ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 132 ป่าต้มเวลา

เฉินฉางเซิงตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ว่าจะตามเหตุผลหรือว่าหลักทำนองคลองธรรม เวลานี้คนทั้งสองพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเหมาะสมนัก แต่โก่วหานสือก็ได้ถามออกมาตามสบายเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรเขามิได้มีความรู้สึกคิดร้ายต่อโก่วหานสือ เวลานี้ฝ่ายตรงข้ามแสดงท่าทางที่ตามสบาย ยิ่งทำให้เขารู้สึกสบาย ครุ่นคิดชั่วครู่ ก็บอกคำตอบของตนออกไป

“ข้าก็คิดว่าคงจะเป็นแนวคิดที่ท่านซ่งบรรยายตอนอยู่ที่แม่น้ำเหลียนนั่น ทว่าลำดับก่อนหลังที่ข้าจดจำกับที่เจ้าจดจำมีบางอย่างไม่เหมือนกัน”

โก่วหานสือกล่าวคำตอบของตน

ทั้งสองได้บอกให้ต่างฝ่ายทราบ พบว่าเหมือนกับการชุมนุมไม้เลื้อยมิปาน มีเพียงแค่เนื้อหาความรู้ที่แตกต่างกัน และยังในปี 1581 มีลำดับก่อนหลังการบำเพ็ญเพียรครั้งนั้น เฉินฉางเซิงศึกษาตำราเต๋าฉบับเก่าที่ยังมิได้รับการปรับปรุง โก่วหานสือเป็นธรรมดาที่ศึกษาฉบับที่นิกายหลวงได้ตรวจสอบแล้ว คนหนึ่งชนะในความหมายเดิม อีกคนชนะที่ความชัดเจน กลับเอ่ยไม่ชัดเจนว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้อง

ถึงแม้จะเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ ทว่า ริมทางเดินทั้งสองข้างมีต้นไม้สีเขียวเป็นร่มเงาบดบังแสงพระอาทิตย์ สวยงามและเงียบสงัดอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงกับโก่วหานสือเดินอยู่ภายใต้ร่มเงา เดินไปพลางสนทนาเกี่ยวกับการสอบก่อนหน้านี้ไปด้วย น้ำเสียงไม่ดังจนเกินไป และก็มิได้มีการแข่งขันที่ดุเดือด เป็นเพียงการถกปัญหาอย่างสงบนิ่ง ไหนเลยจะเหมือนดังความรู้สึกของผู้แกร่งกล้าทั้งสองซึ่งอยู่ยอดภูเขาที่ผู้คนคาดคิดถึง กลับมิได้มีความรู้สึกว่าต่างฝ่ายต่างหาเรื่อง มีเพียงแค่ผู้ใฝ่ความรู้ธรรมดาสองคนเท่านั้น

เดินไปไม่ไกล หลังต้นไม้ที่อยู่ด้านหน้าศาลาที่อยู่ข้างแม่น้ำ ปรากฏภาพของลั่วลั่ว

โก่วหานสือทำความเคารพนาง

ลั่วลั่วเคารพกลับ หลังจากนั้นกอดแขนเฉินฉางเซิงไว้ พลางถามด้วยความเป็นห่วง “อาจารย์ ท่านเหนื่อยหรือไม่”

นางไม่ได้ถามว่าเฉินฉางเซิงสอบเป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่ามีโก่วหานสืออยู่ข้างๆ จึงไม่สะดวกเท่าไหร่ และก็เป็นเพราะว่านางเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องทำข้อสอบได้ดีเป็นแน่

“ไม่เหนื่อย”

เฉินฉางเซิงนวดข้อมือ พลางเอ่ยถาม “ออกไปจากตำหนักประจักษ์อักษรเมื่อไหร่ ตลอดเวลาไม่เห็นเจ้า”

ลั่วลั่วจูงมือเขา กล่าวตอบ “ข้ามิได้ทำข้อสอบ จึงอยู่ดื่มน้ำชาอยู่ที่นี่”

นางไม่ต้องการคะแนน เป็นธรรมดาที่จะไม่ต้องสิ้นเปลืองจิตใจเพื่อไปสอบความรู้อะไรเช่นนี้ จึงอยู่ในศาลาตลอด รอคอยให้เฉินฉางเซิงส่งข้อบ เฉินฉางเซิงมีบางอย่างไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเพราะเหตุใดยังต้องได้รับความยินยอมจากสังฆราชเพื่อให้นางเข้าร่วมการสอบใหญ่ด้วยเล่า

โก่วหานสือเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ปรายตามองลั่วลั่ว ในใจครุ่นคิดเฉินฉางเซิงโชคชะตาดีอย่างยิ่ง พลันประสานมืออำลาออกไป

เดินเข้าไปในสวนแสงสุริยะ พื้นหญ้ากว้างใหญ่ไพศาล ป่าไม้อยู่ไกลออกไป ไร้ร่มไม้ที่สามารถบดบังพระอาทิตย์ได้

ลั่วลั่วไม่รู้ว่าหยิบเอาร่มมาจากที่ใด กางเพื่อบังแดดให้เฉินฉางเซิง

มองเห็นภาพนี้ บรรดาผู้เข้าสอบที่ยืนอยู่ด้านหน้าพุ่มไม้เขียวขจี สีหน้าไม่ปกติยิ่งนัก

องค์หญิงทรงปรนนิบัติเช่นนี้ หนุ่มน้อยผู้นั้นไม่เกรงกลัวอายุขัยจะสั้นลงหรือ มีคนจำนวนมากต่างก็คิดเช่นนี้

อยู่สำนักฝึกหลวงเขาเคยชินที่ถูกลั่วลั่วปรนนิบัติ เดิมมิได้รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่เหมาะสม จนกระทั่งมองเห็นสายตาของพวกผู้เข้าร่วมสอบ ถึงจะรู้ตัว นำคันร่มในมือของลั่วลั่วมาถือไว้ แล้วพานางเดินไปยังพุ่มไม้เขียวขจีผืนนั้น เริ่มฟังการอธิบายกฎระเบียบการประลองยุทธ์ที่นักบวชหอจงซื่ออธิบาย

ผู้เข้าสอบส่งข้อสอบความรู้ก่อนเป็นจำนวนมาก เวลานี้ได้เข้าไปในผืนพุ่มไม้ตงชิง*ที่กว้างใหญ่ประดุจมหาสมุทรแล้ว ขณะนี้ที่ยังเหลืออยู่ข้างนอกมีประมาณยี่สิบกว่าคน นอกจากเฉินฉางเซิง ลั่วลั่ว โก่วหานสือ หนอนหนังสือทั้งสี่ของสำนักต้นไหว เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยและยังมีคนอื่นอีก

ได้ยินการอธิบายของนักบวช เฉินฉางเซิงถึงรู้ว่าเดิมทีป่าพุ่มตงชิงผืนนี้เป็นเขาวงกต เป็นป่าพุ่มตงชิงที่ถูกตัดจนระเบียบเรียบร้อย ราวกับฉากกำบังนับไม่ถ้วน กั้นออกมาเป็นทางเดินนับไม่ถ้วน เนื้อหาการตรวจสอบครึ่งแรกของการประลองยุทธ์ก็คือผู้ใดสามารถผ่านป่าเขียวผืนนี้ได้ ถ้าหากภายในเวลาหนึ่งชั่วยามไม่สามารถออกไปได้ ก็จะถูกคัดออก

มองสีหน้าของบรรดาผู้เข้าสอบเหล่านั้นมีแสดงความหนักอึ้งจนกระทั่งหวาดกลัว เฉินฉางเซิงรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดในเมืองจิงตูมีสวนป่าที่เป็นดังเช่นเขาวงกตทำนองนี้จำนวนมาก เด็กเยาว์วัยต่างก็สามารถออกมาได้ ถึงแม้สวนแสงสุริยะแห่งนี้จะเป็นผืนป่าที่กว้างใหญ่ ในนั้นมีทางเดินสลับซับซ้อน หรือว่าจะยากกว่าปัญหาข้อสอบความรู้อีกหรือ

“ป่าผืนนี้นามว่าป่าต้มเวลา”

ลั่วลั่วทราบดีว่าถึงแม้เขาจะแตกฉานในคัมภีร์เต๋า แต่เรื่องที่คนธรรมดาทั่วไปรู้กลับไม่เข้าใจ กล่าวเสียงต่ำอธิบาย “เล่ากันว่าเมื่อแรกเริ่ม เป็นหวังจือเซ่อใช้เป็นที่ท่องเที่ยวผ่อนคลายจิตใจเมื่อท่องตำราอยู่ที่จิงตู เวลานั้นเขาใช้พู่กันกับกระดาษ ภายหลังแผนภาพถูกทำให้ยิ่งนานยิ่งสลับซับซ้อน อยากจะผ่านด่านยิ่งนานยิ่งยาก จนหลังจากหลายปีผ่านไป ตอนนั้นสังฆราชคิดว่าเกมนี้ได้บั่นทอนจิตใจของคนหนุ่มอย่างยิ่ง เพื่อตรวจสอบระดับแข็งแกร่งของจิตใจ จึงปลูกพุ่มไม้ตงชิงผืนใหญ่ในแผนภาพนั้น”

“ยากอย่างยิ่งรึ” เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม

“ปีนั้นหวังจือเซ่อเรียกเกมนี้ว่าเกมเสียเวลา ก็เพราะว่ายากยิ่งนัก สามารถสูญเสียเวลาทั้งหมดได้” ลั่วลั่วเอ่ยตอบ

สามารถทำให้บุคคลในตำนานดังเช่นหวังจือเซ่อรู้สึกว่ายาก ก็คงจะยากจริงๆ

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด พลางเอ่ยถาม “วิธีการแก้ปัญหาของหวังจือเซ่อ คงจะสืบทอดต่อกันมาไม่นาน แต่เพราะเหตุใดในตำราข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเล่า”

ลั่วลั่วกล่าวต่อ “หวังจือเซ่อใช้ก็คือพู่กันกับกระดาษ อาศัยความสามารถในการคำนวณ เขาคิดว่านี่เป็นเพียงแค่เกมเล็กๆ จึงไม่คู่ควรที่จดลงในสมุดบันทึก ด้วยเหตุนี้จึงไร้คนรู้วิธีแก้ปัญหา”

เฉินฉางเซิงจ้องมองป่าไม้สุดลูกหูลูกตา เอ่ยว่า “ใช้พู่กันวาดรูปบนกระดาษ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็วาดออกมานับไม่ถ้วน ขณะนี้รูปแผนที่กลายเป็นใหญ่โตเช่นนี้ คนไม่ว่าจะเดินเร็วอย่างไรก็ไม่อาจเท่ากับความเร็วของพู่กันที่อยู่บนกระดาษ จะต้องหาทางออกภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก”

“ด้วยเหตุนี้ระดับพลังจิตจะต้องเพียงพอ”

ลั่วลั่วจ้องมองเขากล่าวด้วยความระมัดระวัง “นำดวงจิตเป็นพู่กัน ยิ่งแข็งแกร่งยิ่งรับรู้ถึงที่ไกลออกไป เท่ากับว่าพู่กันสามารถวาดได้ยิ่งไกล ก็สามารถคำนวณได้เร็วยิ่งขึ้น”

“เดิมทีที่ทดสอบก็คือความแข็งแกร่งของดวงจิตกับความสามารถในการรับรู้ ข้าคิดว่า…คงไม่มีปัญหาใด”

เฉินฉางเซิงคิดถึงดาวโชคชะตาที่ไกลลิบของตน มีความมั่นใจอย่างยิ่ง ทันใดนั้นคิดไปถึงเรื่องหนึ่ง เอ่ยถาม “มีวิธีไขปริศนาที่ถูกต้องเพียงวิธีเดียวหรือ”

ถ้าหากมีเพียงทางเดินที่ถูกต้องเพียงทางเดียว เช่นนั้นผู้เข้าสอบถึงแม้ไร้หนทางใช้ดวงจิตคำนวณออกมา ก็สามารถเดินตามคนอื่นเอาก็ได้แล้ว

“ตอนที่ใต้เท้าสังฆราชยังเยาว์วัยทำสถิติและคำนวณออกมา ป่าพุ่มตงชิงผืนนี้มีทางเข้าทั้งหมดสี่พันกว่าทาง มีทางออกเจ็ดร้อยกว่าทาง อย่างน้อยมีวิธีแก้หรือว่าวิธีเดินออก 3,927,400 วิธี ถ้าหากข้างหน้ามีผู้เข้าสอบใช้เส้นทางผ่านไปแล้ว อีกทั้งท่านโชคไม่ดีหรือว่าไม่ละอายที่จะเดินเส้นทางเดียวกับผู้อื่น เช่นนั้นก็ต้องขออภัย ท่านจะต้องเดินใหม่อีกรอบ”

นักบวชของหอจงซื่อจ้องมองพวกนักเรียนเข้าสอบเอ่ยว่า “ตอนนี้ เลือกทางเขาด้วยตนเองได้”

เวลานี้เอง มีหนอนหนังสือผู้หนึ่งของสำนักต้นไหวเอ่ยถาม “เพียงแค่ต้องการเส้นทางที่ไม่เหมือนกันก็ได้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เข้าไปในทางเข้าเดียวกัน พอกลางทางก็แยกย้ายกันได้หรือไม่”

นักบวชหอจงซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไม่ได้”

ตามกฎระเบียบของการประลองยุทธ์ในปีนี้ มีเพียงแค่ผู้เข้าสอบที่ผ่านป่าตงชิงในสวนแสงสุริยะแห่งนี้ ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ผู้เข้าสอบที่ไม่อาจเดินออกไปได้ก็จะถูกคัดออกโดยตรง อีกทั้งนักเรียนที่ผ่านเข้าไปก่อน ก็จะอยู่ในสนามต่อสู้สุดท้าย ได้รับผลประโยชน์มหาศาล ยังมีกฎระเบียบที่สำคัญที่สุดก็คือ การประลองยุทธ์จะต้องต่อสู้เพียงลำพัง การสอบใหญ่เดิมทีต้องการทำให้เส้นแบ่งขอบเขตระหว่างสำนักกับพรรคแตกละเอียด นำผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่ดีเลิศกลับมาในราชสำนักและนิกายหลวง แน่นอนว่าไม่ยินยอมให้ปรากฏต่อทุกสำนัก ผู้เข้าสอบสำนักเดียวกันเดินทางร่วมกัน จุดนี้เป็นข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจนกับการประชุมจู่สือ

สำนักต้นไหวเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงทางทิศใต้ มักจะเข้าร่วมการสอบใหญ่กับการประชุมจู่สือบ่อยครั้ง แล้วจะไม่รู้เรื่องกฎระเบียบเช่นนี้ได้อย่างไร

ประโยคที่หนอนหนังสือคนหนุ่มเหล่านั้นเอ่ยถาม ชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปยังบางคน

เมื่อเขาเอ่ยประโยคออกมา จ้องมองเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วตลอด ทำให้ความหมายชัดเจนยิ่งนัก

*ตงชิง หรือก็คือ ต้นฮอลลี่ (Holly Tree) เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset