ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 148 หน้าผา

การต่อสู้ของการสอบใหญ่ดำเนินมาถึงครึ่งหลังของรอบที่สอง ในสองสนามการแข่งขันระหว่างพรรคกระบี่หลีซานกับสำนักฝึกหลวงที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากที่สุด ผลปรากฏว่าสนามแรกสำนักฝึกหลวงสละสิทธิ์ อีกสนามได้พ่ายแพ้ พรรคกระบี่หลีซานย่อมกล่าวได้ว่านำเกียรติยศที่หายไปในการชุมนุมไม้เลื้อยกู้กลับคืนมา ทว่าสำนักฝึกหลวงกลับถูกบีบให้แขวนอยู่บนหน้าผา

ถึงแม้จะกล่าวว่าการต่อสู้มิใช่การต่อสู้แบบกลุ่ม สุดท้ายแล้วการสอบใหญ่ก็เรียงตามลำดับคะแนนของผู้เข้าสอบแต่ละคน ทว่าบรรดาผู้เข้าสอบคนหนุ่มสาวเหล่านั้นแท้จริงแล้วมิได้ออกมาจากซอกหินแต่อย่างใด ไม่ว่าจะอยู่ในสายตาของคนทั้งโลกหรือว่าตามความเข้าใจของตนเอง คะแนนของพวกเขาล้วนเป็นตัวแทนเกียรติยศและชื่อเสียงของบรรดาสำนักและพรรคของพวกเขา

ผู้ที่จะออกไปประลองสนามที่สามของสำนักฝึกหลวงก็คือเฉินฉางเซิง เพราะว่าองค์หญิงลั่วลั่วเป็นคนที่ทุกคนต่างทราบดีว่าแข็งแกร่งที่สุดในสำนักฝึกหลวง ได้ปะทะกับเทียนไห่เซิงเสวี่ยที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจี คนส่วนมากต่างทราบดีว่าเป็นเรื่องที่ยากจะเอาชนะได้ เช่นนั้นแล้วถ้าหากสำนักฝึกหลวงไม่อยากให้การต่อสู้รอบที่สองทั้งหมดพ่ายแพ้ย่อยยับ เห็นทีจะต้องดูว่าการต่อสู้ครั้งนี้ของเฉินฉางเซิงจะเอาชนะได้หรือไม่

แม้ว่าเขาจะเอาชนะลูกศิษย์ของหุบเขาอำพันได้ในรอบแรก แต่ยังคงไร้ผู้คนมองเขาในทางที่ดี ทุกคนล้วนแต่รู้ดีว่า ในบรรดานักเรียนของสำนักฝึกหลวงทั้งสี่คนเขาเป็นคนที่อ่อนด้อยที่สุด ขณะนี้แม้แต่ถังซานสือลิ่วยังพ่ายแพ้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปหลบหลีกการพ่ายแพ้ได้เล่า ปาฏิหาริย์รึ ถ้าหากเกิดขึ้นบ่อยๆ ก็คงจะมิใช่ปาฏิหาริย์ แต่เป็นปัญหา

ไม่มีคนมองในแง่ดีว่าการต่อสู้รอบที่สองของเฉินฉางเซิงเกิดจากปัญหาการจับฉลากต่อสู้ของการสอบใหญ่รอบที่สอง

ทุกคนต่างทราบดี จะต้องมีคนวางอุบายในการจับฉลากเป็นแน่

คู่ต่อสู้ครั้งแรกของเฉินฉางเซิงก็คือฮั่วกวงแห่งสำนักต้นไหว

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่ก็เป็นวิธีเลือกที่ดีที่สุด มิใช่ว่าเฉินฉางเซิงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เป็นเพราะว่าคนที่จะทำให้เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ตั้งแต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ลงมายังบรรดาข้าราชบริวาร ตั้งแต่คนเล่านิทานจากเมืองไป๋ตี้ของเผ่าปีศาจอันไกลโพ้นมายังจิงตู ทุกคนในดินแดนต้าลู่ล้วนแต่ให้ความสนใจต่อการสอบใหญ่ที่จัดขึ้นในจิงตู ตามประกาศการหมั้นหมายระหว่างสวีโหย่วหรงในการชุมนุมไม้เลื้อย อีกทั้งตามที่ใต้เท้ามุขนายกได้ประกาศว่าเขาจะเอาอันดับแรกประกาศแรก สายตานับไม่ถ้วนก็จับตาดูที่เฉินฉางเซิง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้คนที่อยากจะบดขยี้สำนักฝึกหลวงกับเฉินฉางเซิงเหล่านั้นจะต้องลงมือย่างระมัดระวังละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น อย่างน้อยไม่สามารถทำให้คนมองออกว่ามีปัญหา ถ้าหากว่ารอบที่สองแล้วให้เฉินฉางเซิงจับฉลากพบกับโก่วหานสือ คนทุกคนจะรู้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิด ไม่ต้องเอ่ยว่าสำนักการศึกษากลางจะล้มโต๊ะหรือไม่ หากคนเหล่านิทานในจิงตูเหล่านั้นตบโต๊ะ จะต้องส่งเสียงดังก้องหลายครั้งเป็นแน่

ฮั่วกวงบัณฑิตแห่งสำนักต้นไหวนับเป็นคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมที่สุด

บัณฑิตหนุ่มผู้นี้อยู่ในสำนักต้นไหวตั้งอกตั้งใจอ่านตำรามาตลอด มิได้ออกสำนักมาหาประสบการณ์มากมาย ด้วยเหตุนี้จึงมิได้เข้าอยู่ในประกาศชิงอวิ๋น คนที่ไม่รู้เหตุการณ์เบื้องลึกหากมองเพียงผิวเผินคล้ายกับว่าอ่อนแออย่างยิ่ง

ทว่าในความเป็นจริง สำนักต้นไหวไร้คนที่อ่อนแอ ฮั่วกวงเป็นคู่ต่อสู้ที่ถูกอบรมผู้สำคัญอย่างยิ่งของสำนักต้นไหว เตรียมที่จะทำให้คนตกตะลึงในการสอบใหญ่ แล้วเฉินฉางเซิงจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไรเล่า

บรรยากาศของข้างป่าไม้ย่ำแย่เล็กน้อย

ถังซานสือลิ่วพิงต้นหยาง มองข้างหลังของเฉินฉางเซิง จู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “ตีไม่ชนะก็ถอยเสีย อย่าได้สร้างปัญหา”

ก่อนหน้านี้เขาเอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่าไม่อาจพ่ายแพ้ได้ เป็นเพราะว่าเขาล่วงรู้สาเหตุบางอย่างของเฉินฉางเซิง ในเมื่อจะต้องเอาอันดับแรกประกาศแรกเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่อาจพ่ายแพ้ได้ อย่างไรก็ตามเวลานี้หากเขาเอาชนะบัณฑิตสำนักต้นไหวอย่างไม่คาดคิดได้ สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเทียนไห่เซิงเสวี่ยกับโก่วหานสือ คิดแล้วก็อยากจะกลับไปเก็บประโยคที่เพิ่งเอ่ยออกมา

สำหรับเขาแล้ว เฉินฉางเซิงยังคงเป็นหนุ่มน้อยอย่างยิ่ง ยังมีเวลาอีกมาก ตามพรสวรรค์และความรู้ของเขา ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าจะขึ้นไปถึงระดับไหน ถ้าหากขณะนี้พยายามเอาอันดับแรกประกาศแรกอย่างสุดชีวิต แล้วเหตุใดจะต้องพยายามสุดชีวิตเล่า เพราะเหตุใดไม่เอาสายตาวางไว้ข้างหลัง รอจนกระทั่งถึงภายภาคหน้า เหตุใดจะต้องเยือกเย็นต่อตนเช่นนี้ด้วยเล่า

เฉินฉางเซิงโบกมือ มิได้หันหน้าไปมอง เพราะว่าเขาไร้หนทางจะอธิบาย ตนถึงแม้จะยังเยาว์วัยอย่างยิ่ง แต่ไม่อาจสูญสิ้นเวลามากเกินไปได้

เขาทำความเคารพนักบวชของพระราชวังหลี จากนั้นเดินไปยังบันไดหิน

เมื่อการต่อสู้รอบแรก รองเท้าข้างขวาของเขาก็เสียหาย เวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นรองเท้าคู่ใหม่แล้ว

รองเท้าคู่นี้นางกำนัลหลี่เอามาจากห้องนอนของนาง ใหม่เอี่ยมยิ่งนัก ทว่าสวมใส่แล้วสบายอย่างมาก ขนาดกำลังพอดี คงจะเป็นลั่วลั่วแอบจำเบอร์รองเท้าของเขา

สวมรองเท้าคู่นี้ เขารู้สึกว่าเท้าเหยียบย่ำพื้นดินจริงๆ เชื่อมั่นอย่างยิ่ง

ข้างป่าไม้ เซวียนหยวนผ้อเอ่ยกับถังซานสือลิ่ว “จะหยุดพักสักหน่อยไหม”

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิงอยู่บนบันไดหินไกลออกไป หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “ไม่ต้อง เอาหินผลึกให้ข้า”

ผู้อาวุโสหอความลับสวรรค์เมื่อวิพากษ์วิจารณ์ออกมาในประกาศชิงอวิ๋น เขาได้รับผลกระทบจากเฉินฉางเซิงเป็นจำนวนมาก ดังเช่นเวลานี้ มองภาพด้านหลังของเฉินฉางเซิง ความรู้สึกเศร้าซึมก่อนหน้านี้ของเขาถูกสลัดทิ้งอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังปราณแท้ เพราะอาจจะมีการแข่งขันเพิ่มเติม อย่างน้อยเขาจะต้องเข้าไปอยู่สามอันดับแรก มิเช่นนั้นเขาจะคิดว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉินฉางเซิงตนจะด้อยกว่าเขาหนึ่งขั้น

มิได้เกี่ยวข้องกับคะแนนของระดับวิทยายุทธ์ มิได้เกี่ยวข้องกับจิตใจ

หอชำระธุลีเปิดอีกครั้ง เฉินฉางเซิงกับบัณฑิตที่นามว่าฮั่วกวงเดินเข้าไปข้างใน

คนทั้งสองห่างกันสิบกว่าจั้ง ยืนอยู่บนพื้นที่ปูเต็มไปด้วยทราย จ้องมองซึ่งกันและกันเงียบนิ่ง

หากมองอย่างละเอียด หรือสามารถมองเห็นด้านล่างพื้นทรายใต้เท้าพวกเขา ก็จะเห็นรอยโลหิตจางๆ คงจะเป็นของผู้เข้าสอบก่อนหน้านี้หลงเหลือเอาไว้

“ข้าเคยได้ยินเรื่องเจ้า” ฮั่วกวงทำลายความเงียบ จ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา “ก่อนมาถึงจิงตู”

บัณฑิตหนุ่มสำนักต้นไหวผู้นี้อายุราวๆ สิบแปดสิบเก้าปี ท่าทางสงบสุขุม ลักษณะท่าทางประหนึ่งแกะมาจากสหายเพื่อนร่วมสำนักก็มิปาน แต่ในความเป็นจริง รูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกบางอย่าง เป็นเพราะว่าบัณฑิตหนุ่มสำนักต้นไหวล้วนมีสิ่งที่ยากจะอธิบายได้

เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยตอบ เขาคิดว่าไม่จำเป็น

“ข้ารู้ว่าจะต้องเจอกับเจ้าในการสอบใหญ่” ฮั่วกวงมองเขาพลางกล่าวอย่างสงบ “ก่อนหน้ามายังจิงตู”

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่าผู้ที่โจมตีสำนักฝึกหลวงในการสอบใหญ่วันนี้ เดิมทีไม่ใช่แค่เป็นราชวงศ์ต้าโจวหรือเป็นคนภายในของนิกายหลวงที่ลงมือ กลับพัวพันไปถึงทางทิศใต้อันไกลโพ้น

แต่เขายังคงไม่เอ่ยสิ่งใด ปรับลมหายใจรวมถึงขับเคลื่อนพลังปราณแท้อย่างสงบนิ่ง

“เพราะว่าต้องการต่อต้านการรุกรานของเผ่ามาร เผ่ามนุษย์บนโลกนี้จะต้องรวมเป็นหนึ่ง พละกำลังที่ซัดมาเป็นระลอกไร้ผู้คนยับยั้ง ผู้ใดที่คิดจะวางแผนสกัดกั้นล้วนแต่ถูกลากลงกลางลำน้ำอันเน่าเหม็นในประวัติศาสตร์ ซ้ำเจ้า…ยังกระทบไปถึงการรวมกันของทิศใต้ทิศเหนือ ด้วยเหตุนี้ เจ้าไม่อาจเอาประกาศแรกอันดับแรกไปได้ ยิ่งไม่อาจสมรสกับสวีโหย่วหรง”

ฮั่วกวงจ้องมองเขาเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

เฉินฉางเซิงในที่สุดถึงจะเข้าใจว่าสิ่งที่ยากจะอธิบายนั้นคืออะไร

ก็เหมือนกับค่ำคืนสุดท้ายของการชุมนุมไม้เลื้อย คำพูดของบัณฑิตในชนบทผู้นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนกัน

บนโลกใบนี้มีคนจำพวกนี้มาโดยตลอด มีบางคนที่ศึกษาตำรา เชื่อในเหตุผลที่แปลกประหลาดบางอย่าง

สร้างความปรารถนาให้ฟ้าดิน สร้างชีวิตให้ดำรง นำความรู้สืบทอด เพื่อโลกหล้าสันติสุข ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงควรตายเสีย

ไหล่ใหญ่แข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้าแบกรับศีลธรรมสัจธรรม หลังจากเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว คนในครอบครัวข้าจะดูแลให้ โลกใบนี้ข้าก็จะดูแลให้

เฉินฉางเซิงส่ายศีรษะ ถ้าหากมีเพียงแค่ครึ่งท่อนแรก เช่นนั้นก็คู่ควรที่จะเคารพยกย่อง ถ้าหากเพิ่มประโยคท่อนหลังเข้าไป นั่นช่างไม่ดีอย่างยิ่ง

เขาไม่ชอบกลิ่นเช่นนี้

ไม่ชื่นชอบยิ่งกว่ากลิ่นคาวเลือดบนร่างกายของสวีโหย่วหรงที่แผ่กระจายออกมา

“วางใจเถิด ข้าไม่ใช้คำพูดเหยียดหยามเจ้า เพราะว่านั่นไม่มีความหมาย ซ้ำยังน่าเบื่อยิ่งนัก”

ฮั่วกวงท่าทางเมินเฉยเอ่ยออกมา มีเพียงแค่หางคิ้วขยับน้อยๆ ชั่วพริบตา

หรืออาจจะเป็นเพราะเวลานี้ เขาคิดไปถึงประโยคเจ็บแสบโหดร้ายของถังซานสือลิ่วในป่าต้มเวลาเมื่อแย่งชิงทางเดิน

“ข้าเอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดาย”

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิง ประหนึ่งผู้อยู่ที่สูงมองมาที่ต่ำ เอ่ยว่า “ชักกระบี่ของเจ้าออกมา ยอมรับความพ่ายแพ้จากข้าเสีย”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด มิได้เอ่ยตอบ และก็มิได้ชักกระบี่ของตนออกมา

ครั้นฮั่วกวงทำเรื่องราวเหล่านี้ คล้ายกับว่าน่าหัวเราะอย่างยิ่ง ประหนึ่งลงกระบี่กับกำแพง ท่องบทกวียาวเหยียดกับดวงดาวบนท้องฟ้า

เม็ดทรายปูอยู่บนพื้นดินสงบเงียบ

สีหน้าของฮั่วกวงเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น มองเขาพลางเอ่ยว่า “หากเจ้าไม่ชักกระบี่ วันนี้เจ้าก็จะไม่มีโอกาสแล้ว”

ขณะเอ่ยประโยคนี้ พลังปราณที่แข็งแกร่งและชัดเจนแผ่กระจายออกมาจากร่างกายของเขา

เฉินฉางเซิงมองเขาเงียบนิ่ง ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ห่างจากด้ามกระบี่สั้นอยู่ที่เอวใกล้ยิ่งนัก เพียงยื่นมือก็สามารถกุมได้

ท้ายที่สุด เขามิได้กุมด้ามกระบี่

เขาชักมือขวากลับ นิ้วทั้งห้ารวมกัน เปลี่ยนเป็นหมัด

“ดีมาก”

ฮั่วกวงมองการกระทำของเขา รู้สึกได้รับความอัปยศอดสูยิ่งนัก ไหล่ทั้งคู่ค่อยๆ ยกขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ

พลังปราณแท้บริสุทธิ์สูงสุดล้นออกมา ทะลุผ่านชุดนักบวชสีแดงเข้ม ทำให้มีลมอยู่ในหอชำระธุลี

สายลมเส้นนั้นหมุนรอบตัวของฮั่วกวงประหนึ่งฉากกั้น

เขาสะพายกระบี่ใหญ่ เขามิได้เอากระบี่ออกมา อีกทั้งยังเหมือนกับเฉินฉางเซิง กำหมัดแน่น จากนั้นทะลวงออกไป

เสียงโครมดังปะทุขึ้น

ฉากกำบังลมที่อยู่รอบตัวเขาชั่วพริบตาก็ปรากฏเป็นโพรงหลุมหนึ่ง มีสีฟ้าอ่อนมันวาวล้นออกมา พลังปราณแท้ก่อตัวขึ้นเป็นหมัด ทะยานบ้าระห่ำออกมาจากโพรง ทันใดนั้นก็ทะลุผ่านเป็นระยะสิบกว่าจั้ง มุ่งมายังด้านหน้าเฉินฉางเซิง สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงก็คือ ฉากลมนั้นมีพลังของหมัดก่อตัวรวมกันต่อเนื่อง จู่โจมมายังด้านหน้าของเฉินฉางเซิง!

พลังปราณแท้หลายสิบสายของหมัด เสมือนเป็นหมัดจริงๆ มาจากทุกสารทิศ ดุจสายลมสายฝนก็มิปาน!

กระจกใหญ่รูปทรงกลมสูงสิบกว่าจั้งในตำหนักประจักษ์อักษร นำภาพการต่อสู้ในหอชำระธุลีมาปรากฏด้านหน้าสายตาของผู้ยิ่งใหญ่ในตำหนัก

จากที่เฉินฉางเซิงกับฮั่วกวงเริ่มเดินเข้าไปในหอชำระธุลี ในห้องโถงพลันเงียบเชียบเป็นพิเศษ

ใต้เท้ามุขนายกมิได้นอนหลับอีกต่อไป จ้องมองเฉินฉางเซิงในกระจกเงียบนิ่ง ท่าทางมองไม่ออกว่ามีความมั่นใจเหมือนก่อนหน้านี้หรือไม่

จู่ๆ ภาพในกระจกก็ปรากฏแสงหลายสิบสาย

ถึงแม้มิได้อยู่ในสนามการต่อสู้ แต่มองเพียงภาพ ประหนึ่งรับรู้ได้ถึงพลังแฝงที่อยู่ในนั้น

เซวียสิ่งชวนร่างกายตั้งตรงเล็กน้อย เอ่ยด้วยความแปลกประหลาดใจ “หมัดทะลวงศึกรึ”

สำหรับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในหอประจักษ์อักษรเหล่านี้แล้ว ระดับฝีมือของขั้นถอดจิตที่แสดงออกมาจากฮั่วกวงบัณฑิตหนุ่มสำนักต้นไหวผู้นั้นไม่อาจทำให้พวกเขาตกตะลึงได้เป็นธรรมดา ทว่าคิดไปถึงอายุของฮั่วกวง คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฝึกฝนหมัดทะลวงศึกที่ฝึกฝนได้ยากเย็นที่สุดจนถึงระดับนี้ได้ จึงตกตะลึงเล็กน้อย

คนที่จะต้องรับหมัดทะลวงศึกหลายสิบหมัดนี้ก็คือ เฉินฉางเซิง

มีคนจำนวนมากในตำหนักประจักษ์อักษร เวลานี้ได้ประกาศว่าเขาถูกคัดออกในใจเงียบๆ แล้ว

ใต้เท้ามุขนายกหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาขุ่นมัวได้เปลี่ยนเป็นคมกริบอีกครั้ง

ท่าทางของม่ออวี่เฉยเมย มือวางไว้ที่พนักวางแขน ทว่าปลายนิ้วกลับขาวซีดเล็กน้อย

เฉินหลิวอ๋องมองนางปราดหนึ่ง ก่อเกิดความฉงนจำนวนมาก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset