ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 140 การต่อสู้ที่มองไม่เห็น

เวลาต่อมา เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตนนั้นได้มองผิดไปหรือไม่ เพราะชัดเจนยิ่งนักว่าหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าผู้นั้นมิได้หันกลับมา เดินโดดเดี่ยวนำหน้ากลุ่มผู้คนไป ไม่ได้หันกายมา แล้วจะมองลั่วลั่วได้อย่างไร ไม่มีคนสังเกตความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของเขา ถึงแม้จะเป็นถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อที่อยู่ข้างกาย สมาธิของผู้คนทั้งหมดต่างอยู่กับโลกที่สวยงดงาม มีเพียงแค่ลั่วลั่วที่พบความผิดปกติของเขา เอ่ยเสียงเบาถามสองสามประโยค

“ข้ารู้สึกว่าวันนี้มีปัญหาบางอย่าง ในการต่อสู้อีกสักครู่ เจ้าจะต้องระมัดระวัง” เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยภาพที่ตนได้เห็นก่อนหน้านี้ แต่ก็มิได้ปิดบังความไม่สบายใจของตน เอ่ยต่อ “ถ้าหากมีอันตราย ก็รีบออกมา แล้วก็ฟังตามที่ข้าบอก”

ลั่วลั่วถึงแม้จะไม่นับคะแนนแต่ก็ต้องเข้าร่วมการสอบใหญ่ โก่วหานสือกับคนอื่นต่างก็คาดเดาถึงจุดประสงค์ของนางได้ แต่กลับเป็นเฉินฉางเซิงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวคิดไม่ถึง เวลานี้ได้ยินคำเตือนอย่างระมัดระวัง ลั่วลั่วไม่คัดค้านแน่นอน เอ่ยตอบว่า “ล้วนแต่เชื่อฟังตามที่อาจารย์บอก”

บรรดาผู้เข้าสอบเดินตามนักบวชพระราชวังหลีไกลออกไป ผ่านป่าผืนหนึ่ง มายังด้านหน้าสิ่งก่อสร้างทรงกลม สิ่งก่อสร้างทรงกลมมีขนาดพื้นที่หลายร้อยจั้ง สูงสิบกว่าจั้ง โอ่อ่ายิ่งใหญ่อย่างยิ่ง สิ่งก่อสร้างทำมาจากก้อนหิน บานประตูบนขั้นบันไดปิดสนิท มองไม่เห็นภาพที่อยู่ด้านในของสิ่งก่อสร้าง มองเห็นเพียงแค่ชายหลังคาสีดำข้างบน

ท้องฟ้าสีครามอยู่ๆ ก็มีก้อนเมฆล่องลอยมา ก้อนเมฆก้อนนั้นลอยมาอยู่ด้านบนของสิ่งก่อสร้าง มีสายฝนร่วงหล่นลงมา หยาดน้ำฝนตกลงมาโปรยปราย มิใช่ฝนห่าใหญ่แต่อย่างใด ในระยะเวลาสั้นๆ กลับนำฝุ่นละอองทั้งหมดที่สะสมบนชายหลังคาชะล้างออกไปสิ้น ชายหลังคาสีดำเปลี่ยนเป็นเงาใส ราวกับเป็นแสงวาววับจากหยกก็มิปาน

“หอชำระธุลี เป็นสถานที่ใช้ในการต่อสู้ของการสอบใหญ่ปีนี้”

นักบวชพระราชวังหลีหันกายมาเอ่ยกับพวกผู้เข้าสอบ หลังจากนั้นเริ่มอธิบายกฎระเบียบการต่อสู้

ก็เหมือนกับการข้ามผ่านลำคลอง ครั้งสุดท้ายของการสอบใหญ่ก็คือด่านการต่อสู้ กฎระเบียบยังคงเรียบง่ายและชัดเจน ง่ายต่อความเข้าใจ

คนที่ผ่านด่านการประลองยุทธ์มีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้มีทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสิบสามคน ผู้เข้าสอบที่ข้ามผ่านคลองฉวี่เจียงสิบห้าคนแรก ข้ามผ่านไปในรอบต่อไปก่อน คนที่เหลือเก้าสิบแปดคนให้ต่อสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง ผู้ชนะให้เข้าไปรวมกับสิบห้าคนรอบแรก หลังจากนั้นก็ต่อสู้กันเป็นคู่ จนกระทั่งถึงลำดับสุดท้าย

สำหรับจะตัดสินแพ้ชนะอย่างไร นั่นเป็นเรื่องยิ่งง่ายดาย ผู้เข้าสอบทั้งสองต่อสู้กัน สุดท้ายแล้วใครยังคงยืนหยัดต่อไปได้ ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายชนะ

ผู้แพ้เป็นธรรมดาที่จะตกรอบ ด้วยเหตุนี้ด่านการต่อสู้ทุกรอบจึงสำคัญอย่างยิ่ง ไม่อาจแก้ไขได้ แต่ทว่าเป้าหมายของผู้เข้าสอบส่วนใหญ่คือการเข้าในสามอันดับ เพื่อจะมีคุณสมบัติเข้าสุสานเทียนซู ดังนั้นการต่อสู้รอบแรกจึงถูกให้ความสำคัญที่มากสุด เพียงแค่สามารถผ่านรอบแรกไปได้ ก็หมายความว่าเข้าสู่สามอันดับของการสอบใหญ่ทั้งไปครึ่งหนึ่งแล้ว

สำหรับการคัดเลือกว่าผู้เข้าสอบผู้ใดต่อสู้กับผู้ใด นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่สุด จนกระทั่งทำให้คนเกิดความรู้สึกชนิดหนึ่ง ในฐานะทางด้านสถาบันของการสอบใหญ่ ราชวงศ์ต้าโจวกับนิกายหลวงมิได้รับผิดชอบใด เป็นเพราะทำตามกฎระเบียบ สุดท้ายแล้วพวกเขานำอำนาจการเลือกให้แก่ผู้เข้าสอบได้เลือกด้วยตนเอง นอกจากนักเรียนที่ผ่านรอบแรกไปทั้งหมดสิบห้าคน นักเรียนสี่สิบเก้าคนก่อนสามารถเลือกนักเรียนสี่สิบเก้าคนหลังไปเป็นคู่ต่อสู้ได้ตามสบาย อีกทั้งผู้เข้าสอบที่ถูกเลือกไม่สามารถปฏิเสธได้ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการสละสิทธิ์ ฝ่ายตรงข้ามจะเข้าไปสู่รอบต่อไปทันที

จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้เข้าสอบถูกคัดออก เป็นธรรมดาว่ามิใช่คนโง่เขลา เพิ่งฟังการแนะนำกฎระเบียบจากนักบวชพระราชวังหลี ทั้งหมดก็เข้าใจความหมาย ในกลุ่มฝูงชนได้เกิดเสียงพูดคุยปรึกษากัน แต่ผู้เข้าสอบไม่ทันได้คัดค้านหรือว่าเอ่ยข้อสงสัย หอชำระธุลีก็มีเสียงระฆังดังขึ้นอย่างสบายอกสบายใจ

การต่อสู้ของการสอบใหญ่ ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

เสียงระฆังดังบอกสัญญาณ ผู้เข้าสอบหนุ่มน้อยอยู่อันดับที่สิบหกท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นได้กลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เด็กหนุ่มคนนั้นมาจากสำนักเด็ดดารา รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเคารพ ลมปราณมิได้ปรากฏออกมา ทำให้คนรู้สึกต่ำต้อยแต่กลับมิได้หวาดกลัว เป็นรสชาติของทหารอย่างยิ่ง

ถ้าหากเป็นผู้เข้าสอบผู้อื่น อาจจะไม่ปรับตัวกับสถานการณ์เช่นนี้ อย่างน้อยก็รู้สึกกะทันหัน แต่ทว่าทหารให้ความสำคัญกับความเข้มงวดกวดขันที่สุด ใช้สัญญาณเป็นดังชีวิต ด้วยเหตุนี้หนุ่มน้อยเข้าสอบผู้นั้นจึงไม่ลังเลที่เดินออกจากฝูงชนแม้แต่น้อย มองไปยังบรรดาผู้เข้าสอบครึ่งหลังเหล่านั้น

เขากวาดตามองไปยังผู้เข้าสอบอย่างเชื่องช้าและสงบนิ่ง

นักเรียนที่เผชิญหน้ากับสายตาของเขา ผู้เข้าสอบครึ่งหลังที่รอคอยให้ถูกเลือกท่าทางแปลกประหลาด มีปฏิกิริยาไม่เหมือนกัน บางคนมีท่าทางสงบนิ่ง คล้ายกับว่ามิได้รู้สึกใดๆ มีบางคนที่พยายามแสยะยิ้มออกมา คิดว่ายั่วยุ มีบางคนที่ก้มศีรษะลงหรืออาจจะหมุนตัวเล็กน้อย เพื่อหลบสายตาของเขา มีบางคนที่ฝืนยิ้มแย้มออกมา มองแล้วทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดใจ

ผู้ใดก็คาดคิดไม่ถึง ผู้เข้าสอบหนุ่มน้อยของสำนักเด็ดดาราเลือกคู่ต่อสู้คาดไม่ถึงจะเป็นลูกศิษย์จื่อชี่หยาที่เคยถามข้อสงสัยเมื่ออยู่ฝั่งตรงข้าม พวกผู้เข้าสอบไม่อาจสะกดความรู้สึกสลับซับซ้อนได้ จึงทยอยพูดคุยปรึกษากัน จื่อชี่หยาเป็นลูกศิษย์ของพรรคฉางเซิง คนผู้นี้มิใช่ผู้อ่อนแอที่สุดในสนามนี้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกเลือกก่อน นี่เป็นเพราะเหตุใดเล่า

ลูกศิษย์จื่อชี่หยาผู้นั้นตะลึงงัน เพิ่งเข้าใจว่าตนคือคนที่ถูกเลือก ท่าทางของเขาสงบนิ่งแล้วเดินออกกลุ่มฝูงชนไป ไม่มีความรู้สึกถูกเหยียดหยามแต่อย่างใด หากกล่าวตามเหตุผล คนที่ถูกเลือกเป็นอันดับแรกสุด จะต้องเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด แต่เขาคิดว่าระดับพลังจิตที่แข็งแกร่งกับจำนวนพลังปราณแท้เป็นเพียงแค่ตัวเลขหรือระดับชั้นที่ตายด้าน เรื่องของการต่อสู้ยิ่งมีมากมาย เขาเชื่อมั่นว่าจะชนะคู่ต่อสู้

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ เวลานี้ในสนามนอกจากผู้เข้าสอบสิบห้าคนที่ผ่านรอบแรกมีวิทยายุทธ์เหนือกว่าฝูงชนแล้ว ผู้เข้าสอบที่เหลือร้อยกว่าคนก็มีระดับวิทยายุทธ์ใกล้เคียงกัน แต่ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้เข้าสอบที่อยู่อันดับข้างหน้าจะชนะผู้เข้าสอบที่อยู่อันดับข้างหลังเสมอไป

ผู้เข้าสอบในรอบต่อสู้คู่แรกก็มั่นใจว่านักบวชพระราชวังหลีก็คงไม่ให้เวลาทั้งสองได้ทำใจแต่อย่างใด นำคนทั้งสองเดินไปยังหอชำระธุลี เห็นเพียงแค่ประตูไม้บานหนึ่งแง้มเปิดไว้ข้างใต้สิ่งก่อสร้างทรงกลม ข้างหลังประตูยังคงมืดทึบทั้งผืน คล้ายกับเป็นเหวลึกที่ทำให้คนผวา นักบวชบอกสัญญาณให้คนทั้งสองเข้าไป หลังจากนั้นจึงรีบปิดประตู

เห็นประตูไม้ปิดสนิท พวกผู้เข้าสอบเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าการสอบใหญ่ปีนี้จะไม่อนุญาตให้คนเข้าดูการต่อสู้หรือ

นักบวชพระราชหลีผู้นั้นจ้องมองกลุ่มฝูงชนใบหน้าไร้ความรู้สึกพลางเอ่ยว่า “เพราะว่ามีสถานการณ์พิเศษบางอย่าง การต่อสู้ปีนี้จึงเป็นแบบปิดประตู”

เมื่อฟังประโยคนี้ พวกผู้เข้าสอบจึงทยอยปรึกษาหารือกัน มีบางคนที่มองไปทางคนไม่กี่คนของสำนักฝึกหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฉินฉางเซิง โดยรวมแล้วกำลังสงสัย สำนักการศึกษากลางจัดการเช่นนี้หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเขา ถ้าหากเป็นแบบการปิดประตูก็ไม่อาจรู้รายละเอียดการต่อสู้ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร อย่างน้อยถ้าหากเฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ เกียรติของสำนักการศึกษากลางก็คงจะดีขึ้นเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงรู้ว่านี่มิได้เกี่ยวข้องกับตนเป็นแน่ เขามองไปยังหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่อยู่โดดเดี่ยวไกลออกไป จึงครุ่นคิดเงียบๆ การต่อสู้แบบปิดประตูหรือเป็นเพราะคนผู้นั้นร้องขอ

ประตูไม้ของหอชำระธุลีปิดแน่น ขอบชายหลังคาสีดำมีน้ำฝนที่หลงเหลือหยดลงติ๋งๆ

มองไม่เห็นภาพด้านในหอ ไม่อาจรู้ได้ว่าสถานการณ์การต่อสู้เกิดอะไรขึ้น แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน บรรยากาศภายนอกหอกลายเป็นอึดอัด หรืออาจจะเป็นเพราะว่ามองไม่เห็นไม่ได้ยิน ทำได้เพียงแค่จินตนาการ ด้วยเหตุนี้บรรดาผู้เข้าสอบยิ่งนานยิ่งตึงเครียด มีผู้เข้าสอบบางคนนั่งขัดสมาธิบนพื้น หลับตาทำจิตใจให้สงบ ไม่ได้สนใจอีก

เวลาผ่านไปไม่นาน ประตูของหอชำระธุลีจึงเปิดออก

พวกผู้เข้าสอบเวลาเดียวกันก็มองเข้าไป ผู้เข้าสอบที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเหล่านั้น ราวกับว่าเป็นผู้เข้าสอบที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดๆ เวลานี้ก็ลืมตาขึ้นมาในชั่วพริบตา

เดินออกมาก็คือลูกศิษย์ของสำนักเด็ดดารา เห็นเพียงแค่ใบหน้าของเขาขาวซีด ด้านหน้าของชุดสำนักขาดเป็นรอยใหญ่ อีกทั้งยังมองเห็นรอยโลหิตได้เลือนราง แต่ท่าทางยังคงสงบนิ่ง

ผู้ตรวจสอบที่มาจากกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ก้าวไปข้างหน้าเริ่มรักษาให้กับผู้เข้าสอบผู้นี้ เห็นเพียงแสงที่อยู่บนบันไดหินชัดเจน เส้นแสงหนึ่งทำให้ผู้คนทั้งหมดมีลมหายใจสงบนิ่งสบาย ปกคลุมทั่วทั้งสนาม

ถ้าหากเป็นเวลาปกติ สามารถมองเห็นแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งการรักษาที่ยอดเยี่ยมของนักบวชหญิงเช่นนี้ เหล่าผู้เข้าสอบคงจะส่งเสียงชื่นชมเป็นแน่ แต่ว่าเวลานี้ จิตใจของพวกเขาต่างวางอยู่บนผลลัพธ์ของการต่อสู้

ลูกศิษย์นามว่าจื่อชี่หยาไม่ได้ออกมา

ชีเจียนเดินไปข้างหน้านักบวชพระราชวังหลี เอ่ยถาม “ขอถามนักบวชหน่อย ลูกศิษย์คนนั้นของพวกเราเล่า”

บรรดาลูกศิษย์พรรคฉางเซิงส่งเสียงร้องในเวลาเดียวกัน ในฐานะที่เป็นศิษย์สำนักเดียวกัน ชีเจียนเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของพรรคกระบี่หลีซาน เป็นตัวแทนเอ่ยถามสถานการณ์ของจื่อชี่หยา จากที่คนจำนวนมากมองต่างก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล มีเพียงแค่เฉินฉางเซิงมองภาพนี้ ก่อเกิดความไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดคนที่อายุเยาว์วัยที่สุดดังเช่นชีเจียนถึงเป็นคนที่ออกหน้ากลับมิใช่โก่วหานสือ

บรรดาศิษย์พี่ทั้งหลายต่างมิได้เอ่ยสิ่งใด ศิษย์น้องของเขาหลีซานเพราะเหตุใดเป็นคนเอ่ยก่อน

เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นท่าทางของโก่วหานสือสงบนิ่งดังปกติ กวนเฟยไป๋กับเหลียงปั้นหูมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ คล้ายกับว่าการที่ชีเจียนออกหน้าเป็นเรื่องปกติ

นักบวชพระราชวังหลีเอ่ยว่า “ผู้แพ้ไม่สามารถอยู่ในสนามได้ คนที่เจ้าถามได้ถูกส่งออกจากพระราชวังแล้ว เวลานี้ก็คงจะได้รับการรักษาที่ตำหนักอิงหัว ไม่ต้องกังวลไป”

ชีเจียนหันมองโก่วหานสือ เห็นศิษย์พี่มิได้แสดงท่าทีอันใด จึงถอยหลังกลับ

นักบวชพระราชวังหลีกวาดตามองสมุดรายชื่อในมือ หลังจากนั้นมองไปยังผู้เข้าสอบ เอ่ยว่า “ผู้เข้าสอบลำดับที่สิบเจ็ดฮั่วกวงอยู่ที่ไหน”

เมื่อเสียงพูดสิ้นสุดลง หนุ่มน้อยหนอนหนังสือผู้นั้นก็ค่อยๆ เดินออกมาจากฝูงชน

หนุ่มน้อยหนอนหนังสือสวมเสื้อยาวสีน้ำตาลอมแดง ใบหน้าคล้ายกับว่าปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ท่าทางเมินเฉยทะนงตนสูงสุด

เขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทะนงตน

มองเห็นคนผู้นี้ออกประลอง ผู้เข้าสอบที่อยู่อันดับครึ่งหลังท่าทางเปลี่ยนไป ยิ่งตื่นเต้นมากกว่าตอนที่นักเรียนสำนักเด็ดดาราที่กำลังเลือก

เพราะว่านักเรียนหนอนหนังสือผู้นี้มาจากสำนักต้นไหว

นักเรียนหนอนหนังสือผู้นี้ ก็คือคนที่ถังซานสือลิ่วเจอบนทางเดินในป่าต้มเวลา

บรรยากาศในสนามเปลี่ยนเป็นยิ่งตึงเครียด มีผู้เข้าสอบน้อยมากที่กล้าสบตากับเขาโดยตรง ผู้เข้าสอบจำนวนมากภาวนาเงียบๆ ในใจไม่ปรารถนาให้ถูกเขาเลือก

ปฏิบัติตามที่นักบวชพระราชวังหลีจัดการ ผู้เข้าสอบครึ่งหลังต่างก็ยืนอยู่ทางทิศตะวันตกของแผ่นหินด้านหน้าหอชำระธุลี

สายตาของนักเรียนหนอนหนังสือสำนักต้นไหว มองไปยังทิศทางหนึ่ง

นั่นคือข้างป่าไม้ มีต้นไม้เป็นพุ่มสีเขียวขจีชุ่มชื่น สามารถบังแดดได้ เพียงแค่ห่างไกลจากหอชำระธุลีเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้นี้จึงไม่มีผู้เข้าสอบยืนอยู่ตรงนั้น

ลั่วลั่วไม่ชื่นชอบให้ร่างกายถูกแสงแดดส่อง ไม่ว่าจะเป็นแสงแดดปลอมของโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราชก็ตาม

ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงจึงพาทุกคนไปอยู่ที่นั่น

คนของสำนักฝึกหลวงต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างป่าไม้

สายตาของนักเรียนหนอนหนังสือสำนักต้นไหวก็ร่วงหล่นลงที่ข้างป่าไม้ ร่วงหล่นลงร่างกายคนของสำนักฝึกหลวง

ท่าทางของเฉินฉางเซิงสงบนิ่ง

เซวียนหยวนผ้อมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ จ้องมองมดตัวหนึ่งที่กำลังเหม่อลอยใต้เท้า

ลั่วลั่วถือผ้าเช็ดหน้าพัดให้เฉินฉางเซิง

มีเพียงแค่ถังซานสือลิ่วที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากนั้นแหงนศีรษะขึ้น จ้องมองนักเรียนหนอนหนังสือสำนักต้นไหวผู้นั้น ท่าทางทระนงจนพูดไม่ออก คล้ายกับว่ากำลังเอ่ยอะไรบางอย่าง มาเลือกข้าสิ มาเลือกข้าสิ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset