจะปรากฏขึ้นที่อันดับหน้าๆ ของประกาศชิงอวิ๋น และเมื่อเสียงประกาศจากตำหนักประกาศการศึกษามาถึงลำดับที่สิบเอ็ด พลันปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่ผู้คนคาดคิดไม่ถึงเป็นครั้งแรก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset