ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 118 แสงดวงดาวบนนิ้วมือ (2)

นิ้วมือออกแรงได้เล็กน้อย เมื่อกำเข้าหากันก็สามารถจับสิ่งของได้ ทว่ายังมีสิ่งของที่ยากจะจับกุมได้ ดังเช่นทราย ดังเช่นลมทะเล ดังเช่นแสงอาทิตย์ ดังเช่นแสงดาว และดังเช่นเวลา

เฉินฉางเซิงกางมือออก แสงดวงดาวพลันซึมหายไป

จากฤดูใบไม้ผลิจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วง เป็นค่ำคืนนับไม่ถ้วนที่แสงดวงดาวเหล่านั้นร่วงหล่นอยู่บนร่างกายเขา แล้วก็ซึมหายไปเช่นนี้หรือ

ขั้นแรกเริ่มของการฝึกบำเพ็ญเพียรก็คือการจุดแสงสว่างดาวโชคชะตา หลังจากนั้นดึงแสงดวงดาวมาชำระล้างกระดูก วันเวลาผ่านไปไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรไม่รู้ต่อกี่คนต่างก็ใช้ขั้นตอนนี้ซ้ำๆ กัน ละอองดวงดาวเหล่านั้นร่วงหล่นมาจากดาวโชคชะตา ปรับแก้ร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบเชียบไร้เสียง จากเส้นผม เส้นขน เล็บมือ ผิวหนังมาถึงยังกล้ามเนื้อ กระดูกจนกระทั่งอวัยวะภายใน เดิมทีไม่เคยได้ยินว่าแสงดวงดาวจะซึมหายไปจากร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร

ร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรมิใช่แก้ว และมิได้ทำมาจากน้ำ

เฉินฉางเซิงศึกษาตำราเต๋าแตกฉาน ก็มิเคยเห็นตัวอย่างทำนองนี้ ทว่าเขาเห็นวรรคหนึ่งในภาคผนวกของคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการ ประโยคนั้นกล่าวเป็นกรณีทางการแพทย์ ร้อยกว่าปีก่อน คนทางทิศใต้คนหนึ่งเกิดการระเบิดเป็นจุณเสียชีวิตอย่างมิทราบสาเหตุ หลังจากเรื่องราวผ่านไป ส่วนราชการกับสำนักใกล้เคียงได้ตรวจสอบสาเหตุการเสียชีวิตของเขา กลับไม่พบเบาะแสใดๆ ทั้งสิ้น รู้เพียงแค่ว่าคนผู้นั้นชำระล้างกระดูกมาเป็นเวลาสิบสามปีเต็มๆ ตั้งแต่ต้นจนจบชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ

ตั้งแต่เยาว์วัยเขาติดตามศึกษาวิชาแพทย์กับนักพรตจี้ก็สังเกตเห็นรายละเอียดในกรณีการแพทย์วรรคนั้น สังเกตไปเห็นว่าผู้เขียนได้เอ่ยถึงผู้เสียชีวิตเป็นคนทิศใต้ คาดว่าเป็นภาวะเลือดออกผิดปกติ

เรียกว่าภาวะเลือดออกผิดปกติก็เพราะว่าเลือดลมไม่เพียงพอมาแต่กำเนิด อีกทั้งยังกลัวลมกลัวแสง แล้วจะเกี่ยวกับการระเบิดได้อย่างไร

เฉินฉางเซิงได้อ่านผ่านประโยคเหล่านี้ นี่เป็นกรณีทางการแพทย์ที่แปลกประหลาด รวมถึงร่างกายตนประสบกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาด ทำให้เป็นสมมุติฐานที่ไร้สาระอย่างยิ่ง

คนทิศใต้ที่เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจนร่างกายระเบิดกลายเป็นจุณเสียชีวิตผู้นั้น แท้ที่จริงแล้วมีคุณสมบัติเป็นพิเศษตั้งแต่กำเนิด เมื่อเขาดึงแสงดวงดาวชำระล้างร่างกาย แสงดวงดาวที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า มิได้เข้าไปแก้ไขเส้นผม ขน และผิวหนังของเขา ทว่าทะลุผ่านผิวหนัง เข้าไปยังร่างกายภายในเขาโดยตรง

คนผู้นั้นชำระล้างกระดูกมาสิบสามปีเต็มๆ คิดดูว่า ท้ายที่สุดแล้วมีละอองดวงดาวสะสมอยู่ในร่างกายเขามากเพียงใด ภายหลังเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง สาเหตุบางอย่างนั้นขณะนี้เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่าคาดเดาได้รางๆ แล้ว ละอองดวงดาวที่สะสมมาเป็นระยะเวลาหลายปี และคนผู้นั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิได้เตรียมตัว ในชั่วพริบตาจึงได้ระเบิดออกมา

การคาดเดานี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยากที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุใดแสงดวงดาวสามารถผ่านทะลุผิวหนังได้ แต่หากคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเมื่อนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญเพียร ผนังห้องกับเสื้อผ้าต่างก็ไม่อาจตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างดาวโชคชะตาและร่างกายได้ ตัดขาดแสงดาวเหล่านั้นมิได้ เช่นนั้น แสงดวงดาวอาศัยสิ่งใดทะลุผ่านผิวหนัง ตรงเข้าไปในร่างกายของคนได้เล่า

อีกทั้งถ้าหากทั้งหมดไม่มีความเป็นไปได้ เช่นนั้นนักปราชญ์ที่ล่วงลับไปแล้วหลายร้อยปีของนิกายหลวงผู้นั้น เพราะเหตุใดถึงยังบันทึกกรณีการแพทย์ลงในภาคผนวกของคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการด้วยเล่า

เฉินฉางเซิงได้สมมติออกมาอย่างใจกล้าเช่นนี้ สาเหตุที่สำคัญที่สุด ยังคงเป็นเพราะขั้นตอนการฝึกบำเพ็ญเขาพานพบกับปัญหาที่ยากจะอธิบายได้จำนวนมาก สามารถจุดแสงสว่างดาวโชคชะตาของตนเองได้ ก็พิสูจน์ได้ว่าจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเพียงพอ หากกล่าวตามเหตุผล การฝึกบำเพ็ญเพียรต่อมาจะต้องราบรื่น เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ผู้ใดจะเคยคาดคิดมาก่อน สุดท้ายแล้วถูกบังคับให้หยุดอยู่ที่หน้าประตูขั้นชำระล้างกระดูก มาเป็นระยะเวลาครึ่งปีแล้ว

ถึงแม้สาเหตุเป็นเพราะเส้นลมปราณของเขาไม่เหมือนกับคนทั่วไป ไร้หนทางที่จะชำระล้างกระดูกดังเช่นคนธรรมดา แต่แสงดวงดาวเหล่านั้นไปแห่งใด หรือว่าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ เล่า

ไม่ เขาไม่เชื่อ หลังจากผ่านไปหลายค่ำคืนเช่นนี้ เขาก่อเกิดข้อสงสัยต่อสิ่งนี้มานานแล้ว เขาคิดว่าช่างไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ถ้าหากกล่าวว่าเป็นกฎแห่งสวรรค์ที่มอบให้ แล้วบนโลกใบนี้ยังคงมีคนที่ต่อสู้มานะบากบั่นมากกว่าเขาอีกหรือ แน่นอนว่า ถ้าหากว่ากฎสวรรค์ไม่ยุติธรรม เช่นนั้นเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว ทว่าอย่างน้อยเวลานี้ เขาเชื่อมั่นว่าจะดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกได้ อย่างน้อยก็ดึงแสงดวงดาวสำเร็จแล้ว

แต่แม้จะเป็นผู้แกร่งกล้าระดับจินอวี้ลวี่ ต่างก็ไม่อาจสัมผัสพลังปราณแท้ที่อยู่ในร่างกายเขาได้ ถ้าหากกล่าวว่าแสงดาวที่ดึงมาทุกค่ำคืนล้วนยังอยู่ในร่างกาย แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ใด เขาจะค้นหาพวกมันและเริ่มใช้งานพวกมันได้อย่างไร

ก็เหมือนกับการเสาะหาดาวโชคชะตา อยากจะรู้สถานการณ์ร่างกายของตน ก็มีเพียงตนเองที่เป็นผู้สำรวจได้ดีที่สุด

เฉินฉางเซิงรู้ว่านั่นเป็นวิธีอะไร

นั่นก็คือขั้นถอดจิต

……

……

การฝึกบำเพ็ญเพียรจะต้องจุดแสงสว่างดาวโชคชะตาก่อน แล้วชำระล้างกระดูก หลังจากนั้นถึงจะถอดจิตจ้องสำรวจตนเอง ลำดับขั้นตอนเหล่านี้ไม่อาจผิดพลาดได้ เพราะถ้าหากผิดพลาด ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอาจจะเสียชีวิตหรืออาจจะบาดเจ็บสาหัส มิได้นอกเหนือจากนี้ หลายปีก่อนหน้านี้ยังคงมีผู้ฝึกบำเพ็ญคิดวิถีทางอื่น ทว่าตอนนี้ ไม่มีคนกล้าทำเรื่องที่บ้าระห่ำเช่นนั้นนานแล้ว

ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรในสามเผ่าพันธุ์ของเผ่ามาร เผ่าปีศาจ และเผ่ามนุษย์ ซึ่งเผ่ามนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่อ่อนแอที่สุด ถ้าหากไม่อาจชำระล้างกระดูกสำเร็จ แล้วข้ามผ่านเส้นกั้นโดยตรง รับรองว่าความกว้างของเส้นลมปราณรวมถึงความแข็งแกร่งในการรับละอองดาวที่เปลี่ยนเป็นพลังแท้จริง ถ้าหากคิดจะถอดจิตสำรวจตน ใช้ดวงจิตขับเคลื่อนพลังปราณแท้ นั่นเท่ากับเป็นการเสาะหาหนทางตายด้วยตนเอง

เขื่อนแม่น้ำยังมิได้เสริมความแข็งแกร่ง ก็คิดจะให้น้ำมหาสมุทรไหลออกมาหรือ

ยังไม่เคยสำเร็จการชำระล้างกระดูกเสริมความแข็งแกร่งให้เส้นผม ขนทุกเส้น กระดูกทุกชิ้น กลับกล้าหาญให้พลังปราณแท้ขยายออกไป ไม่เป็นการแก้ไขที่เหลวไหลหรอกหรือ

ปรารถนาจะถอดจิตสำรวจตน การชำระล้างกระดูกเป็นความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุด เฉินฉางเซิงมิใช่คนเผ่าปีศาจ จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเหล็กเช่นนี้ ถ้าหากเขาคิดจะข้ามด่านการชำระล้างกระดูก ทำตามความรู้ในคลังคัมภีร์เต๋าเข้าสู่ขั้นถอดจิตโดยตรง ถึงแม้เขาจะเสาะหาละอองดาวที่ซุกซ่อนอยู่ตามร่างกายบางแห่งพบ เมื่อเหนี่ยวไก ก็รอคอยให้เขาตายอยู่ในสนาม

ถ้าหากคาดการณ์ไม่ผิด ในหมายเหตุคัมภีร์การถอดจิตสี่ประการคนทิศใต้ที่ร่างกายปะทุจนเสียชีวิต ชัดเจนยิ่งนักว่าเสียชีวิตอย่างเลอะเลือน

ทว่าถ้าหากไม่ถอดจิตสำรวจตน เดิมทีเขาก็ไม่อาจเสาะหาละอองดาวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในร่างกายได้ ชั่วชีวิตของเขาก็คงจะหยุดอยู่ที่ปากประตูขั้นชำระล้างกระดูก ไม่อาจเดินไปข้างหน้าได้นิจนิรันดร์ ไหนเลยจะไม่ทำให้คนสิ้นหวังเล่า

นี่เป็นปัญหาชีวิตที่ยากทั้งสองสิ่ง

ถึงแม้จะเป็นเขาที่รักและทะนุถนอมเวลาที่สุด ก็จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการคิดใคร่ครวญว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี จึงยากที่จะตัดสินใจ

เพียงแค่การสอบใหญ่ไม่ไกลจากนี้แล้ว เวลาที่เหลือให้เขาก็ไม่มาก

กฎแห่งสวรรค์ หรืออาจจะกล่าวว่าโชคชะตา ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ

โชคชะตาของเขาไม่ดีจริงๆ เขายังไม่หยุดอยู่ที่การมีโรคที่รักษาได้ยากยิ่ง ตอนนี้มองแล้ว ยังมีสถานการณ์ที่ผู้ฝึกบำเพ็ญน้อยอย่างยิ่งจะเคยพบเจออยู่บนตัวเขาด้วย

เขากลัดกลุ้มใจอย่างยิ่ง ตอนนี้เอง ได้ยินเสียงเซวียนหยวนผ้อตะโกนเรียกกินอาหารรอบดึกจากที่ไกล

เพราะสาเหตุของความแข็งแรง น้อยอย่างยิ่งที่เขาจะกินอาหารมื้อดึก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขายิ่งกลัดกลุ้มใจ

เขาไม่อยากพบเจอพวกเขา จึงเดินลงจากอาคารหลังเล็ก เปิดประตูบานใหม่บนกำแพงนั้น เดินเข้าไปในสวนร้อยหญ้า

ป่าฤดูใบไม้ร่วงพัดไสวอยู่ในสายลมยามค่ำคืน ในที่ไกลออกไปมีแสงตะเกียงไฟริบหรี่

สุดท้ายแล้วจะต้องทำอย่างไร เขายังคงลังเลไม่ได้ตัดสินใจ เป็นธรรมดาอย่างยิ่ง คิดไปถึงมังกรดำข้างใต้พระราชวัง คิดไปถึงประโยคที่เขาเคยเอ่ยกับต่อหน้ามังกรดำตัวนั้น

ปรารถนาจะมีชีวิตต่อไป ก็คงจะต้องสู้อย่างสุดชีวิตจริงๆ

หลังจากนั้นเขาคิดขึ้นได้ว่าตนได้รับปากมังกรดำว่าจะไปเยี่ยมมัน ทว่ากลับไม่มีโอกาสมาตลอด

เวลานี้เอง เขาเห็นเงาร่างสีดำขลับของสัตว์ตัวหนึ่ง คล้ายกับว่าสัตว์เทพ

ไม่ใช่มังกรดำตัวนั้น

เป็นแพะดำตัวนั้น

เฉินฉางเซิงประหลาดใจเล็กน้อย เดินไปนั่งยองๆ ด้านหน้าแพะดำ เอ่ยถาม “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”

……

……

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset