ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 13 สหายที่ทำให้กล่าวสิ่งใดไม่ออก (ตอนปลาย)

“ถ้าหากข้ามองไม่ผิด เจ้าคงจะเป็น…คนธรรมดาใช่ไหม”

“ใช่แล้ว ข้ายังไม่เคยเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร”

“การสอบใหญ่…ต้องการขึ้นป้ายประกาศแรกและต้องการเป็นลำดับแรกใช่ไหม”

“ใช่แล้ว ข้าจะต้องเอาลำดับที่หนึ่งเท่านั้น”

คำถามของถังซานสือลิ่วตรงไปตรงมา เฉียบคมอย่างยิ่ง เฉินฉางเซิงกล่าวตอบอย่างจริงจัง สงบนิ่งยิ่งนัก ราวกับว่าบรรยายเรื่องราวธรรมดาๆ สักเรื่องหนึ่ง ดั่งเช่นการรับประทานอาหารควรที่จะจัดให้มีเนื้อสัตว์และผักให้เหมาะสมตามหลักเหตุผล ไม่ควรกินเค็มมากและมันมาก ควรที่จะนอนหัวค่ำตื่นเช้าตรู่ อย่างนี้ถึงจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

ชีวิตคนเราก็คือกิน ดื่ม ถ่ายปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระ เช่นนี้ก็ไม่ผิด มีทั้งหนักทั้งเบาเช่นนี้ นำเอาเรื่องสูงส่งเปลี่ยนเป็นเรื่องพื้นๆ ธรรมดา ทัศนคติก็ไม่เลว ปัญหาอยู่ตรงที่ เรื่องที่ต้องการขึ้นเป็นประกาศแรกชื่อแรกของการสอบใหญ่ ไม่ใช่การกิน ดื่ม ถ่ายปัสสาวะ ถ่ายอุจจาระ ธรรมดาจริงๆ เพราะว่าต้องการแค่ลำดับที่หนึ่งเท่านั้น ดังนั้นจำเป็นต้องได้ลำดับที่หนึ่ง สายลมแผ่วเบาก้อนเมฆอ่อนบางเช่นนี้ เป็นการบรรยายที่สมเหตุสมผล ที่จริงแล้วคงไม่มีหลักการไหนได้กล่าวไว้

เป็นเด็กน้อยที่มีพละกำลังดั่งไก่ผู้ไม่มีสิ่งใดผูกมัด กล่าวว่าอยากจะดึงหนวดมังกรทองยักษ์ที่แกร่งกล้าที่สุดบนโลกนี้มาเป็นกระบี่ เช่นนี้คงจะเป็นนิทานที่ดีงามยิ่งนัก แต่ในความเป็นจริงคงจะมีคนกล่าวว่า คงจะถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน คนผู้นั้นคงจะถูกมองว่าเป็นคนบ้าหรือไม่ก็คนโง่เขลา แน่นอน อาจจะเป็นพรสวรรค์ของผู้ที่ไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า

ระหว่างผู้มีพรสวรรค์และผู้โง่เขลามีเพียงเส้นหนึ่งเส้นกั้นไว้ เส้นนั้นก็คือความเป็นไปได้

เหมือนว่าเฉินฉางเซิงคงจะมองข้ามเส้นนี้อย่างแน่นอน และยังเป็นคนเชื่อมั่นไม่สงสัย สุดท้ายแล้วควรจะจัดให้ไปอยู่ฝั่งไหนกันเล่า

ถังซานสือลิ่วแต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนที่ทะนงตนอย่างยิ่ง ลุ่มหลงตัวเอง วันนี้กลับพบผู้ที่สงบนิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดน้อย เจ้าเด็กที่ไร้เดียงสาถึงขนาดอ่อนต่อโลก ในที่สุดความทะนงตนและการหลงตัวเองก็นำผลกระทบพังพินาศมาสู้ตนเอง

พูดตามหลักการ

คนโง่เขลาที่พูดเพ้อเจ้อเดิมทีไม่สามารถคุกคามผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงเช่นเขาได้ ปัญหาอยู่ตรงที่ แววตาที่เด็ดเดี่ยวของเฉินฉางเซิงเมื่อกล่าวเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มีหนทางที่จะโต้ตอบหรือหัวเราะเยาะ ราวกับจิตใจเบื้องลึกของเขาคิดว่าสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้อาจจะสามารถเกิดขึ้นได้!

นี่เพราะเหตุใด ถังซานสือลิ่วถ้าหากรู้ว่าเฉินฉางเซิงเคยทำให้ฮูหยินแห่งจวนขุนพลเทพตงอวี้และสตรีนางนั้นรวมถึงสาวใช้ซวงเอ๋อร์ล้วนแต่เคยผ่านช่วงเวลาที่ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดมาแล้ว อย่างนั้นเขาคงจะคิดว่าโล่งอกไปมากทีเดียว อย่างน้อยก็สามารถแสวงหาเจ้าเด็กที่เป็นคนประเภทเดียวกันเห็นอกเห็นใจกันได้

ดื่มชาหอมจนเหือดแห้ง จนกระทั่งถังซานสือลิ่วเคี้ยวใบชาโดยไม่รู้ตัว การสั่นไหวก่อนหน้านี้เพิ่งจะทำให้เขารู้ตัว จ้องมองลักษณะท่าทางที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ราวกับว่าก่อนหน้านี้เฉินฉางเซิงไม่ได้กล่าวประโยคนั้นออกมา อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ในใจคิดเจ้าเด็กคนนี้ทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดได้จริงๆ

“เพียงเวลาไม่ถึงหนึ่งปี…ถึงแม้ข้าจะเลื่อมใสความหวังที่กว้างใหญ่ของเจ้า แต่จากมุมมองของสติปัญญา ที่จริงแล้วคงไม่มีหนทางที่จะสนับสนุนเจ้า ดังนั้นก็ไม่มีประโยคที่จะกล่าวอวยพรให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นราวกับว่าข้าช่างเป็นคนที่จอมปลอม ข้าเพียงแค่อยากจะเตือนเจ้า ทางจวนขุนพลเทพตงอวี้คงไม่ยอมวางมือง่ายๆ”

ถังซานสือลิ่วไม่รู้ว่าระหว่างเฉินฉางเซิงและจวนขุนพลเทพตงอวี้มีความแค้นอะไรกัน เขาคิดดูแล้ว อย่างไรเสียจิงตูก็เป็นเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองอันดีงามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จวนขุนพลเทพตงอวี้ดำเนินการกีดขวางอนาคตความก้าวหน้าอย่างลับๆ ก็คงไม่สามารถทำเรื่องราวให้มันเลยเถิด

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบสักครู่ เอ่ยว่า “ข้าจะพยายามหลบหลีกพวกเขาอย่างเต็มที่”

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “สามารถหลบหลีกได้รึ แม้แต่สำนักเด็ดดารายังไม่รับเจ้า”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “จวนขุนพลเทพตงอวี้ ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสำนักเด็ดดารา สวีซื่อจีไม่ได้มีความสามารถขนาดนั้น ได้ยินมาว่า…ในพระราชวังมีคนพูดคุยกัน ดังนั้นข้าจึงแปลกใจยิ่งนัก ปัญหาระหว่างเจ้ากับจวนขุนพลเทพตงอวี้ แท้ที่จริงมีความลับอะไรปกปิดไว้ คาดไม่ถึงว่าจะพัวพันไปถึงราชวัง”

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่าที่สำนักเด็ดดาราไม่ได้รับตนเข้าศึกษา เบื้องหลังยังมีความลับเช่นนี้ แปลกประหลาดใจยิ่งนัก ลืมคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง พลันได้สติขึ้นมา รู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย

สำนักเด็ดดาราที่เขาเคารพเผชิญหน้ากับเหตุสุดวิสัย ถึงได้ทำเรื่องไม่คุ้มค่าแก่การเคารพเหล่านั้น

ปัญหาต่อไป เพราะเหตุใดถึงเกิดเหตุสุดวิสัยนั่นได้

ไม่เอ่ยถึงเมืองต้าซีโจวอันลึกลับและไกลโพ้น ศูนย์กลางดินแดนต้าลู่มีผู้สูงส่งเยอะแยะมากมาย เป็นสถานที่ชาวบ้านคนธรรมดาห้ามเข้าใกล้ ดังเช่นประตูใหญ่ของสำนักทางทิศใต้ เมืองเสวี่ยทางทิศเหนือ…และรวมไปถึงผู้นำของต้าโจวผู้ที่ได้รับชนะในตอนท้ายในสงครามระหว่างมนุษย์และเผ่ามาร ทำให้พระราชวังของต้าโจวจิงตูกลายเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

เล่าขานกันว่าในราชวังแห่งนั้นมีองครักษ์ผู้แกร่งกล้าที่บรรลุขั้นทะลวงอเวจีจำนวนนับไม่ถ้วน เล่าขานกันว่าในราชวังมีขันทีผู้มีฝีมือบรรลุขั้นรวบรวมดารา เล่าขานกันว่าในราชวังมีสะพานไม้ไผ่สองแห่ง ในตำนานเล่าว่า ในราชวังมีแม้กระทั่งมังกรยักษ์ผู้มีอำนาจไม่เป็นสองรองใคร ซื่อตรง อายุพันปีตัวหนึ่ง!

ชีวิตในสิบสี่ปีก่อน เฉินฉางเซิงรู้จักราชวังต้าโจวผ่านตำรามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของตนเองจะมีความเกี่ยวพันกันกับสถานที่ที่ห่างไกลและลึกลับน่ากลัวนั่น คิดไปถึงคำพูดของถังซานสือลิ่ว เขานิ่งเงียบไม่กล่าวสิ่งใด ทำอย่างไรก็มิอาจเข้าใจ

“ด้านหน้าม่านของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มีสุนัขนั่งคุกเข่าจำนวนนับไม่ถ้วน สวีซื่อจีก็เป็นตัวหนึ่งที่ค่อนข้างดุร้ายน่ากลัว แต่ก็ไม่มีหนทางที่จะเชิญให้คนในราชวังเหล่านั้นไปข่มขู่สำนักเด็ดดารา ถึงแม้จะสามารถ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองค่าตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น ไม่จำเป็นที่เขาต้องจ่ายค่าตอบแทนมากมาย ผู้มีฐานะสูงส่งในราชวังกลับเป็นผู้ที่ปรารถนาจะลงมือทำเอง…”

พูดมาถึงตรงนี้ ถังซานสือลิ่วก่อนหน้านี้มีการคาดเดาที่คลุมเครือมาตลอด พลันเปลี่ยนเป็นชัดแจ้งขึ้นมา แต่ว่ามองใบหน้าที่อ่อนเยาว์ซีดเซียว ยังมีความรู้สึกสับสนเล็กน้อย แม้แต่การเชิญให้รับประทานอาหารเจ้าเด็กคนนี้ก็ทำไม่เป็น แท้จริงแล้ว…เกี่ยวข้องกันอย่างไรกับหงส์ตัวนั้น

เขาอยากจะถามเฉินฉางเซิงจริงๆ สุดท้ายแล้วเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่ผ่านพ้นวันนี้ เขาเข้าใจเรื่องของเฉินฉางเซิงอย่างยิ่ง รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ยินยอมพูด อย่างไรก็คงไม่พูดใดๆ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเขาเพียงสามารถกล่าวว่า “…จวนขุนพลเทพตงอวี้คนที่สำคัญแท้จริงก็คือนาง เจ้าต้องเข้าใจตรงนี้”

เมื่อกล่าวประโยคนี้ เขาจ้องมองดวงตาของเฉินฉางเซิงตลอดเวลา

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน ทันใดกล่าวถาม “นาง…แท้จริงแล้วเป็นคนอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วท่าทางมิได้เปลี่ยนแปลง ภายในใจกลับก่อเกิดคลื่นลูกใหญ่สั่นสะท้าน ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเฉินฉางเซิง และยังในตอนที่เขาพูดลักษณะท่าทางที่แสดงออกมาเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาคงจะมั่นใจอย่างแน่นอน ระหว่างเฉินฉางเซิงกับหงส์ตัวนั้นต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วปัญหาเป็นอย่างไร

“ยากมากที่จะบรรยายว่าเขาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือที่คนอื่นเล่าต่อๆ กันมา ทางด้านอุปนิสัยของนางไม่มีจุดไหนที่แปลกประหลาด”

ถังซานสือลิ่วพูดมาถึงตรงนี้ ค้นพบว่าการอธิบายออกมายากมากจริงๆ จนกระทั่งเขามองเห็นดวงตาของเฉินฉางเซิง ทันใดนั้นเวลานั้นเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

“นาง…เหมือนกับเจ้ามาก”

“นาง ก็เป็นเด็กที่ทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดเช่นกัน”

“แน่นอน เจ้าทำให้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เพราะว่าลักษณะท่าทางของเจ้าสงบเงียบยิ่งนัก น้ำเสียงเมื่อพูดจาก็ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ทำให้ผู้คนกลัดกลุ้มจนอยากจะอาเจียนออกมาเป็นโลหิต…เรื่องที่เล่าต่อกันมาบอกว่านางไม่ชอบพูดคุย น้อยมากที่จะคบค้าสมาคมกับผู้อื่น แต่ว่านางกับเจ้าเหมือนกัน ล้วนแต่ทำให้ผู้คนกลัดกลุ้มจนอยากอาเจียนเป็นโลหิต”

เฉินฉางเซิงมีบางอย่างงงงันไม่เข้าใจ

“เจ้ากับนางก็เป็นสหายที่ทำให้ผู้อื่นไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เพียงแค่วิธีต่างกันอย่างสิ้นเชิง นางไม่ต้องการพูดคุย นางไม่พูดเยาะเย้ย นางไม่เหยียดหยาม นางไม่ปรารถนาอยู่ที่สูงมองดูผู้ที่ต่ำกว่า…นางเพียงแค่ดำรงอยู่ เพียงปรารถนายืนอยู่ที่นั่น แค่นี้ก็เพียงพอให้ผู้คนจำนวนมากกลัดกลุ้มอยากจะอาเจียนเป็นโลหิตออกมา”

ถังซานสือลิ่วเงียบงันชั่วครู่ ตกอยู่ในความเงียบงันพลางเอ่ยว่า “ข้ายอมรับ คนเหล่านั้นก็คงจะรวมถึงข้าด้วย…มีสายเลือดของหงส์สวรรค์ ตื่นนอนด้วยตนเองตั้งแต่เยาว์วัย บำเพ็ญเพียรด้วยความราบรื่นอย่างยิ่ง สติปัญญาแกร่งกล้า จิตใจเด็ดเดี่ยวแกร่งกล้า อะไรก็ล้วนแกร่งกล้า…เจ้าไม่คิดว่าคนที่เป็นอย่างนี้ช่างเกินเลยหรือไม่”

“เหมือนกับว่าเกินเลยไปบ้าง”

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญ เอ่ยอีกครั้ง “แต่…เช่นนี้เหมือนกับว่าไม่สามารถโทษนางได้”

“เป็นเด็กสาวที่ทำให้ผู้มีพรสวรรค์ทั่วทั้งโลกสิ้นความหวัง ทำให้ผู้มีพรสวรรค์ทั้งโลกไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด คนเช่นนี้ก็คือคนที่น่าชิงชัง”

“คำพูดนี้ไม่มีเหตุผล”

“แท้จริงแล้วเจ้ายืนอยู่ข้างไหน”

“เพราะเหตุใดไม่สามารถยืนอยู่ข้างนางได้”

“เพราะ…ข้างกายของนางไม่ใช่ว่าใครจะสามารถยืนอยู่ได้”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “นางช่างพิเศษจริงๆ ในความเป็นจริง คนมากมายล้วนแต่คิดว่า อาจจะมีเพียงแค่ชิวซานจวินที่มีคุณสมบัติจะยืนอยู่ข้างนาง”

กล่าวประโยคนี้จบ เขาก็ได้ออกจากโรงเตี๊ยมไป

เฉินฉางเซิงมึนงง เริ่มการดำเนินชีวิตในวันปกติ เช็ดทำความสะอาดโต๊ะไม่ให้เปื้อนฝุ่นละออง น้อยมากที่จะพบเห็นว่าไม่อาบน้ำ น้อยมากที่จะไม่อ่านตำรา เดินไปถึงกลางสวนหย่อม ย้ายเก้าอี้เอนไม้ไผ่นอนใต้ต้นไม้ มีกลีบดอกไม้กับใบไม้สีเขียวที่จะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใบที่อุดมสมบูรณ์กั้นกลาง จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวงดงาม ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์ไม่มีความรู้สึกใดๆ

เขาได้ยินชื่อของสวีโหยว่หรงและชิวซานจวิน ลักษณะท่าทางของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลง อารมณ์ที่ยากจะหลีกเลี่ยงของเขายังคงหวั่นไหว ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงแค่หนุ่มน้อยอายุสิบสี่ปี

อารมณ์มีทั้งความโศกเศร้ามีทั้งความกลัดกลุ้ม

เป็นอารมณ์ที่เขาขับไล่ไปๆ มาๆ หลังจากเข้ามาถึงจิงตูเป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้เข้าใจและซาบซึ้ง

แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่สอบเข้าสำนักทั้งสี่แห่งติดต่อกันเพราะว่าจวนขุนพลเทพตงอวี้ ทางพระราชวังออกหน้ายับยั้งความคิดเห็นของสำนักเด็ดดารา ไม่ใช่เพราะขุนพลเทพตงอวี้ แน่นอนว่าเป็นเพราะนาง เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธ เพิ่มอารมณ์ทั้งโศกเศร้าทั้งกลัดกลุ้มครั้งนี้เข้าไปอีก เขาพบว่าตนเองนับวันนับจะชิงชังเด็กสาวที่ชื่อสวีโหย่วหรง

เมื่อยามวัยเยาว์อยู่ในวัด เขากล่าวกับศิษย์พี่ว่า ตนอาจจะโกรธผู้คน แต่กลับไม่รู้จักการชิงชังผู้อื่น

ตอนนี้เขาเริ่มที่จะชิงชังเด็กสาวคนนั้น

ใช่แล้ว เกรงว่าจะให้ผู้มีพรสวรรค์ของพรรคจำนวนนับไม่ถ้วน คนหนุ่มสาวจากแดนหิมะไม่กล้าที่จะมีปากมีเสียงกับหงส์สาว แต่ในจิตสำนึกของเฉินฉางเซิง นางก็เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

เขาจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง นางเกิดวันที่สิบเอ็ดเดือนสิบเอ็ด อ่อนกว่าตนสามวัน

เด็กหนึ่งวันก็คือเด็กกว่า ไม่ต้องพูดถึงเด็กกว่าสามวัน

เด็กสาวคนนี้ ช่างทำให้เบื่อหน่ายจริงๆ

เฉินฉางเซิงอารมณ์ยิ่งนานยิ่งย่ำแย่ ในใจคร่ำคิดเหตุใดอาจารย์ถึงได้หมั้นหมายการสมรสครั้งนี้ให้กับตนด้วยเล่า เขาพลิกกายลุกจากเก้าอี้ ปลดสิ่งเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่ออกจากเข็มขัด แล้วใส่เข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของสัมภาระ หลังจากนั้นเริ่มล้างหน้าล้างมือ ทำตนเองให้สะอาดสะอ้าน ในที่สุดอารมณ์ก็ดีขึ้นมามากแล้ว

ในกล่องมีหนังสือสมรสหนึ่งฉบับ สิ่งเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่นั่น คือสิ่งที่ส่งมาจากจิงตูเมื่อเขาอายุสิบเอ็ดปี เขายังจำนกกระเรียนที่ส่งของตัวนั้นได้ ยังจำหนังสือสมรสฉบับหนึ่งที่ส่งตามของชิ้นนั้นมาได้ ยังจำคำพูดที่อยู่ในจดหมายฉบับนั้นได้ และยังจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง หลังจากวันนั้นนกกระเรียนขาวตัวนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

ค่ำคืนนี้

นกกระเรียนขาวหนึ่งตัวได้ร่อนลงที่ยอดเขาเทพธิดาทางทิศใต้

ใต้ดวงดาวเดียรดาษเต็มท้องฟ้า มีเด็กสาวคนหนึ่งได้นั่งอยู่ริมหน้าผา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset