ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 129 บรรดาคนหนุ่มสาวก่อนพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ

สุสานเทียนซูอยู่ที่จิงตู จิงตูเป็นศูนย์กลางของเมืองต้าโจว ก็เป็นศูนย์กลางโลกของเผ่ามนุษย์ จนกระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นศูนย์กลางของต้าลู่ ไม่ว่าจะเป็นพลังอำนาจของบรรดาพรรคทางทิศใต้ หรือเป็นความผูกพันดั่งพันธมิตรระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจ ต่างก็ต้องยอมรับตำแหน่งดั้งเดิมของราชวงศ์ต้าโจว อยู่ในผลประโยชน์จำนวนมากจึงทำให้ยอมอ่อนข้อมากมาย

มีเพียงแค่คนที่สอบผ่านการสอบใหญ่ รวมทั้งผู้มีความพิเศษที่คนจำนวนน้อยอย่างยิ่งมี ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปสู่หนทางสุสานเทียนซู ด้วยเหตุนี้การสอบใหญ่เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ เปรียบเทียบจากการประชุมใหญ่จู่สือที่สามปีหรือว่าห้าปีถึงจะมาจัดขึ้นหนึ่งครั้งก็ยิ่งมีความสำคัญมากกว่า การสอบใหญ่ปีนี้จะต้องจัดที่พระราชวังหลีเป็นแน่ เมื่อเวลายามเช้าตรู่ ด้านหน้าเสาหินของพระราชวังหลี มีผู้คนรวมตัวกันเป็นพันเป็นหมื่น มีขายเมล็ดแตงและผลไม้ ขายขนมแป้งนึ่งและอาหารประเภทเนื้อ และยังมีขายตั่งนั่ง มองอย่างละเอียดแล้วแผงขายน้ำมีจำนวนมากที่สุด ประชาชนชาวจิงตูปีหนึ่งต่างก็จะได้ดูการสอบใหญ่ครั้งหนึ่ง ต่างทราบดีเกี่ยวกับกฎระเบียบการสอบ คนจำนวนมากยังคงอยู่ในบ้านเรือนของตน ประชาชนที่รวมตัวกันส่วนใหญ่เป็นผู้ชมที่มาจากทุกทิศทุกทางของต้าลู่ สามารถจินตนาการได้ว่าเมื่อการสอบใหญ่เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อผู้คนทั้งหมดมายังด้านนอกพระราชวังหลี ทั่วทั้งสนามจะครึกครื้นอย่างไร

บรรดานักเรียนที่เข้าร่วมการสอบใหญ่เป็นธรรมดาที่จะมาเร็วกว่าประชาชนที่เห็นว่าครึกครื้นเสียอีก ด้านหน้าเสาหินของพระราชวังหลีถูกแยกห่างจากพื้นที่ประมาณพันกว่าจั้ง ด้านในมีรถม้าทุกรูปแบบจอดอยู่เต็มแล้ว ในตอนเช้าแสงอาทิตย์อ่อนๆ อาจารย์ของทุกสำนักได้เตือนสตินักเรียนเป็นครั้งสุดท้าย ยังมีนักเรียนบางส่วนที่กำลังหลับตาพักผ่อนร่างกาย

สิ่งที่ทำให้พื้นที่ผืนนี้กับกลุ่มฝูงชนที่ครึกครื้นแยกห่างจากกันคือผ้าสีเหลืองยาวอย่างยิ่งผืนหนึ่ง กล่าวตามเหตุผล ผ้าผืนนี้ไม่อาจกันกั้นความดุเดือดของฝูงชน ยิ่งหมดปัญญาที่จะขัดขวางความสามารถในการแย่งชิงอาณาเขตของแผงลอย แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ ไม่ว่าจะเป็นฝูงชนหรือว่าแผงลอย ก็ไม่กล้าแม้แต่ข้ามผ่านผ้าผืนยาวแม้แต่ก้าวเดียว

เพราะว่ามีขุนนางกับทหารรักษาพระราชวังที่ท่าทางน่าเกรงขามยืนอยู่รอบๆ ผ้าร่วมร้อยนาย และเป็นเพราะปลายของผ้าผืนนี้มีแรดสีดำที่ลากรถม้าอยู่ ผู้คนทั่วทั้งจิงตูต่างทราบดี บนโลกใบนี้มีเพียงรถม้าเพียงคันเดียวที่ใช้แรดเป็นพาหนะในการลาก รถคันนั้นมีเพียงคนเดียวที่นั่งตลอดกาล ใต้เท้าโจวทงแห่งกรมอาญา

บรรดานักเรียนของทิศใต้ได้มาถึงนานแล้ว สำนักต่างๆ ของพรรคฉางเซิงก็มาถึงแล้ว โก่วหานสือและบรรดาลูกศิษย์เขาหลีซานยืนอยู่ข้างหน้าสุด ท่าทางสงบนิ่ง ราวกับว่าวันนี้เป็นเพียงแค่วันปกติ แสงอรุณยามเช้าร่วงหล่นบนใบหน้าของเขา สายลมยามเช้าตรู่พัดแขนเสื้อคลุมเบาๆ กล่าวไม่ออกว่าเป็นความสงบนิ่งเยือกเย็น ไม่อาจทราบได้ว่าดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมากเพียงใด

บรรดาพรรคที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มีลูกศิษย์มา ศิษย์น้องของวัดพยัคฆ์ลำธารที่ถูกถังซานสือลิ่วด่าทอจนร้องไห้ผู้นั้นอยู่ในกลุ่มฝูงชน จ้องมองแสงอรุ่นในกลุ่มตำหนักพระราชวังหลี ใบหน้าเรียวเล็กที่อ่อนเยาว์ราวกับขีดเขียนไปด้วยความตึงเครียดและผิดหวังห่อเหี่ยว ศิษย์พี่ผู้หนึ่งลูบศีรษะของนาง ยิ้มพลางเอ่ยไม่กี่ประโยคออกมา

สตรีนางหนึ่งที่สวมชุดคลุมของสถานศึกษาหนานซีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่ายอมรับในความกดดันที่มากมาย สถานศึกษาหนานซีแบ่งเป็นฝ่ายนอกและฝ่ายใน ฝ่ายในมีเพียงแค่สวีโหย่วหรงคนเดียว ฝ่ายนอกมีคนจำนวนมาก นางถูกอาจารย์คัดเลือกให้มาเข้าร่วมการสอบใหญ่ เป็นธรรมดาที่จะต้องแบกรับหน้าที่บางอย่าง

ทางทิศใต้ของแม่น้ำวั่งชวน มีสำนักต่างๆ จำนวนมากจนไม่อาจนับได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นสำนักที่อยู่ในความดูแลของพรรคฉางเซิงกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองพรรคนี้ต่างก็อยู่ในระบบของนิกายทางทิศใต้ และก็นับเป็นสำนักเดียวกันได้ พวกคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่ที่แห่งนั้น บางครั้งบางครากล่าวเสียงต่ำเอ่ยบางอย่าง ความไม่สงบของคนต่างเมืองและความรู้สึกไม่สงบจากการสอบใหญ่ที่กำลังจะมาถึงถูกทำให้เจือจางลงไปมาก

มีเพียงบุรุษหนุ่มน้อยเพียงคนเดียวที่สวมชุดคลุมสีดินแดงจากบรรดาทั้งหมด ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามที่ไกลออกไป นักเรียนหนุ่มน้อยศึกษาตำราเหล่านี้ ต่างก็มาจากสำนักต้นไหวในตำนาน

ตรงกันข้ามกับนักเรียนทิศใต้ บรรดาสำนักในจิงตู รวมทั้งบรรดานักเรียนคนหนุ่มที่สอบผ่านการเตรียมสอบ ต่างก็ยืนอยู่ตรงทิศทางตะวันออกของสนาม อยู่ใกล้กับพระอาทิตย์ยามเช้า อีกทั้งยังรับลมที่หนาวเย็นซึ่งพัดมาจากทิศตะวันตก ตำแหน่งจะต้องดีขึ้นอีกมาก จำนวนคนจะต้องมีมากกว่าฝ่ายตรงข้ามอีกมาก มองทั่วทั้งผืนมีคนมืดฟ้ามัวดิน เดิมทีก็ไม่อาจนับได้ว่ามีคนมากน้อยเพียงใด

ท่าทางของจวงห้วนอวี่เมินเฉยยืนอยู่ด้านหน้าสุดของบรรดานักเรียนสำนักเทียนเต้า ตำแหน่งของสำนักเทียนเต้าก็อยู่อันดับหน้าสุดของคนทั้งหมด ลำดับถัดมาก็เป็นสำนักเด็ดดารา หอจงซื่อ และบรรดาสำนักไม้เลื้อยที่เหลือ ทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ กระทรวงสิบสามชิงเหย้ามีเสียงกระซิบกระซาบของพวกนักเรียนสตรีที่คล้ายกับว่าดึงดูดสายตาผู้คนไม่หยุด หลังจากนั้นก็เป็นนักเรียนธรรมดาที่ผ่านการเตรียมสอบ

การสอบใหญ่รับเอาเพียงแค่สามอันดับแรก ถูกมองว่ามีแนวโน้มจะเป็นของลูกศิษย์ของสำนักใหญ่เหล่านั้น ดังเช่นจวงห้วนอวี่สำนักเทียนเต้า ซูม่ออวี๋สำนักจวนราชวังหลี ขุนพลทหารของสำนักเด็ดดาราสองนาย ศิษย์พี่ผู้หนึ่งของสำนักกระทรวงสิบสามชิงเหย้า หลายปีมานี้ นิกายทางทิศใต้เป็นรุ่นของคนหนุ่มที่มีความโดดเด่นไร้ผู้ใดเปรียบ เป็นธรรมดาที่จะยิ่งได้รับความสนใจ ลูกศิษย์ทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซาน คนหนุ่มผู้รักการอ่านของสำนักต้นไหว ล้วนแต่ถูกจับตามองว่าจะเป็นคนที่สมเหตุสมผลจะเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรก

สิ่งที่ผู้คนยิ่งให้ความสนใจก็คือ ผู้ใดจะเข้าไปอยู่ในอันดับแรก

ก็เหมือนกับประวัติศาสตร์ในการฝึกบำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์ การสอบใหญ่แบ่งออกเป็นปีใหญ่กับปีเล็ก ปีนี้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นปีใหญ่ ความดุเดือดในการแข่งขันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อันดับแรกของการสอบใหญ่ปีที่ผ่านมาก็คืออันดับสามของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ แต่ถ้าหากเขาต้องการจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ เกรงว่าแม้แต่อันดับต้นๆ ก็ไม่อาจเข้าได้

ปีนี้ เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพส่งลูกศิษย์มาสี่คนในคราวเดียว สำนักต้นไหวมาสี่คน เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ส่งลูกศิษย์สตรีที่มีคุณสมบัติดีพร้อมที่สุดมา ทางด้านจิงตู ผู้หยิ่งยโสดังเช่นจวงห้วนอวี่ในที่สุดก็ไม่รั้งรออีกต่อไป ยังมีผู้แกร่งกล้าดังเช่นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่ตัดสินไม่รั้งรอต่อไปเช่นกัน จะต้องแสดงเกียรติยศออกมาในการสอบใหญ่ปีนี้ มีเพียงบรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่าปีศาจ ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะองค์หญิงลั่วลั่วอยู่ที่จิงตูหรือไม่ จึงมิได้ส่งคนเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ แน่นอนว่าไม่นับหนุ่มน้อยที่ซื่อตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมของสำนักฝึกหลวงผู้นั้น

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยก่อนหน้านี้มิได้เข้าร่วมการสอบใหญ่ เป็นเพราะเวลานั้นเขายังไม่ผ่านขั้นทะลวงอเวจี จึงไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะชิวซานจวินในตำนานเพื่อที่จะเอาอันดับแรกได้

ใช่แล้ว ชิวซานจวินไม่เข้าร่วมการสอบใหญ่ เขาก็มิได้มีความสนใจใดๆ ในการสอบใหญ่ทั้งสิ้น จวงห้วนอวี่ก็เป็นเช่นนี้ เหล่านักเรียนของสำนักต้นไหวก็เป็นเพราะสาเหตุเดียวกัน จนกระทั่งวันนี้ถึงเพิ่งจะมาจิงตู

ผู้มีพรสวรรค์หนุ่มน้อยที่ทระนงตนของทั่วทั้งต้าลู่ เป้าหมายของพวกเขาก็คือชิวซานจวินมาตลอด

น่าเสียดาย ปีนี้ชิวซานจวินยังคงไม่ปรากฏตัวออกมา

แต่ว่าพวกเขาหมดหนทางที่จะรั้งรอต่อไปได้ สุสานเทียนซูอยู่ตรงนั้นรอคอยพวกเขามานานหลายปีแล้ว หากยังไม่เข้าสุสานเทียนซูตระหนักในสัจธรรม เห็นทีจะกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ผ่านมาของพวกเขา

ในเมือชิวซานจวินไม่เข้าร่วมการสอบใหญ่ ตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ มีสองคนที่มีความหวังจะเอาอันดับแรกของการสอบใหญ่ในปีนี้ก็คือโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ทุกหนทุกแห่งของต้าลู่ต่างก็พนันขันต่อกันเช่นนี้ คนหนุ่มรักการอ่านไม่กี่คนของสำนักต้นไหวกับจวงห้วนอวี่ ต่างถูกมองว่ามีแนวโน้มช่วงชิงเข้าไปอยู่ในอันดับต้นได้

สำหรับชื่อที่เป็นที่เล่าขานแพร่สะพัดก่อนหน้านี้กลับถูกผู้คนตั้งใจลืมเลือน การวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของการสอบใหญ่มีน้อยมากที่ผู้คนจะเอ่ยชื่อของสำนักแห่งนั้น

ประหนึ่งเพื่อยืนยันว่าความคิดของผู้คนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โรงพนันทุกแห่งเพราะว่าการสอบใหญ่จึงออกใบรายชื่ออัตราการจัดอันดับ ชื่อนั้นตั้งแต่ต้นจนจบจัดอยู่ในอันดับสุดท้าย อัตราการจัดอันดับสูงจนแปลก เพียงแค่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อคืนวาน อัตรารายชื่ออันดับแรกของการสอบใหญ่เกิดการผันแปรอย่างรุนแรง รายชื่อนั้นดิ่งลงข้างล่างไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าจะจัดมาอยู่อันดับที่สี่จากลำดับสุดท้าย

ผู้แกร่งกล้ามารวมตัวกันเป็นจำนวนมากในการสอบใหญ่ปีนี้ กล่าวได้ว่าเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดสนามหนึ่งในสิบปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการกล่าวถึงข้อมูลนับไม่ถ้วน ดังเช่นสำนักแห่งนั้นกับคนผู้นั้น แต่ว่ายังคงมีความเสียใจปะปนอยู่บ้าง ชิวซานจวินกับสวีโหย่วหรงที่ฝูงชนจับตามองยังคงมิได้มาเข้าร่วมเหมือนเดิม ผู้คนบนโลกนี้ต่างทราบดี พวกเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสามารถรับชัยชนะเพื่อเข้าไปศึกษาสัจธรรมในสุสานเทียนซู แต่ถ้าหากพวกเขามาเข้าร่วมการแข่งขัน การสอบใหญ่ในปีนี้คงจะสั่นสะเทือนยิ่งนัก

ไร้ผู้คนล่วงรู้ เพราะเหตุใดชิวซานจวินถึงไม่มาเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ แม้แต่โก่วหานสือกับบรรดาศิษย์น้องที่สนิทสนมใกล้ชิดกับเขาที่สุดก็ไม่อาจทราบได้

กล่าวตามเหตุผล ตามระดับวิทยายุทธ์ของเขา การสอบใหญ่หลายครั้งที่ผ่านมาก็ควรจะเข้าร่วม แต่ก่อนผู้คนต่างคิดมาตลอดว่าเขาปรารถนาจะรอศิษย์น้องโหย่วหรงเพื่อเข้าไปวิเคราะห์สัจธรรมด้วยกัน ผู้คนต่างคิดว่าสวีโหย่วหรงคงจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่มา ด้วยเหตุนี้ชิวซานจวินก็ไม่มาด้วยอย่างนั้นหรือ

เพราะเหตุใดสวีโหย่วหรงถึงไม่มา เพราะการสู่ขอในการชุมนุมไม้เลื้อย หรือเป็นเพราะเป็นการสมรสที่ท่านปู่หมั้นหมายให้กับนาง

ตอนนี้เอง มีรถม้าคันหนึ่งได้ข้ามผ่านผ้าสีเหลือง มายังสนาม

เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มฝูงชนที่อยู่ด้านหน้าพระราชวังหลี มีคนรู้จักฐานะของบุคคลที่ลงมาจากรถม้าผู้นั้น

หนุ่มน้อยที่เดินอยู่หลังสุดผู้นั้นคือเฉินฉางเซิงผู้ที่ทำให้จิงตูมีลมฝนปั่นป่วน

หนุ่มน้อยผู้นั้นมองแล้วธรรมดาเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นว่าที่สามีของสวีโหย่วหรง

เป็นหนุ่มน้อยผู้นี้ ที่จะเอาอันดับแรกประกาศแรก

มีสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงหล่นมายังบนร่างกายของเฉินฉางเซิง

เขาราวกับว่ามิได้รู้สึกใดๆ ตามข้อบังคับที่อาจารย์ซินได้บอกกับตนก่อนนั้น ให้นำสมุดรายชื่อกับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสมัครมา หลังจากนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งของสำนักฝึกหลวงที่ได้จัดไว้

กิจธุระของการสอบใหญ่ ล้วนแต่เป็นสำนักการศึกษากลางรับผิดชอบจัดการ ตำแหน่งเป็นธรรมดาที่เป็นสำนักการศึกษากลางได้จัดเตรียมให้

ตำแหน่งของสำนักฝึกหลวง…อยู่ด้านหน้าสุด

ยังอยู่ด้านหน้ามากกว่าสำนักเทียนเต้า

ต้อนรับแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ สะดุดตาไร้ที่เปรียบ

ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฝูงชนที่มองแล้วครึกครื้น หรือว่าพวกคนหนุ่มของทางทิศใต้ที่อยู่ตรงข้าม ล้วนมองพวกเขาได้อย่างสะดวกยิ่งนัก

การจับจ้องของกลุ่มฝูงชน สะดวกยิ่งนัก

ในสนามทั่วทั้งผืนเงียบเชียบขึ้นมา ผู้คนทั้งหมดทอดสายตามองไปยังคนหนุ่มทั้งสามของสำนักฝึกหลวง

หลังจากนั้น…พลันมีเสียงอึกทึก เสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วนดังขึ้นมา

ได้ยินมาว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นแม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ไม่สำเร็จ คิดไม่ถึงจะเอาอันดับแรกประกาศแรก ใช่กำลังคุยเรื่องขบขันกันอยู่หรือไม่ หนุ่มน้อยผู้นั้นก็คือลูกหลานของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยหรือ ผู้อาวุโสตระกูลถังทุ่มเงินให้กับเขาไปเท่าไหร่แล้ว หนุ่มน้อยที่ดูหยาบกระด้างกล้าหาญคือผู้ใด อายุเพิ่งจะสิบสามปีกระมัง เดิมทีก็เป็นเผ่าปีศาจที่โง่เขลา

ตำแหน่งของสำนักฝึกหลวงถูกจัดเตรียมไว้ให้อยู่ด้านหน้าสุด คนที่โกรธเคืองที่สุดก็คือพวกนักเรียนของสำนักเทียนเต้า หลังจากสำนักฝึกหลวงพ่ายแพ้มาสิบกว่าปีก่อน สำนักเทียนเต้าก็เป็นผู้นำของบรรดาสำนักไม้เลื้อยอย่างมิต้องสงสัย ผู้ใดจะคาดคิดมาก่อนว่าตำแหน่งของปีที่ผ่านมา ปีนี้คาดไม่ถึงจะถูกสำนักฝึกหลวงช่วงชิงไปเสียแล้ว จวงห้วนอวี่มิได้เอ่ยสิ่งใด ทว่านักเรียนคนหนึ่งของสำนักเทียนเต้ากล่าวตำหนิออกมา “วันนี้คาดไม่ถึงว่าจะมาสาย”

วันนี้ถังซานสือลิ่วตั้งใจแต่งตัว เสื้อสีดำปลิวสะบัด เข็มขัดหยกรัดแน่น มือโบกพัดกระดาษ ใบหน้าไร้ความรู้สึก ยากที่จะเอ่ยว่าทระนงขนาดไหน

เขามิได้สนใจผู้ที่เคยเป็นสหายร่วมสำนักผู้นั้น สะบัดพัดกระดาษเบาๆ ขณะกำลังแสดงความสง่าผ่าเผย อยู่ๆ พลันได้ยินเสียงเรอดังมาจากข้างๆ

เขารู้สึกโมโหหันกายไปมอง ใช้พัดปิดจมูก จ้องมองไปยังเซวียนหยวนผ้อพลางเอ่ยว่า “ไม่ให้เจ้ากินมากเกินไป เจ้าก็ไม่ฟัง เนื้อกวางที่เหลือมีอะไรอร่อยอย่างนั้นหรือ”

เซวียนหยวนผ้อลูบหน้าท้อง รู้สึกเขินอายตอบว่า “ได้ยินมาว่าบางครั้งการสอบใหญ่จะต้องต่อเนื่องสามวันสามคืน อีกทั้งยังไม่ให้กินอาหาร เป็นสิ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง พูดอีก ถึงแม้เวลานี้จะอากาศเย็น แต่ว่าเนื้อกวางนั่นวางไว้สองวันแล้ว หากยังวางไว้ถึงสามวัน เช่นนั้นก็วางจนเสียแล้ว การสิ้นเปลืองเป็นสิ่งไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

ได้ยินประโยคเหล่านี้ สีหน้าของพวกนักเรียนที่อยู่ใกล้เปลี่ยนเป็นหลากสีสัน

การสอบใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นรอมร่อ เจ้าเด็กของสำนักฝึกหลวงทั้งสองคน คาดไม่ถึงยังมีอารมณ์ถกปัญหาเหล่านี้รึ

เฉินฉางเซิงไม่มีกะจิตกะใจถกปัญหาเหล่านี้

เวลานี้ถูกคนจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมอง เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว

เขาอยากกลับไปเมืองซีหนิง

เวลานี้เขารู้สึกไวต่อสายตาเป็นพิเศษ

เขาพบว่ามีคนมิได้มองมาที่ตน

นั่นเป็นหนุ่มน้อยผู้หนึ่ง

หนุ่มน้อยผู้นั้นยืนอยู่ในขบวนของสำนักเด็ดดารา กลับมิได้สวมเสื้อผ้าที่คล้ายกับชุดทหารของสำนักเด็ดดารา

อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ หนุ่มน้อยผู้นั้นกลับสวมเสื้อผ้าแค่ตัวเดียว ถึงขนาดว่าพับม้วนแขนเสื้อขึ้น แขนเล็กๆ โผล่ออกมาอยู่ในสายลม

เวลานี้ ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าพระราชวังหลีจ้องมองเฉินฉางเซิง หนุ่มน้อยผู้นั้นกลับมองไปยังที่ไกลๆ ที่ซึ่งแสงอาทิตย์จะขึ้นเป็นเส้นตรง

อยู่ท่ามกลางฝูงชนดุจมหาสมุทร หนุ่มน้อยผู้นั้นคล้ายกับว่าโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ

เฉินฉางเซิงอยู่ๆ ก็รู้สึกว่า หนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นดังเช่นตน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

Status: Ongoing
ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset