ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 133 ฟังเสียงลมในป่าใหญ่ (1)

นักเรียนสำนักต้นไหวอ้วนท้วมเล็กน้อย สีหน้าขาวซีดราวกับมีความผิดปกติทางจิตใจ มองแล้วในวันปกติคงน้อยอย่างยิ่งที่จะโดนแสงแดด เมื่อเขาเอ่ยกับนักบวชหอจงซื่อ กลับมองมาที่เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว ใบหน้าไร้ความรู้สึก แสยะริมฝีปากที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันและกล่าวเตือน

เฉินฉางเซิงคิดในใจว่าคนเหล่านี้คิดมากจริงๆ ส่ายศีรษะไม่ถือสา ตบหลังมือลั่วลั่วเบาๆ เป็นสัญญาณให้นางเดินเข้าไปทางเดิน

ที่จริงแล้วลั่วลั่วอยากจะอยู่ในขั้นตอนการประลองยุทธ์เพื่อช่วยเหลือเขาบางอย่าง เวลานี้ถูกคนดูออก อดไม่ได้ที่จะโมโห จ้องมองหนุ่มน้อยสำนักต้นไหวผู้นั้นเยือกเย็น หนุ่มน้อยหนอนหนังสือผู้นั้นนึกออกถึงฐานะของลั่วลั่ว รู้สึกเสียใจภายหลังเลือนราง ทว่าคำพูดได้ออกไปแล้ว จะเอากลับคืนมาได้อย่างไร ทำได้เพียงประสานมือไว้ข้างหลัง พยายามแสดงท่าทางสูงส่งกล้าหาญ

นักบวชหอจงซื่อเอ่ยอธิบายกฎระเบียบเรียบร้อยแล้ว ผู้เข้าสอบยี่สิบกว่าคนแยกย้ายจากกัน เดินตามทางเดินหินแคบๆ ขอบป่าพุ่มตงชิง เพื่อไปเสาะหาทางเข้า ป่ากว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้เหมือนมหาสมุทรก็มิปาน เมื่อยืนอยู่ริมป่าจะมองเห็นทั่วทุกด้านได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่ยากจะแยกแยะได้ว่าทางเข้าไหนดีกว่ากัน จึงทำได้เพียงแค่อาศัยความรู้สึกและโชคในการเลือก

เฉินฉางเซิงแต่ไหนแต่ไรไม่เชื่อความรู้สึกหรืออาจจะกล่าวว่าเรื่องของโชคชะตา เลือกทางเข้าที่ใกล้ที่สุด ลั่วลั่วจึงมิได้ลังเลเลือกเส้นทางที่อยู่ด้านข้างเขา เขาเลือกตามสบายยิ่งนัก ลั่วลั่วก็เลือกตามเขา ผู้เข้าสอบคนอื่นเมื่อเห็นภาพนี้ยากที่จะระงับความรู้สึกสลับซับซ้อนได้อีกครั้ง ก่อเกิดเป็นความรู้สึกอิจฉาริษยาและกลัดกลุ้มใจ

เวลาผ่านไปไม่นาน ผู้เข้าสอบก็เลือกทางเขาของตนเองแล้ว เวลานี้เองไม่รู้ว่ามีนักบวชของพระราชวังหลีสิบกว่าคนโผล่มาจากที่ใดไม่ทราบ เอาปากกากับสมุดเริ่มบันทึกระดับการศึกษาและชื่อของผู้เข้าสอบ หลังจากนั้นด้านบนของรายชื่อได้จดเวลาไว้ นี่เป็นการแทนว่าการสอบได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ การนับเวลาก็เริ่มจากขณะนี้

ไม่มีผู้เข้าสอบแม้แต่คนเดียวที่ถลันเข้าไปในป่าต้มเวลา หวังจือเซ่อได้สร้างเขาวงกตที่ไม่อาจอาศัยโชคชะตาสามารถออกไปได้

บรรดาผู้เข้าสอบหยุดอยู่ด้านนอกป่าพุ่มตงชิง มีคนนั่งบนก้อนหินริมทางเดิน มีคนพิงลำต้น มีคนนั่งอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นแบบอย่างที่แตกต่างกันอย่างไร ทุกคนต่างก็หลับตา เริ่มนั่งสมาธิ หลังจากนั้นแยกดวงจิตออกจากร่าง

มีเพียงสองคนที่ไม่ได้หลับตา

โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยืนอยู่ด้านนอกป่า ทอดสายตามองป่าไม้ที่กว้างใหญ่ไพศาลเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ดวงจิตยี่สิบกว่าดวงล่องลอยเข้าไปในป่าต้มเวลา มีที่แข็งแกร่งมีที่อ่อนแอ ในนั้นมีพลังปราณที่แตกต่างกันเล็กน้อยอยู่เบาบาง แต่ความแตกต่างระหว่างดวงจิต มีเพียงแค่ผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวขึ้นไปถึงจะเข้าใจและซาบซึ้งได้ แม้แต่บุคคลดังเช่นนักบวชของหอจงซื่อ ต่างก็ไร้หนทางจะอาศัยความรู้สึกตัดสินได้

นักบวชหอจงซื่อกำลังมองเฉินฉางเซิง นักบวชพระราชวังหลีที่มีหน้าที่รับผิดชอบจดบันทึกจำนวนมากที่จ้องมองเฉินฉางเซิง เหมือนกันกับผู้คุมสอบการสอบความรู้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน

เฉินฉางเซิงที่ประกาศว่าจะเอาประกาศแรกอันดับแรก อยู่ในสนามวันนี้จึงเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเป็นคนที่ได้รับความนิยม กลับกันไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจ เพราะทุกคนต่างทราบดี หนุ่มน้อยทั้งสองได้ผ่านขั้นทะลวงอเวจีเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทว่าขณะนี้กลับไม่มีคนรู้สถานการณ์ของเฉินฉางเซิง

ในจิงตูทุกคนต่างทราบดี อย่างน้อยในเวลาสิบกว่าวัน เฉินฉางเซิงที่ยังชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ เช่นนั้นระดับความแข็งแกร่งของดวงจิตเขาเล่า ได้จุดดาวโชคชะตาหรือไม่ ถ้าหากจุดดาวโชคชะตาสำเร็จแล้ว เพราะเหตุใดจึงไม่อาจชำระล้างกระดูกได้ นี่เป็นการอธิบายว่าความแข็งแกร่งพลังจิตของเขาย่ำแย่อย่างยิ่งไม่ใช่หรือ

บรรดาผู้คนประหลาดใจ แท้จริงแล้วเขาก้าวไปอยู่ในระดับไหนของการสอบใหญ่ เขาสามารถผ่านป่าต้มเวลาดังเช่นที่กล่าวไว้ได้หรือไม่ อย่างน้อยก็อาจจะไม่ตกรอบในขั้นการประลองยุทธ์

เฉินฉางเซิงเดิมทีไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนจะถูกคัดออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากรู้กฎระเบียบโดยรวมของการประลองยุทธ์

เขานั่งอยู่ใต้ต้นสนต้นหนึ่งในป่าพุ่มตงชิง หลับตานั่งขัดสมาธิ มือทั้งสองยกขึ้น ดวงจิตได้ออกจากร่างกายไปแล้ว เข้าไปอยู่ท่ามกลางป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล

ต้นไม้สีเขียวกลายเป็นฉากกั้น บนทางเดินที่แน่นขนัดระหว่างฉากกั้น สามารถรับรู้ผ่านดวงจิต เปลี่ยนเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำรางเลือน ด้วยเหตุนี้ทิวทัศน์ที่เป็นความจริงในการรับรู้จึงได้เปลี่ยนสีไปเป็นสีแสงที่ไม่มีอยู่จริง สำหรับคนธรรมดามองแล้วต้องรู้สึกแปลกประหลาดมหัศจรรย์อย่างยิ่งเป็นแน่ แต่ทว่าสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร การนำโครงสร้างเหล่านี้ประกอบเป็นภาพทิวทัศน์ นั่นมิใช่สิ่งที่ยากลำบากเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มีดวงจิตแข็งแกร่งแน่วแน่

ดวงจิตของเฉินฉางเซิงแข็งแกร่งและแน่วแน่ยิ่งนัก มิเช่นนั้นดาวโชคชะตาของเขาจะอยู่ที่ไกลโพ้นได้อย่างไร มิเช่นนั้นลั่วลั่วจะปีนกำแพงสำนักฝึกหลวงมาหาเขาได้อย่างไร

เขาหลับตา ใช้ดวงจิตรับรู้ทางเดินของป่าต้มเวลา ใช้เวลาไม่นานก็เข้าสู่ด้านในของป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว

ไม่กล่าวไม่ได้ว่า การวางแผนของการสอบใหญ่ล้ำเลิศอย่างยิ่ง ขั้นตอนการใช้ดวงจิตรับรู้ป่ากว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้ เหมือนกับการเสาะหาดาวโชคชะตารวมทั้งการถอดจิตสำรวจตนยิ่งนัก จากมุมมองการผลักดันของผู้ออกข้อสอบ หรือจะอธิบายว่า ผู้เข้าสอบอย่างน้อยจะต้องฝึกบำเพ็ญเพียรถึงขั้นถอดจิต ถึงจะเดินทางเข้าสู่ป่าผืนนี้ได้

เฉินฉางเซิงพลันนึกขึ้นได้ ปีนั้นหวังจือเซ่อหลังจากศึกษาตำราก็เล่นเกมนี้ หรือว่าเป็นเพราะต้องการใช้วิธีนี้มาฝึกฝนระดับความแข็งแกร่งดวงจิตของตนเอง ทุกคนทั่วทั้งต้าลู่ต่างทราบดี พลังจิตของหวังจือเซ่อมิได้แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นก็คงไม่ล่วงเข้าสู่วัยกลางคนถึงเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร

ดวงจิตของเขาล่องลอยอยู่ในป่าต้มเวลา ขณะเดียวกันก็มีดวงจิตจำนวนมากที่ล่องลอยอยู่ในป่ากว้างใหญ่ไพศาล เขารับรู้ถึงพลังจิตเหล่านั้นเลือนราง ทว่ากลับไร้หนทางสนทนากับดวงจิตเหล่านั้น ตามที่ดวงจิตเข้าสู่ป่าลึกไป เขาถึงขนาดว่ารับรู้ถึงคนยิ่งนานยิ่งมีจำนวนมาก เดิมทียังมีผู้เข้าสอบถูกคุมขังอยู่ในป่าต้มเวลาเป็นจำนวนมาก

พวกนักเรียนของสำนักต้นไหวหลับตานั่งสมาธิ หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ผู้เข้าสอบคนที่เหลือก็หลับตาแน่น ท่าทางทุกข์ทรมานเล็กน้อย มีเพียงแค่ดวงจิตที่สำรวจในพื้นที่เล็กๆ ของป่าต้มเวลา ได้จดจำภาพทั้งหมดของสวนแสงสุริยะอยู่ในสมอง ถึงจะสามารถเริ่มคำนวณหาหนทางที่เดินได้ สำหรับคนหนุ่มที่มีขอบเขตระยะเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียร นี่เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง

เวลานี้เอง โก่วหานสือยกย่างก้าวมุ่งไปยังในป่ากว้างใหญ่ไพศาล เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยช้ากว่าเพียงแค่ชั่วครู่ ก็เริ่มย่างก้าว เป็นเวลาไม่นาน คนทั้งสองก็หายไปในต้นอ่อนที่เกิดใหม่ในฤดูไม้ใบผลิ

ขั้นทะลวงอเวจี แท้จริงแล้วไม่เหมือนกับฝูงชน

ตำหนักประจักษ์อักษรเงียบเชียบยิ่งนัก

หลังจากการสอบความรู้สิ้นสุดลง ผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นม่ออวี่รวมถึงเฉินหลิวอ๋อง และยังมีเหมาชิวอวี่ ต่างก็มาถึงยังในตำหนัก เวลาไม่นานนักบวชพระราชวังหลีก็มารายงานสถานการณ์ของการประลองยุทธ์ ข่าวคราวของโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยที่เข้าไปในป่ากว้างใหญ่ไพศาล มิได้ก่อให้เกิดสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้น เดิมทีขั้นทะลวงอเวจีก็เป็นเช่นนี้ ในมุมมองของพวกเขา การแสดงโก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยังคงระมัดระวังเล็กน้อย

โก่วหานสือกับเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยเข้าไปในป่ากว้างใหญ่ไพศาลได้ไม่นาน มีผู้เข้าสอบเดินออกมาจากป่าต้มเวลา สำเร็จลุล่วงการสอบประลองยุทธ์ครึ่งแรก

คนผู้นั้นก็คือเหลียงปั้นหู ลำดับห้าของเจ็ดคำโคลงแดนเทพ

เวลานี้ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในตำหนักต่างก็มิได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย ฝีมือของผู้เข้าสอบการสอบใหญ่ของปีนี้ แต่ละคนล้วนรู้จัก นอกจากโก่วหานสือกับศิษย์น้องทั้งสามของพรรคกระบี่หลีซานที่เดิมทีพละกำลังโดดเด่นออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเดินออกมาจากป่าต้มเวลา ล้วนแต่เป็นเรื่องปกติ มีเพียงเฉินหลิวอ๋องผู้ถามด้วยประโยคที่แปลกประหลาดใจ “กวนเฟยไป๋เล่า”

ผู้ที่ออกจากป่าต้มเวลาตามมาก็มิใช่กวนเฟยไป๋ แต่เป็น…จวงห้วนอวี่

บรรยากาศในตำหนักครานี้สุดท้ายแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง ผู้คนต่างจ้องมองที่เหมาชิวอวี่ เฉินหลิวอ๋องยิ้มพลางกล่าวแสดงความยินดีไม่กี่ประโยค ชัดเจนยิ่งนักว่าหลังจากที่จวงห้วนอวี่ชนะชีเจียน ก็มิได้หย่อนยานในการฝึกบำเพ็ญเพียร สำหรับระดับความแข็งแกร่งของดวงจิตแล้ว เขาถูกหอความลับสวรรค์ลดอันดับอยู่ที่อันดับสิบเอ็ด แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าพละกำลังของเขาอยู่สิบอันดับแรก

“กวนเฟยไป๋ไม่อาจเอาลำดับที่หนึ่งได้ แม้แต่อันดับสองก็ไม่อาจเอาได้ ไม่รู้ว่าจะโกรธขนาดไหน”

เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลี สำหรับลูกศิษย์ของพรรคทางทิศใต้ ความรู้สึกของพวกคนต้าโจวแต่ไหนแต่ไรสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง

การทดสอบครึ่งแรกของการประลองยุทธ์ มิใช่ว่าใครออกจากป่าเป็นอันดับแรก แต่เป็นการจัดอันดับเวลาในการออกจากป่าต้มเวลา เวลานี้ผู้คนของตำหนักประจักษ์อักษรได้มาบันทึกเวลา รู้ว่าเหลียงปั้นหู กวนเฟยไป๋ จวงห้วนอวี่และคนอื่นออกมาเวลาเดียวกัน ขณะนี้จวงห้วนอวี่เดินออกมาจากป่าต้มเวลาก่อน เป็นธรรมดาจะอยู่อันดับก่อนหน้ากวนเฟยไป๋

เวลานี้ ผู้คุมการสอบความรู้พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “เหลียงปั้นหูไม่ใช่อันดับแรก จวงห้วนอวี่เป็นธรรมดามิใช่อันดับที่สอง กวนเฟยไป๋แม้แต่อันดับสามก็เข้าไม่ได้”

เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “หรือว่าจะต้องนับโก่วหานสือกับองค์ชายเทียนไห่เข้าไปหรือไม่”

ผู้คุมการสอบความรู้กล่าวว่า “ก่อนที่พวกท่านจะเข้ามาตำหนัก ได้มีคนออกมาจากป่าต้มเวลาก่อนแล้ว เขาใช้เวลาเร็วกว่าเหลียงปั้นหูอย่างน้อยหนึ่งในสาม”

เมื่อฟังประโยคนี้ กลุ่มฝูงชนสั่นสะเทือนอย่างยิ่ง สายตาเป็นคำถามอย่างพร้อมเพรียงกัน มีเพียงแค่มุขนายกที่นั่งอยู่ตรงกลางสุด ยังคงหลับตา คล้ายกับว่านอนหลับก็มิปาน

คิดไม่ถึงว่ายังมีคนรวดเร็วกว่าเหลียงปั้นหู อีกทั้งยังรวดเร็วกว่าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นดวงจิตเขาควรจะแข็งแกร่งขนาดไหน

“เป็นผู้ใด” เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีตกใจเอ่ยถาม

“รายชื่อที่ลงทะเบียนไว้คือจางทิงเทา แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาคือผู้ใด”

ผู้คุมสอบทอดสายตามองไปยังเจ้าสำนักเด็ดดารา เอ่ยหยอกล้อ “ถึงแม้ใช้ชื่อปลอม แค่ชื่อนี้กลับมิได้หลีกเลี่ยงความธรรมดาเอาเสียเลย”

เจ้าสำนักเด็ดดาราตระหนักถึงการรู้ของคนต้าโจว จึงไม่อาจอำพรางได้ เอ่ยว่า “เขาเป็นตัวแทนของสำนักเด็ดดาราออกสู้รบ ปรารถนาจะใช้ชื่ออะไรก็ย่อมได้”

กลุ่มฝูงชนในใจก็คิดว่านี่ก็เป็นสิ่งถูกต้อง

“เจ๋อซิ่วผู้คับแค้น…” เฉินหลิวอ๋องเปล่งเสียงลั่น “ข้าแปลกใจจริงๆ แท้จริงแล้วเขาโตมาเป็นคนเช่นไร”

เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีเอ่ยว่า “ที่ข้ายิ่งแปลกใจก็คือ เฉินฉางเซิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

เมื่อฟังประโยคนี้ สายตาของคนทั้งหมดต่างจ้องมองมายังใต้เท้ามุขนายก

ผู้คุมสอบกล่าวว่า “คะแนนสอบความรู้ของเฉินฉางเซิงจะต้องดีเป็นแน่ เพียงแค่ไม่รู้ว่าระหว่างเขากับโก่วหานสือใครจะได้ที่หนึ่ง ใครจะได้ที่สอง”

กลุ่มฝูงชนต่างคิดว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีจ้องมองใต้เท้ามุขนายกที่ราวกับว่านอนหลับ กล่าวเย้ยหยันเล็กน้อย “คะแนนการสอบความรู้จะดีเพียงใด ถ้าหากแม้แต่ป่าต้มเวลายังออกมามิได้ แล้วจะมีความหมายอะไร เมื่อเวลานั้นมาถึงก็จะถูกคัดออก แม้แต่สามอันดับแรกก็คงเข้าไปไม่ถึง ยังจะกล่าวอะไรกับอันดับแรก ไม่รู้ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ยังมีคนจะสามารถนอนหลับสนิทต่อได้อีกหรือไม่”

ในตำหนักประจักษ์อักษรเงียบเชียบ ไร้คนเอ่ยสิ่งใด

อยู่ในจิงตูรวมถึงภายในของนิกายหลวง เจ้าสำนักสำนักไม้เลื้อยทั้งหก มีตำแหน่งพิเศษ ก็เหมือนเหมาชิวอวี่รวมทั้งผู้ยิ่งใหญ่ดังเช่นเจ้าสำนักจวนพระราชวังหลี มิได้หวาดกลัวคนผู้ใด อีกทั้งทุกคนในตำหนักต่างรู้ดี เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ในนิกายหลวง หัวหน้าหอสำนักจงซื่อก็เช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีความสนิทสนมกับตระกูลเทียนไห่มายาวนาน

ใต้เท้ามุขนายกได้ป่าวประกาศแทนเฉินฉางเซิง สำหรับเขาและจวนพระราชวังหลี รวมถึงสำนักเทียนเต้าและสำนักอื่นๆ มิได้เป็นปัญหาที่ยั่วยุร้ายแรงแต่อย่างใด ชัดเจนยิ่งนักว่า เจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีได้เตรียมการโต้ตอบไว้แล้ว เพียงแค่เฉินฉางเซิงไม่อาจเอาอันดับแรกประกาศแรกได้ สำนักการศึกษากลางรวมทั้งใต้เท้ามุขนายก จะต้องได้รับข้อซักถามที่มากมายจนถึงขนาดที่ว่าจะถูกโจมตี

พอดีกับที่ก่อนหน้าที่ได้กล่าวไว้ ถ้าหากเข้าแม้แต่ป่าต้มเวลายังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นยังจะเอ่ยอะไรกับอันดับแรกเล่า

เวลาผ่านไปเชื่องช้า ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ไปนานเพียงใด นักบวชคนหนึ่งก็เดินเข้ามาในตำหนัก รายงานว่า “เฉินฉางเซิงแห่งสำนักฝึกหลวง เริ่มเข้าสู่ป่าแล้ว!”

เมื่อกลุ่มผู้คนได้ยินจึงตกตะลึงเล็กน้อย หัวคิ้วของเจ้าสำนักจวนพระราชวังหลีขมวดขึ้นสูงยิ่ง ราวกับว่ากำลังบินขึ้นไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจระคนสงสัย

“เขาจะเร็วกว่านักเรียนสำนักต้นไหวเหล่านั้นได้อย่างไร!”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset