ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 143 การต่อสู้ครั้งแรก

เมื่อได้ยินคำพูดของเซวียนหยวนผ้อ สีหน้าของผู้คุมสอบพลันเปลี่ยนไปทันที ทนไม่ได้จึงโบกมือขึ้นมา ส่งสัญญาณให้เขารีบออกไป เซวียนหยวนผ้อตะลึงงัน ในใจครุ่นคิดไม่ต้องประกาศว่าข้าเป็นผู้ชนะหรอกรึ เช่นนั้น การต่อสู้สนามนี้สุดท้ายแล้วนับคะแนนหรือไม่ เขามองคู่ต่อสู้ที่อยู่ข้างใต้กำแพงที่กำลังถูกรักษา เกาศีรษะพลางเดินงุนงงออกไปด้านนอกหอชำระธุลี

ได้ยินเสียงปิดประตูของหอชำระธุลี ผู้คุมสอบจึงได้แต่ส่ายหน้ามิได้เอ่ยสิ่งใด ในใจคิดหนุ่มน้อยผู้นี้อายุเพิ่งสิบสามปี เหตุใดถึงมีพลังมากมายเช่นนี้ ถึงแม้เผ่าปีศาจมีคุณสมบัติพิเศษ แต่นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ

มองเซวียนหยวนผ้อที่เดินลงบันไดหิน ฝูงชนไม่ได้รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย ถึงอย่างไรชื่อของเขาก็อยู่บนประกาศชิงอวิ๋น ต่อสู้จนลูกศิษย์หุบเขาอำพันพ่ายแพ้ก็นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพียงแค่ผู้คุมสอบไม่คิดว่าการต่อสู้สนามนี้จะเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว ยังรวดเร็วมากกว่าหนอนหนังสือทั้งสี่ของสำนักต้นไหวเสียอีก อีกทั้งยังมีเสียงประหนึ่งอสนีบาตฟาดลงมา นั่นเกิดสิ่งใดขึ้น

ถูกต้องแล้ว ค่ายกลกั้นเสียงของหอชำระธุลีไม่อาจกั้นเสียงได้ทุกชนิด หลังจากที่ระดับเสียงเลยขีดจำกัดไปแล้ว เสียงก็จะออกไปยังด้านนอกหอ ก่อนหน้านี้ที่เซวียนหยวนผ้อออกหมัดทะยานไปยังลูกศิษย์หุบเขาอำพันผู้นั้น เสียงหมัดที่น่ากลัวตีทะลวงขอบเขตของค่ายกล เข้าไปในหูของพวกผู้เข้าสอบด้านนอกหอ ก่อให้เกิดการคาดเดาและเสียงปรึกษากันนับไม่ถ้วน เวลานี้ยังคงมีผู้เข้าสอบอยู่ในสนาม ส่วนใหญ่เป็นผู้ชนะรอบแรกของการแข่งขัน อีกสักครู่พวกเขาก็คงจะเจอกับเซวียนหยวนผ้อในรอบที่สอง สายตาที่มองไปทางเซวียนหยวนผ้อจึงแฝงไปด้วยการตักเตือน

“เกิดอะไรขึ้น” ถังซานสือลิ่วจ้องมองเซวียนหยวนผ้อเดินกลับไปที่ข้างป่าพลางเอ่ยถาม

จนถึงขณะนี้เซวียนหยวนผ้อก็ยังไม่เข้าใจ คู่ต่อสู้เขาอยู่ในหอชำระธุลีก่อนหน้านี้แท้จริงเกิดอะไรขึ้น หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน จึงวาดมือขึ้นพลางเอ่ยตอบ “เขาไม่ได้ป้องกัน”

คนที่ซื่อตรงดังเช่นเขายังคงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถังซานสือลิ่วถึงคาดการณ์รายละเอียดทั้งหมดของคู่ต่อสู้ได้ คิดว่าถังซานสือลิ่วกับศิษย์หุบเขาอำพัน ปรึกษาหารือแล้วว่าจะให้ตนได้รับชัยชนะ ด้วยเหตุนี้ความรู้สึกเวลานี้จึงมิได้ฮึกเหิมแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าจิตใจห่อเหี่ยวและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

ถังซานสือลิ่วจะคิดได้อย่างไรว่าเขากำลังคิดเหม่อลอยอะไร ได้ยินประโยคของเขาจึงคาดเดารายละเอียดโดยรวมของคู่ต่อสู้ได้ แสยะยิ้มเอ่ยถาม “จะไม่ป้องกันได้อย่างไร เพียงแค่ป้องกันไม่ทัน การรวมพลังแรกเริ่มในการต่อสู้ เดิมทีระดับวิทยายุทธ์ของเขาก็ไม่ทัดเทียมเจ้าได้ อีกทั้งยังพะวงที่จะป้องกันแล้วโต้กลับ เรื่องที่แพ้เป็นสิ่งแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

เวลานี้เอง เสียงพูดคุยด้านหน้าหอชำระธุลีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเบาลง เพราะว่ามีผู้เข้าสอบผู้หนึ่งเดินออกมา เขาอยู่อันดับที่หกสิบเอ็ด

ผู้เข้าสอบคนนี้มาจากสำนักเทียนเต้า จวงห้วนอวี่เดินมายังข้างกายเขาเอ่ยพูดคุยเสียเบา ผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้าผู้นี้ด้านหลังผูกถุงผ้าติดไว้หนึ่งใบ ด้านในไม่รู้ว่าคืออะไร ท่าทางเฉยเมย เมื่อได้ยินคำพูดของจวงห้วนอวี่ สายตากลับจ้องเขม็งไปยังทิศทางของผู้เข้าสอบสำนักฝึกหลวง

หลังจากจวงห้วนอวี่พูดจบ ก็ถอยกลับไป

ผู้เข้าสอบที่มาจากสำนักเทียนเต้าจ้องมองผู้คนที่อยู่ริมป่า เงียบนิ่งเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เลือกเฉินฉางเซิง

ถูกต้อง เขาเลือกเฉินฉางเซิง

ด้านหน้าหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสงัด คนทั้งหมดต่างก็มองไปยังข้างชายป่า

การเลือกนี้ทำให้ผู้คนเหนือความคาดหมาย แต่เมื่อวิเคราะห์อย่างละเอียด กลับเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ซูม่ออวี๋กับถังซานสือลิ่วต่างก็อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นอันดับที่สามสิบสามกับสามสิบสอง ลั่วลั่วยิ่งอยู่เหนือขึ้นไปคืออันดับที่สอง ไม่ว่าผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้าผู้ใดจะขยันหมั่นเพียรอย่างไร ก็ไม่อาจชนะต่อคนทั้งสามได้ ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ว่าออกจะอ่อนแอที่สุดด้วยซ้ำไป ผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้าผู้นั้นเลือกเขา อย่างน้อยก็รับรองได้ว่ามีความชนะได้

ผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้ามองเฉินฉางเซิงพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้”

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ น้ำเสียงตั้งใจทำให้สงบนิ่ง ท่าทางพยายามเมินเฉย แต่ใครต่างก็ได้ยินว่าโกรธ ที่เขาโกรธ เป็นเพราะความมั่นใจนั้นไม่เพียงพอ มีเพียงแค่ความโกรธเท่านั้นจึงจะทำให้ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น เรื่องอย่างการชุมนุมไม้เลื้อย อย่างประกาศชิงอวิ๋น อย่างคำที่ว่ามีชื่อเสียงทั่วจิงตู

ข้างชายป่าเงียบเชียบอย่างยิ่ง

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิง ต้องการเอ่ยอะไรบางอย่าง สุดท้ายแล้วกลับไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาไม่เหมือนกับตอนที่ช่วยชี้แนะรายละเอียดให้กับเซวียนหยวนผ้อก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งวางแผนการต่อสู้ให้ก่อน เพราะว่าแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้เฉินฉางเซิงมีสภาพเป็นอย่างไร

ในที่สุด เขาจึงเอ่ยถามคำถามที่ง่ายดายที่สุด “ไหวไหม”

เฉินฉางเซิงจ้องมองผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้าผู้นั้น เทียบดูกับเอกสารที่อาจารย์ซินได้แอบส่งมาที่สำนักฝึกหลวง จำได้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้นามว่าหลิวฉงซาน ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี เป็นนักเรียนที่เจ้าสำนักเหมาชิวอวี่สอนด้วยตนเอง ระดับวิทยายุทธ์ไม่เลวนัก อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นถอดจิตระดับกลาง อีกทั้งยังอาจจะมีศาสตราวิเศษพกติดกายมาด้วย

“คงไม่มีปัญหา” หลังจากเขาคิดใคร่ครวญ จึงเอ่ยกับถังซานสือลิ่ว

ได้ยินประโยคนี้ ท่าทางของถังซานสือลิ่วเพียงชั่วครู่จึงผ่อนคลาย มิได้กังวลอีก เขารู้ว่าเฉินฉางเซิงเป็นเด็กที่เงียบนิ่งรอบคอบ ในเมื่อเอ่ยว่าไม่มีปัญหา นั่นก็จะต้องไม่มีปัญหาแน่นอน

“อาจารย์ ใช้กระดุมพันลี้เถอะ” ลั่วลั่วเอ่ยถามเสียงเบา

นางรู้สึกกังวล ถึงแม้เวลาปกติจะมีความมั่นใจต่อเฉินฉางเซิง จนกระทั่งใกล้เคียงกับคำว่าเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตา การต่อสู้ครั้งนี้สำหรับเฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วมีความสำคัญอย่างมาก จากคะแนนสอบความรู้ของเขาแล้ว เพียงแค่เขาสามารถเอาชนะผู้เข้าสอบสำนักเทียนเต้าผู้นี้ ก็มีโอกาสเข้าไปอยู่ในสามอันดับแรกของการสอบใหญ่ มีคุณสมบัติเข้าสุสานเทียนซู

ถังซานสือลิ่วได้ยินประโยคนี้ของนาง ในใจครุ่นคิดคนผู้นี้เป็นอะไรกันนี่

กระดุมพันลี้เรียกได้ว่าเป็นศาสตราวิเศษระดับตำนาน ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับผู้แกร่งกล้าระดับขั้นรวบรวมดวงดาวขึ้นไป ต่างก็สามารถรักษาชีวิตได้ เป็นของล้ำค่าซึ่งเป็นที่รู้จัก แต่ผู้แข็งแกร่งทุกคนปรารถนาจะครอบครองอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง คิดไม่ถึงว่าลั่วลั่วจะให้เฉินฉางเซิงใช้ในการต่อสู้ที่ธรรมดานี้ นี่ไม่สิ้นเปลืองเกินไปหรือ

เฉินฉางเซิงจ้องมองลั่วลั่วพลางเอ่ยว่า “ไม่มีปัญหา ข้าไหว”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ เขาก็เดินเข้าไปในหอชำระธุลี ภายใต้การนำของนักบวชพระราชวังหลี เดินเข้าไปพร้อมกับผู้เข้าสอบของสำนักเทียนเต้า

จ้องมองประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง พวกผู้เข้าสอบอยู่ด้านหน้าหอเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด ท่าทางสลับซับซ้อน ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด

ในหอชำระธุลี ชายหลังคากลมมนคล้ายกับปากบ่อ ท้องฟ้าราวกับว่าห่างกันไกลออกไป

เฉินฉางเซิงกับนักเรียนสำนักเทียนเต้าที่นามว่าหลิวฉงซานห่างกันไกลอย่างยิ่ง แยกกันยืนอยู่บนพื้นที่ราบในหอ จ้องมองกันและกันในที่ไกล

“ข้ายอมรับว่าในด้านการศึกษาไม่อาจทัดเทียมเจ้าได้ แต่ทางด้านการต่อสู้จะต้องอาศัยพลังที่แท้จริง ข้าอยากจะรู้อย่างยิ่ง เจ้าชำระล้างกระดูกสำเร็จหรือยัง”

หลิวฉงซานจ้องมองเขาเอ่ยด้วยท่าทางเฉยเมย เสียงเกือบจะไม่มีการขึ้นๆ ลงๆ ในความเป็นจริงซุกซ่อนไปด้วยการเยาะหยัน

ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้เขาเอ่ยประโยคที่ซุกซ่อนไปด้วยความโกรธ นี่เป็นวิธีที่เขาเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง

เฉินฉางเซิงไม่เหมือนกับเซวียนหยวนผ้อที่ใจลอยจ้องมองท้องฟ้า และก็ไม่ได้มองไปยังชั้นสองเพื่อมองหาผู้คุมสอบ เริ่มจากเดินเข้ามาในหอชำระธุลี เขาจ้องมองคู่ต่อสู้มาตลอด ตั้งใจและสงบนิ่ง ค่อยๆ ปล่อยวางดวงจิต พลังปราณแท้ขับเคลื่อนในเส้นลมปราณ แม้ไร้หนทางจะเชื่อมต่อถึงกันแต่สามารถอบอุ่นไปทั่วทั้งหน้าอกและช่วงท้อง

เขากล่าวตอบ “สำเร็จแล้ว”

การสอบใหญ่ในวันนี้ มีคนจำนวนมากที่คาดเดาได้เลือนราง มองออกว่าเขาชำระล้างกระดูกสำเร็จแล้ว แต่ชำระล้างกระดูกสำเร็จเป็นเพียงขั้นพื้นฐาน เดิมทีไม่อาจจะปิดเป็นความลับได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง

หลิวฉงซานเอ่ยต่อ “เป็นเช่นนั้นรึ ข้าจำได้ชัดเจน เมื่อการชุมนุมไม้เลื้อย เจ้ายังไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ในเมื่อชำระล้างกระดูกสำเร็จ ก็คงไม่กี่วันหรอก”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด กล่าวว่า “ใช่แล้ว เวลาไม่นานจริงๆ”

“ชำระล้างกระดูกสำเร็จเพียงแค่ไม่กี่วัน แน่นอนว่าแม้แต่การถอดจิตสำรวจตนเองก็คงไม่เข้าใจ ข้าอยากจะรู้นัก คนอย่างเจ้าจะเอาชนะข้าได้อย่างไร ในเมื่อพลังไม่แข็งแกร่งพอ ชื่อเสียงถึงแม้จะโด่งดังแล้วจะเป็นเช่นไรเล่า”

หลิวฉงซานจ้องมองเขาเอ่ยเยาะหยัน มือขวายื่นไปข้างหลัง ปลดถุงผ้าออก หยิบร่มคันหนึ่งออกมา กางไว้ข้างหน้า

ร่มคันนั้นมองแล้วเป็นร่มกระดาษน้ำมันธรรมดา หลังจากถูกกางออกมา ในเวลาชั่วพริบตาก็ปรากฏแสงแวววับนับไม่ถ้วน มองแล้วเหมือนกับหยกเหลืองที่ล้ำค่าซึ่งมีพลังปราณที่แข็งแกร่งหมุนเวียนอยู่ในนั้นอ่อนบาง ชัดเจนยิ่งนักว่ามิใช่ศาสตราวุธธรรมดา หลิวฉงซานเป็นเพราะอายุที่ยังเยาว์วัย ระดับวิทยายุทธ์ไม่เพียงพอที่จะนำพลังทั้งหมดของร่มออกมา แต่หากนำมาอยู่ในสถานการณ์ของการสอบใหญ่ กลับมีผู้เข้าสอบจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่จะอาศัยพลังของตนทำลายได้ ร่มคันนี้เดิมเป็นไม้ตายของเขา เพียงแค่คาดคิดไม่ถึงว่ารอบแรกจะพบกับเฉินฉางเซิง เพราะว่าต้องการความแน่ใจ เขาจึงไม่ลังเลที่จะนำมันออกมาใช้

เฉินฉางเซิงเหลือบมองร่มคันนั้น ก็ไม่ได้ใส่ใจอีก สมาธิกลับมาอยู่ในร่างกายของตน

เส้นลมปราณที่ไม่ต่อเนื่องมีพลังปราณแท้หมุนเวียนจำนวนไม่มาก พลังจิตที่แข็งแกร่งผลักให้กำลังวังชายิ่งนานยิ่งคึกคัก อีกทั้งยิ่งนานยิ่งสงบนิ่งแปลกประหลาด พลังสายหนึ่งที่ยากจะอธิบายได้ออกมาจากกระดูกและอวัยวะภายในส่วนที่ลึกที่สุดของร่างกายเขา มายังทุกพื้นที่ของร่างกายเขา ทำให้รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ ความรู้สึกชนิดนี้ล้ำลึกมหัศจรรย์ ยากที่จะเอ่ยขึ้นมาได้ แต่มิใช่เป็นเพราะว่าพลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่ ราวกับว่าถึงแม้จะเป็นพลังที่น้อยนิด ก็ทำให้มีความมั่นใจอันยิ่งใหญ่หาสิ่งใดเปรียบได้ ราวกับว่าเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง

เขาไม่ได้รู้สึกแปลกกับความรู้สึกนี้

วันนั้นอยู่ในพื้นที่ด้านล่าง เมื่อเข้าสู่ขั้นถอดจิตแล้วสลบไป หลังจากตื่นขึ้นมา เขาจึงพบว่าร่างกายของเขามีพลังขุมหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ลมปราณสายหนึ่ง รวมถึงความรู้สึกมั่นใจในตนเองอย่างแรงกล้า

เพราะว่าไม่ได้เห็นผู้อาวุโสมังกรดำอีกเลย ด้วยเหตุนี้จนกระทั่งถึงวันนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่เขารู้ว่าร่างกายตนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไร้ผู้คนคาดคิดได้ ระดับความเร็วและพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดกลัว ถึงแม้เป็นการชำระล้างกระดูกที่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็เท่านั้นเอง

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่มีคนรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ของเขา

“มาสิ” หลิวฉงซานจ้องมองเขาด้วยท่าทางเฉยเมยพลางเอ่ยออกมา ร่มกระดาษน้ำมันคันนั้นปล่อยลมปราณที่แข็งแกร่งออกมาอยู่ด้านหน้าเขา

มาของเขาหมายถึงไปของเฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดว่าควรจะไปอย่างไร จะไปอย่างไรให้รวดเร็ว จากนั้นจึงคิดไปถึงวันที่กระโดดจากอาคารลงมาบนพื้นหิมะ ร่วงลงมาอยู่ริมทะเลสาบ

เขายกเท้าขวาขึ้นมา เหยียบลงไปบนพื้น

ได้ยินเพียงแค่เสียงหนึ่ง เสียงนั้นอยากที่จะอธิบายได้ คล้ายกับว่าเป็นเสียงเหล็กที่ถูกเพลิงแผดเผา ทันใดนั้นก็ถูกน้ำสาดลงมา

เปรี๊ยะ…

เท้าของเฉินฉางเซิงเหยียบอยู่บนพื้น

ส้นรองเท้าที่แข็ง เพียงชั่วพริบตาก็แตกออก

เม็ดทรายที่อยู่ใต้รองเท้า ประหนึ่งกระเซ็นหนีตายไปทุกที่ทุกทาง ทำให้เห็นพื้นผิวซึ่งเป็นหินที่แท้จริง

ร่องรอยแตกนับไม่ถ้วน กระจายไปยังบริเวณรอบๆ หอชำระธุลี โดยมีเท้าขวาของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง

สิ่งเหล่านี้ ต่างก็เกิดขึ้นภายในระยะเวลาเพียงชั่วพริบตา

คนที่รับผิดชอบการต่อสู้ของการสอบใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นนักบวชของพระราชวังหลี ในนักบวชเหล่านี้ มีคนที่รับผิดชอบขั้นตอนการดำเนินงาน มีคนที่รับผิดชอบคุมสอบ มีคนที่รับผิดชอบรักษาอาการบาดเจ็บ มีคนที่รับผิดชอบงานจิปาถะ ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้านในหอตลอด ก่อนหน้านี้มีคนจำนวนมากอยู่ด้านนอกหอ ทว่าเวลานี้ พวกคนทั้งหมดต่างอยู่ด้านในหอชำระล้างธุลี

พวกเขายืนอยู่บนชั้นสอง มองดูการต่อสู้เงียบๆ พวกเขาแปลกใจยิ่งนัก หนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงที่ใต้เท้ามุขนากยกให้ความคาดหวังไว้สูง แท้จริงแล้วจะมีวิทยายุทธ์ระดับไหน เป็นดังในตำนานที่เล่าขานว่าไม่สามารถฝึกบำเพ็ญเพียรได้ หรือว่าเป็นดังเรื่องเล่าขานเช่นบุคคลที่อยู่ๆ ก็มีพลังยากจะจินตนาการปะทุออกมา

มองเท้าข้างหนึ่งของเฉินฉางเซิงร่วงหล่นบนพื้นที่ปูไปด้วยฝุ่นทราย เห็นภาพที่เกิดขึ้นตามมาภายหลัง ท่าทางของนักบวชพระราชวังหลีบนชั้นสองทั้งหมดเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง เพราะว่าหนุ่มน้อยสำนักฝึกหลวงผู้นี้แสดงพละกำลังออกมาเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ ไม่ต้องเอ่ยว่าพลังปราณแท้ของเขามีเต็มเปี่ยม ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน จำนวนพลังปราณแท้ของเฉินฉางเซิงธรรมดาอย่างยิ่ง จนกระทั่งกล่าวได้ว่ามีเพียงน้อยนิด แต่คาดไม่ถึงว่าเขาสามารถเหยียบพื้นโลกใบเล็กของใต้เท้าสังฆราชจนแตกได้! แท้จริงแล้วเขาชำระล้างกระดูกอย่างไร ถึงมีพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้

พลังที่น่ากลัวไร้สิ่งใดเปรียบ กลับมายังร่างกายของเฉินฉางเซิงจากบนพื้น เม็ดทรายฟุ้งกระจายเต็มท้องฟ้า!

ร่างกายของเขาตลบอบอวลด้วยทราย ชุดสำนักสีเข้มของสำนักฝึกหลวง ปรากฏเป็นเงาเส้นที่ไม่สมบูรณ์ชัดเจน มองแล้วเหมือนกับมังกรสีดำหนึ่งตัว!

บรรดานักบวชของพระราชวังหลีก็ไม่อาจสะกดความตกตะลึงจึงส่งเสียงร้องติดต่อกันอยู่บนชั้นสอง!

จากนั้นผนวกเข้ากับเสียงที่แหลมจนกระทั่งเอ่ยได้ว่าเป็นเสียงคำรามแหลมสะกดไว้!

นั่นเป็นเพราะว่าเฉินฉางเซิงรวดเร็วเกินไป ระหว่างร่างกายกับอากาศเสียดสีกันด้วยความเร็วสูง คล้ายกับว่าจะนำอากาศแยกออกจากกัน เกิดเป็นเสียงราวกับมังกรคำราม!

เพียงชั่วพริบตา เขาก็มาถึงด้านหน้าของหลิวฉงซาน

เดิมทีหลิวฉงซานมิได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ถึงขนาดว่าแม้แต่ครุ่นคิดยังไม่ทันได้ครุ่นคิด เพราะว่าจิตใจที่ตกตะลึงและปากที่อ้าออกมาทำได้เพียงแค่ครึ่งเดียว

หมัดของเฉินฉางเซิงก็ร่วงหล่นยังร่มคันนั้น

ร่มคันนั้นเปล่งลำแสงนับไม่ถ้วนทันที เกิดเป็นลมปราณที่แข็งแกร่งออกมา

อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมา ลำแสงของร่มถูกสกัดไว้ฉับพลัน กลายเป็นมืดสลัวไร้แสงดังเดิม

เพราะว่าลมปราณที่แข็งแกร่งนั้นถูกพลังที่เหนือกว่าสะกดยับยั้งไว้!

พลังที่แข็งแกร่งสายนั้น มาจากหมัดของเฉินฉางเซิง

เสียงปัง ร่มคันนั้นปลิวไปตามแรงหมัด

หมัดยังคงมุ่งไปยังเบื้องหน้า เตรียมที่จะร่วงหล่นมายังหน้าอกของหลิวฉงซาน

เสียงโครมดังขึ้น ร่างกายของหลิวฉงซานประหนึ่งก้อนหินที่ถูกดีด ปลิวไปไกลหลายสิบจั้ง จากนั้นชนเข้ากับกำแพงหินแข็งของหอชำระธุลี!

บนกำแพงหินยังคงหลงเหลือรอยแตกเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้เซวียนหยวนผ้อชกลูกศิษย์หุบเขาอำพันปลิวไปกระทบยังที่แห่งนั้น

เวลานี้ หลิวฉงซานก็ได้กระทบไปยังตำแหน่งเดียวกัน

เป็นหนึ่งหมัดเช่นกัน

หลิวฉงซานกระอักโลหิตออกมาจนสลบไป

เมื่อแรกเริ่มต่อสู้ เขาเอ่ยเหยียดหยามเฉินฉางเซิงด้วยสองคำนี้

มาสิ

ในเมื่อเฉินฉางเซิงมาแล้ว

หลังจากนั้นเขาก็ล้มลง

จากแรกเริ่มจนสิ้นสุด เขาเอ่ยเพียงแค่สองคำ

แม้แต่กระบวนท่าเดียวเขาก็ออกไม่ทัน

ในหอชำระธุลีทั่วทั้งผืนเงียบสนิท

เฉินฉางเซิงชักหมัดกลับ ยืนตัวตรง จากนั้นจ้องมองไปยังชั้นสอง

บรรดานักบวชที่ถูกทำให้ตกตะลึงจนเหม่อลอย ครั้นสบสายตาของเขาถึงรู้สึกตัว รีบลงมาช่วยเหลือคนบาดเจ็บ

นักบวชของพระราชวังหลีที่รับผิดชอบขั้นตอนการต่อสู้ เดินมายังด้านหน้าเฉินฉางเซิง ปรารถนาจะเอ่ยอะไรบางอย่าง สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

ท่าทางเฉินฉางเซิงสงบนิ่งประสานมือคารวะเขา จากนั้นหันกายออกจากหอไป

มองภาพด้านหลังของเขา อารมณ์ของนักบวชพระราชวังหลีผู้นั้นยากที่จะสงบ ในใจคิดว่าพวกนักเรียนของสำนักฝึกหลวง…ไฉนถึงป่าเถื่อนได้ง่ายดายเช่นนี้เล่า

…………………………

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset