ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 150 อาบโลหิต ชักกระบี่ มุ่งทะยาน หนวดเคราร่วงหล่น

สายลมเย็นสบายร่วงหล่นบนหน้าผา แล้วก็กระจายหายไป

นี่คือความรู้สึกที่หมัดทะลวงศึกร่วงมอบให้แก่ผู้คนเมื่อปะทะลงบนไหล่ของเฉินฉางเซิง

แน่นอนว่า ไม่อาจเป็นสายลมเย็นสบายจริงๆ ด้วยเหตุนี้ชุดสำนักของเขาที่ขาดกระจาย ร่างกายที่กลายเป็นเงาเลือนรางไม่สมบูรณ์ ถูกบีบบังคับให้หยุดอยู่ชั่วพริบตา

เป็นเพียงชั่วพริบตาเดียว

เท้าซ้ายของเขาเหยียบอยู่บนพื้น รองเท้าใหม่เอี่ยมแตกละเอียดอย่างมิต้องสงสัย พื้นที่แข็งแกร่งปรากฏเป็นรอยแตกอีกครั้ง

เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน หมัดทะลวงศึกหลายสิบหมัดยากจะแยกได้ว่าอันไหนก่อนหลังร่วงหล่นลงมายังร่างกายของเขาต่อเนื่อง ชุดสำนักได้รับความเสียหายรุนแรง ปลิวว่อนร่ายรำอยู่ในอากาศ ร่างกายภายนอกของเขาปรากฏเป็นรอยหมัดเด่นชัดหลายรอย ทว่ากลับไม่สามารถเข้าไปสู่ภายในได้

มองจากภาพในเวลานี้ เดิมทีไม่เหมือนหมัดทะลวงศึกร่วงหล่นบนร่างกายเขา กลับเป็นเขาที่ใช้ร่างกายปะทะกับหมัดที่ทรงพลัง

เสียงแผดร้องคำรามดังขึ้น เฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นรูปร่างเป็นไม่สมบูรณ์อีกครา เสียงนั้นทำให้รู้สึกเหมือนว่าหูจะแตก ปะทะเข้ากับหมัดทะลวงศึกสิบกว่าหมัดรวมตัวกันเป็นลมฝน แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

มีเพียงแค่เศษรองเท้าหลงเหลืออยู่บนพื้น ราวกับว่าเป็นลายที่เกิดบนก้อนหิน ชิ้นส่วนของชุดสำนักที่ฉีกขาด ปลิดปลิวเชื่องช้า ดุจสำลีที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

ในตำหนักประจักษ์อักษรจึงไม่อาจสงบเงียบได้อีกต่อไป มีเสียงเก้าอี้ขยับดังขึ้น

ม่ออวี่ยืนขึ้น จ้องเขม็งภาพที่อยู่บนกระจก ดวงตางดงามเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นตะลึง

เจ้าสำนักเด็ดดาราตกตะลึงไร้วาจา เจ้าสำนักหอจงซื่อที่อยู่ข้างกายเขาก็ยากจะระงับอารมณ์ได้ เปล่งเสียงตกใจออกมา

ท่าทางของสวีซื่อจียังคงเมินเฉยประหนึ่งก้อนหิน มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

มุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองท่านที่เพิ่งจะมาถึงตำหนักประจักษ์อักษร สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

ร่างกายของเซวียสิ่งชวนตั้งตรงอีกครา จ้องกระจกเขม็ง ท่าทางเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเป็นพิเศษ

ไม่ว่าจะชำระล้างกระดูกสมบูรณ์แบบอีกเพียงใด ต่างก็ไม่อาจทำให้ร่างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรมาถึงระดับนี้ได้ เกรงว่าแม้แต่เผ่ามารก็ไม่อาจทำได้

เพราะเหตุใดพลังการป้องกันของเฉินฉางเซิงถึงได้น่ากลัวถึงเพียงนี้ ถึงแม้เขาจะพบเจอกับสิ่งมหัศจรรย์ ถึงแม้เขานำสมุนไพรที่หายากล้ำค่าของสวนร้อยหญ้ามาปรุงเป็นยากิน ก็คงจะทำเช่นนี้ไม่ได้

ผู้คนที่อยู่ในตำหนักประจักษ์อักษรต่างก็พบเจอสิ่งต่างมากมายและมีความรู้กว้างไกล มุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็เป็นดังเช่นเหมยหลี่ซา ล้วนเป็นผู้นำหนึ่งในหกของนิกายหลวง แต่ว่าพวกเขากลับไม่เคยพบเห็นเรื่องราวเช่นนี้มาก่อน

ร่างกายของเฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วแข็งแกร่งจนยากจะจินตนาการได้ เดิมทีไร้หนทางที่จะเข้าใจ

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตกตะลึงยิ่งนัก

ถูกแล้ว การป้องกันของเฉินฉางเซิงแน่นอนว่าไม่สมบูรณ์แบบ เชื่อว่าไม่อาจต้านทานการโจมตีของศาสตราวิเศษหรือว่าอาวุธที่แหลมคมได้ แต่ว่าพลังพื้นฐานเช่นนี้แท้จริงแล้วเหลือเชื่อสักเล็กน้อย

เซวียสิ่งชวนคิดมากกว่านั้น ด้วยเหตุนี้ท่าทางของเขาจึงยิ่งหนักอึ้ง

เพราะว่าเขาคิดไปถึงชื่อที่ไม่เคยได้ยินเป็นเวลานานมาแล้ว

โจวตู๋ฟู

พันกว่าปีมาแล้ว เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของดินแดนต้าลู่

ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายเผ่ามารที่เคยกล่าวว่าจะควบคุมทั่วทั้งต้าลู่ ยังมีจักรพรรดิไท่จงที่ประหนึ่งพระอาทิตย์แยงตา ทางด้านวิทยายุทธ์ก็ไม่อาจเอ่ยเทียบได้

ถึงแม้จะเริ่มมองจากหนังสือสวรรค์ตกลงมายังโลกมนุษย์ โจวตู๋ฟูอย่างน้อยก็สามารถเข้าไปอยู่สามอันดับแรกได้

หลายปีก่อน ครั้นโจวตู๋ฟูยังเป็นหนุ่มน้อย พละกำลังไร้ผู้ใดทัดเทียม แต่เมื่อตอนนั้น เขามีชื่อเสียงโด่งดังในต้าลู่ เพราะว่าเขามีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งมากกว่าการชำระล้างกระดูกได้สมบูรณ์แบบ

ทุกคนต่างทราบดี นั่นเป็นเพราะเมื่อเขาเป็นทารก เพราะว่าโอกาสบางอย่าง จึงได้โลหิตมังกรล้างชำระร่างกาย

อย่างไรก็ตามต้าลู่สงบสุขมานานหลายปี เผ่ามังกรได้หายสาบสูญไป หลายร้อยปีผ่านมา แม้แต่มังกรก็ไม่เห็น แล้วเฉินฉางเซิงจะไปเอาโลหิตมังกรมาจากไหน

เซวียสิ่งชวนมิได้คิดต่อไป เพราะว่าการคาดเดานั้นจะยิ่งเหลือเชื่อมากกว่าระดับร่างกายที่แข็งแกร่งของเฉินฉางเซิงเสียอีก และก็เป็นเพราะว่ารูปภาพที่อยู่ในกระจกได้ดึงดูดสมาธิทั้งหมดของเขา จ้องมองเฉินฉางเซิงจู่โจมไปยังฮั่วกวงโดยตรงประหนึ่งเงา เขาเข้าใจแล้วว่าเมื่อแรกเริ่มเพราะเหตุใดเฉินฉางเซิงมิได้ขยับเขยื้อน

พละกำลังการป้องกันไม่ว่าจะแข็งแกร่ง ก็ไม่อาจทนรับการโจมตีที่ไม่อาจหยุดยั้งของหมัดทะลวงศึกได้ ถึงแม้เขาสามารถรับได้ ก็จะต้องได้รับบาดเจ็บ จนถึงขนาดว่าได้รับบาดเจ็บสาหัส เช่นนั้น ถึงแม้เขาจะเอาชนะฮั่วกวงได้ ก็ไร้หนทางที่จะชนะในการต่อสู้ครั้งต่อไปได้

ด้วยเหตุนี้เฉินฉางเซิงจึงรอคอย รอคอยให้หมัดทะลวงศึกของคู่ต่อสู้เตรียมพร้อม รอคอยให้ลมฝนผืนนั้นที่ปกคลุมรอบบริเวณหอชำระธุลีหดเล็กลงเหลือหนึ่งจั้ง มาอยู่รอบๆ ร่างกายตนเอง หลังจากหมัดทะลวงศึกรวมพลังแล้ว แน่นอนว่าพละกำลังจะยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง แต่เขาต้องการเพียงแค่ทะลวงหนึ่งชั้น ก็สามารถทะลวงได้ทั้งหมด เขาต้องการใช้ในหน่วยหนึ่งของเวลารับเอาจำนวนของหมัดทะลวงศึก มาช่วงชิงเวลา ด้วยเหตุนี้ในการต่อสู้จึงได้รับเพียงแค่ไม่กี่หมัด

ท่าทางของเซวียสิ่งชวนได้เปลี่ยนอีกครา ในใจครุ่นคิดนี่เป็นกลยุทธ์ที่มั่นใจระดับไหนกัน

เฉินฉางเซิงเป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในการสอบใหญ่ รวมถึงใต้เท้ามุขนายกที่อยู่ในกลุ่มผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากด้วย ล้วนแต่มีสายตาที่ให้ความสนใจเขาจำนวนมาก คนจำนวนมากนั้นดังเช่นม่ออวี่ ต่างคิดว่าล่วงรู้ฝีมือทั้งหมดของเขาหรืออาจจะกล่าวว่าท่าไม้ตาย แต่ในความเป็นจริงไม่มีผู้ใดว่าแท้จริงแล้วเขามีอะไร แม้แต่ใต้เท้ามุขนายก กระทั่งลั่วลั่วก็ไม่รู้

หมัดทะลวงศึกของฮั่วกวงบัณฑิตสำนักต้นไหวที่จริงแล้วน่ากลัวอย่างยิ่ง จังหวะที่ใช้ก็สมบูรณ์แบบอย่างยิ่ง

ถ้าหากเป็นภาพที่อยู่ในความทรงจำของผู้คน แม้ว่าจะใช้ช่วงเวลาการรอคอยที่นานที่สุดมาคำนวณพละกำลังที่แท้จริงของเขา เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและมีการเตรียมตัวเช่นนี้ คิดดูแล้วก็คงจะพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย ทว่าตอนนี้ผู้ใดล้วนแต่คาดไม่ถึง พละกำลังของเขาในขณะนี้ สิ่งที่เขาพานพบมาทั้งหมด ยังจะพิสดารมากกว่าที่ผู้คนได้จินตนาการไว้

ถึงขนาดว่าแม้แต่ตัวเขาเอง เวลานี้ก็ไม่ชัดเจนว่าที่จริงแล้วตนพานพบกับสิ่งใด ไม่รู้ว่าตนเคยอาบโลหิตมังกร จึงทำได้เพียงคาดเดาจากร่างกายที่เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด แต่เขารู้ว่าตนนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก

เขาเวลานี้ อย่างน้อยมีสี่วิธีที่จะสามารถฝ่าทะลวงหมัดทะลวงศึกที่คลุ้มคลั่งนี้ได้

เขาเลือกวิธีที่มองแล้วง่ายดายที่สุดและก็โง่เขลาที่สุด

เพราะว่าไม่มีผู้ใดคิดวิธีเช่นนี้ได้

ก็เหมือนกับการต่อสู้ของถังซานสือลิ่วกับเหลียงปั้นหู ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง คาดไม่ถึงว่าโก่วหานสือจะให้เหลียงปั้นหูต่อสู้โง่เง่าเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วจะคิดได้อย่างไรว่าเหลียงปั้นหูต่อสู้ออกไปอย่างโง่เง่าเช่นนั้น

เขาสามารถใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาหลบหลีกหมัดทะลวงศึกของคู่ต่อสู้ ใช่แล้ว ไม่ว่าหมัดทะลวงศึกจะเตรียมพลังพร้อมแล้ว เขาก็ยังคงหลบหลีกได้ เพราะว่าเขาเข้าใจย่างก้าวหยั่งเทวาที่ไม่อาจกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่เหมือนดังเช่นที่ผู้คนจินตนาการไว้ ย่างก้าวหยั่งเทวาที่ลั่วลั่วใช้ในการชุมนุมไม้เลื้อย ยิ่งเพิ่มความยากและเหนือชั้นกว่าที่ผู้คนคาดคิดไว้

แต่เขาไม่ได้ใช้

เขาสามารถชักกระบี่สั้นที่อยู่ข้างเอว ใช้กระบวนท่ายกบุษราครามในกระบวนท่าแรกของเพลงกระบี่ลมฝนจงซาน แล้วปะทะกับพลังหมัดที่อยู่เต็มท้องฟ้าโดยตรง

แต่เขาก็ไม่ได้ใช้

เพราะว่านี่เพิ่งจะเป็นรอบที่สองของการต่อสู้ในการสอบใหญ่ เขายังมิได้เจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจริงๆ เขาจึงไม่อาจนำวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดหรือไผ่ใบสุดท้ายแพร่งพรายออกมา

นักเรียนสำนักต้นไหวที่อยู่ตรงหน้านามว่าฮั่วกวง ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอให้เขาต้องใช้วิธีเหล่านั้น

ระยะเวลาเท่ากับการกลอกลูกตา หมัดทะลวงศึกก็ถูกทำลาย สถานการณ์พลันเปลี่ยนไปทันที

เฉินฉางเซิงประหนึ่งร่างเงาเลือนราง เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็มาถึงด้านหน้าฮั่วกวง

ฮั่วกวงตกตะลึงยิ่งนัก แต่ระดับวิทยายุทธ์ของเขาเหนือชั้นกว่าลูกศิษย์หุบเขาอำพัน บวกกับลูกศิษย์ของสำนักต้นไหวให้ความสำคัญในการรักษาจิตใจให้สงบสุขุม ประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ฉับพลัน ก็มิได้ลนลานไปเสียทั้งหมด จึงจู่โจมหนึ่งหมัดออกไป

เขาไม่ได้ชักกระบี่ขึ้นมา เพราะว่าเฉินฉางเซิงมารวดเร็วเหลือเกิน หมัดนี้เป็นหมัดถัดมาจากหมัดทะลวงศึกที่เขาออกไปก่อนหน้านี้ ความต่อเนื่องที่ออกไปเป็นธรรมชาติที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงรวดเร็วที่สุด

หมัดนี้ของเขาไม่ได้จู่โจมไปยังเฉินฉางเซิง แต่จู่โจมไปยังพื้นดิน อีกทั้งพลังหมัดวางเปล่าชัดเจนยิ่งนัก

ได้ยินเพียงแค่เสียงพรึ่บเบาๆ ทรายสีเหลืองที่อยู่ข้างหน้าเท้าของเขาปลิวว่อนกระจายขึ้น พลังหมัดเงียบสนิทลง

หยิบยืมพลังหมัดมาย้อนกลับให้สั่นสะเทือน เขาใช้ความรวดเร็วฉับพลันถอยไปข้างหลัง ชุดสำนักสีแดงเข้ม จึงเผยให้เห็นเงาร่างที่วิ่งไป มองออกว่าเท้าของเขารวดเร็วและแข็งแกร่งปานไหน

ขณะที่กำลังถอย มือขวาของเขายื่นไปข้างหลัง เตรียมที่จะชักกระบี่ออกมา

เขาสะพายกระบี่อยู่ข้างหลังไว้ตลอด

กระบี่เล่มนั้นใหญ่ยิ่งนัก รูปร่างแปลกประหลาดไปบ้าง ตรงกลางโค้งเว้าเข้าไป

กระบี่นี้มีชื่อว่าเจิ้งอี้ (สายสัมพันธ์) เป็นหนึ่งในกระบี่ลูกศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักต้นไหว แหลมคมยิ่งนัก ด้านในมีพลังแห่งจักรวาล ถึงแม้ไม่อาจจัดอยู่ในลำดับศาสตราวิเศษ แต่ก็เป็นสิ่งของวิเศษ

เขามั่นใจว่าเพียงแค่ควบคุมกระบี่อยู่ในมือ ไม่ว่าพลังการป้องกันของเฉินฉางเซิงจะน่ากลัวอย่างไร ก็มิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของตน

เขารู้สึกเสียใจ ก่อนหน้านี้ถ้าหากหลังจากเข้ามาในหอชำระธุลี เขาหยิบกระบี่เจิ้งอี้ออกมาตั้งแต่แรก มิได้สนใจความคิดของนักบวชผู้นั้น ก็คงจะไม่ต้องถอยประหนึ่งจนตรอกเช่นนี้หรอก

กระบี่เจิ้งอี้อยู่เบื้องหน้า มวลทูตผีแตกกระจาย เพียงแค่กระบวนท่าเดียว เขาก็สามารถทำให้เฉินฉางเซิงพ่ายแพ้ได้

เมื่อคิดมาถึงเรื่องเหล่านี้ มือขวาของเขากุมที่ด้ามกระบี่เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่ต้องการระยะเวลาสั้นๆ ก็สามารถชักกระบี่ออกมาจากฝักได้

การชักกระบี่ง่ายดายยิ่งนัก เขาฝึกฝนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ระยะเวลาที่ต้องการนั้นสั้นจนถึงขนาดว่ามิได้มีระยะเวลานั้นอยู่

ทว่าสุดท้ายแล้วเวลาคือการดำรงอยู่ที่เป็นนิจนิรันดร์ไม่อาจทำลายได้

ถึงแม้จะสั้น ท้ายที่สุดก็ยังต้องการช่วงเวลาหนึ่ง

นัยน์ตาของฮั่วกวงหดเล็กลงฉับพลัน

เฉินฉางเซิงไม่ได้ให้เวลานั้นแก่เขา

เมื่อฮั่วกวงอยู่ด้านนอกหอชำระธุลี ได้รับข้อมูลจากนักบวชพระราชวังหลี รู้ว่าการต่อสู้รอบแรกของเฉินฉางเซิงมีความเร็วจนทำให้คนตื่นตะลึง ในเรื่องนี้ เขาได้เตรียมใจไว้แล้ว สำหรับการจับเวลาในการต่อสู้รอบนี้ก็ได้พิจารณามาอย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตามเขาคิดไม่ถึง ระดับความเร็วของเฉินฉางเซิงที่เรียกว่าทำให้คนตื่นตะลึง สุดท้ายแล้ว…ทำให้ตกตะลึงถึงเพียงนี้!

เฉินฉางเซิงรวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนถึงขนาดว่ามือเขาเพิ่งแตะบนด้ามกระบี่ เขาก็มาถึงด้านหน้าแล้ว

กระบี่เจิ้งอี้ออกมาจากฝักได้เพียงแค่ครึ่งฉื่อ หมัดของเฉินฉางเซิงก็ห่างจากหน้าอกเพียงแค่ครึ่งฉื่อ

ฮั่วกวงทราบดีว่าไม่ทันแล้ว สีหน้าเปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที พลังปราณแท้บ้าระห่ำออกมา เปลี่ยนเป็นเสียงแผดคำรามออกมาจากริมฝีปาก!

เวลาเดียวกัน เท้าขวาของเขาค่อยๆ เหยียบลงบนพื้นเบาๆ

ใช่แล้ว มิได้เหยียบลงหนัก แต่เหยียบลงเบาๆ

ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ เท้าของเขายังคงอ่อนโยน ดุจเหยียบลงกลางหมู่มวลเมฆา

ก่อนหน้าหมัดของเขาจู่โจมบนพื้น ด้านหน้ามีทรายปลิวว่อนขึ้น มองแล้วประหนึ่งหมู่เมฆ

เท้าขวาของเขา ก็เหยียบลงมวลหมู่เมฆที่แฝงไปด้วยกลุ่มทรายเหล่านี้เบาๆ

อ่อนโยนยิ่ง อ่อนช้อยยิ่ง มหัศจรรย์ยิ่ง

เขาประหนึ่งกลายเป็นก้อนเมฆที่ล่องลอยไปข้างบน

“ขี่เมฆได้ยอดเยี่ยม!”

ในตำหนักประจักษ์อักษรมีเสียงเอ่ยชื่นชมออกมา

ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าหอจงซื่อหรือว่าผู้ใด เริ่มชื่นชมนักเรียนของสำนักต้นไหวก่อน คล้ายกับที่เฉินฉางเซิงเข้าร่วมการสอบใหญ่ และยังมีเรื่องการป่าวประกาศนั้น ต่างมอบแรงกดดันจำนวนมากให้กับคนเหล่านี้ ส่วนตัวแทนอาจารย์ของพรรคทางทิศใต้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้งสามท่าทางยังคงพึงพอใจ ลูบเครามิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

การกระทำของฮั่วกวงที่จริงแล้วคู่ควรให้ชื่นชม ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหนุ่มน้อยที่ยังไม่บรรลุขั้นทะลวงอเวจี คาดไม่ถึงว่าจะแสดงวิชาขี่เมฆของสำนักต้นไหวได้เลิศล้ำเช่นนี้ อยู่ในสถาการณ์ที่ตื่นเต้นเช่นนี้ ยังคงสามารถปล่อยพลังปราณที่ผ่อนคลายได้ ไม่เอ่ยไม่ได้ว่า การอบรมลูกศิษย์ของสำนักต้นไหว แท้จริงแล้วยอดเยี่ยมจริงๆ

สิ่งสำคัญก็คือ กระบวนท่าขี่เมฆนี้ สำหรับการต่อสู้สนามนี้ สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางที่ยิ่งใหญ่ได้

เฉินฉางเซิงรวดเร็วยิ่งนัก ดังนั้นไม่อาจหยุด หมัดของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดังนั้นไม่อาจโค้งได้

สิ่งที่ตรงไปตรงมา หากต้องการเปลี่ยนแปลงทิศทางอย่างฉับพลัน ความรวดเร็วยิ่งมาก ก็ต้องการกำลังที่มาก หรืออาจจะกล่าวว่าต้องการวิชาการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ในระดับสูง

วิชาเช่นนั้นยากที่จะพบเห็นได้ยิ่ง สำนักที่พบเห็นได้ในดินแดนต้าลู่ไม่เกินสามแห่ง

ในจิงตู ไม่มีสำนักไหนที่มีวิชาเช่นนี้ ในดินแดนจักรพรรดิขาวก็มิได้มีกระบวนท่าชนิดนี้

เฉินฉางเซิงถึงแม้อยากจะร่ำเรียนก็ไม่รู้ว่าจะไปร่ำเรียนที่ไหน

ด้วยเหตุนี้หมัดของเขาจึงตีออกไปว่างเปล่า

ซ้ำฮั่วกวงยังได้ขี่เมฆบินขึ้นไป

พลังสูงต่ำระหว่างคนทั้งสอง ฮั่วกวงถือกระบี่เจิ้งอี้อยู่ในมือ

การต่อสู้แพ้ชนะในสนามนี้ หรือว่าจะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้

แต่ว่าในเวลาต่อมา สิ้นไม่กี่ประโยคของตัวแทนนิกายหนานฟาง มือของพวกเขาก็แข็งทื่อฉับพลัน

ผู้อาวุโสในนั้นจนถึงขนาดว่าเคราสีขาวร่วงหล่นลงมา

ในตำหนักประจักษ์อักษร ตื่นตะลึงเสียงดังอื้ออึง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset