ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 158 ดาวโดดเดี่ยวที่ท้องฟ้าหวาดกลัว

ตำหนักฝึกฝนเป็นโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราช ในโลกใบนี้ก็คงจะมีกลางวันกลางคืน แต่พอถึงการสอบใหญ่กลับมองไม่เห็นกลางวันกลางคืน พวกผู้เข้าสอบจึงทำได้เพียงแค่ใช้ความรู้สึกคาดเดาว่าบนโลกแท้จริงแล้วเป็นเวลากี่ยาม พวกเขาไม่รู้ว่าตอนนี้ด้านนอกเป็นเวลากลางดึกแล้ว แต่ความเหนื่อยล้ากับความง่วงนอนก็มาตามเวลาปกติ

ก่อนการต่อสู้รอบที่ห้าของการสอบใหญ่ก็คือการแข่งขันเพิ่มเติม จากลำดับที่สามสิบสามจนถึงลำดับที่หกสิบสี่ นอกจากเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับผู้เข้าสอบที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่อาจเข้าร่วมการสอบได้อีก ผู้เข้าสอบที่เหลือยี่สิบกว่าคนยังจะต้องพยายามในการสอบใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย เพียงแค่ก่อนหน้านี้เป็นการพักผ่อนชั่วคราวแค่นั้นเอง

เหล่านักบวชพระราชวังหลีได้แจกจ่ายอาหาร น้ำดื่มและยาให้แก่พวกผู้เข้าสอบ สำนักฝึกหลวงมีลั่วลั่วเป็นผู้จัดการ เป็นธรรมดาที่จะยิ่งสมบูรณ์พร้อม คนทั้งสี่นั่งอยู่ข้างชายป่า ทั้งรับประทานอาหาร ทั้งคุยเสียงเบาเกี่ยวกับเรื่องการสอบใหญ่ต่อจากนี้ ถังซานสือลิ่วกับเซวียนหยวนผ้อเป็นการแข่งขันเพิ่มเติมจึงมิได้เอ่ยอะไร สิ่งสำคัญก็คือวิเคราะห์คู่ต่อสู้ให้แก่เฉินฉางเซิง

การแสดงออกของโก่วหานสือราบเรียบ ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกยากที่จะเอาชนะได้ นอกจากเขา ยังมีหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่เป็นคู่ต่อสู้อันตรายที่สุดอย่างมิต้องสงสัย ถึงแม้เขาจะต่อสู้กับกวนเฟยไป๋และชีเจียนต่อเนื่องกัน สูญเสียพละกำลังไปมาก ยังได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทว่าก็ยังไม่อาจประมาทได้

เฉินฉางเซิงอยากจะเอาอันดับแรกประกาศแรก คนทั้งสองนี่ยิ่งเป็นยอดเขาสูงที่เขาจะต้องพิชิตให้ได้

คิดมาถึงตรงนี้ ถังซานสือลิ่วจู่ๆ ก็มิได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เพราะไม่ว่ามองอย่างไร เฉินฉางเซิงก็ไม่อาจเอาชนะคนทั้งสองได้

เขามองไปยังริมคลอง อยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “พวกเจ้าไม่รู้สึกว่าคนทั้งสี่ของเขาหลีซานกับพวกเราทั้งสี่เหมือนกันมากไหม”

คนทั้งสี่ของพรรคกระบี่เขาหลีซานรับประทานอาหารและคุยเรื่อยเปื่อย บรรยากาศเหมือนกับว่าไม่เลวนัก

คนที่อยู่ห่างออกจากกลุ่มไปไกล เจ๋อซิ่วก็กำลังรับประทานอาหาร

เวลาที่เขารับประทานอาหารเงียบนิ่ง การเคลื่อนไหวเชื่องช้า ประหนึ่งตั้งใจอย่างยิ่ง ราวกับว่าอาหารที่พระราชวังหลีมอบให้เป็นอาหารชั้นดีเลิศรสที่สุดในโลก

ถังซานสือลิ่วมองไปทางนั้น เอ่ยเยาะหยันออกมา “ข้านึกว่าเจ้าลูกสุนัขป่าคนนั้นจะไม่กินข้าวเสียอีก”

เซวียนหยวนผ้อไม่เข้า จึงถามออกไป “จะไม่กินข้าวได้อย่างไร”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “ข้าคิดว่าเขากินหิมะ เคี้ยวเนื้อแห้ง หรือว่าดื่มโลหิตสดๆ อะไรทำนองนั้น”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “นั่นเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว”

ถังซานสือลิ่วกล่าวถามอย่างจริงจัง “หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาด”

เซวียนหยวนผ้อ ส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่ายังดี”

ถังซานสือลิ่วขี้เกียจจะสนใจเขา หันหน้าไปถาม “เฉินฉางเซิง เจ้าคงสู้เขาไม่ได้”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงตอบว่า “ก็อาจจะ”

ถังซานสือลิ่วมองเจ๋อซิ่วที่อยู่ไกลออกไป จู่ๆ จึงเอ่ยว่า “ข้าอยู่ๆ ก็มีเรื่องตื่นเต้น”

เฉินฉางเซิงถามด้วยความแปลกใจ “ตื่นเต้นอะไร”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยตอบ “เรื่องตื่นเต้นที่จะเป็นสหายกับลูกสุนัขป่าคนนี้”

เฉินฉางเซิงจ้องเขม็งเขาเป็นเวลานาน มั่นใจว่าเขาจริงจัง ตกตะลึงยิ่งนัก หลังจากครุ่นคิดจึงเอ่ยถาม “เจ้ามองเขาเหมือนว่าต้องการสหายรึ”

ก่อนการสอบใหญ่จะเริ่มขึ้น ด้านนอกพระราชวังหลีมีผู้คนมากมายประหนึ่งเทือกเขามหาสมุทร เจ๋อซิ่วมองพระอาทิตย์เพียงลำพัง เข้าไปในตำหนักประจักษ์อักษร เขาออกมาจากสนามการสอบความรู้ เดินผ่านป่ากว้างเพียงคนเดียว จากนั้นลอยข้ามลำคลอง ยืนอยู่ที่ศาลาบนเทือกเขา หันหลังให้กับผู้เข้าสอบทั้งหมด โดดเดี่ยวดุจไร้มารดาก็มิปาน คนเช่นนี้จะต้องการสหายรึ

“หรือพวกเจ้าไม่รู้สึกว่าเขาโดดเดี่ยว” ถังซานสือลิ่วจ้องมองพวกเขาเอ่ยออกมา

เขาเอ่ยว่าโดดเดี่ยว มิได้หมายถึงอยู่ลำพังหรือว่าโดดเดี่ยว แต่หมายถึงเดียวดาย ดังนั้นจึงยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นไปอีก

เฉินฉางเซิงชะงักงัน เอ่ยว่า “ผู้ใดต่างก็มองออก ด้วยเหตุนี้ข้าคิดว่าเขาไม่ต้องการสหาย”

ถังซานสือลิ่วโบกมือพัลวัน พลางตอบเขา “ความคิดเห็นข้ากับเจ้าต่างกันสิ้นเชิง ข้าคิดว่าคนที่โดดเดี่ยวดังเช่นเขา สิ่งที่ต้องการที่สุดก็คือสหาย”

เซวียนหยวนผ้ออยู่ข้างๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกประหลาดใจ “เจ้าอยากจะเป็นสหายกับเจ๋อซิ่วรึ”

“ไม่ได้หรือไร” ถังซานสือลิ่วย้อนถามกลับ

สายตาของเฉินฉางเซิงทอดมองออกไปยังด้านนอกกลุ่มฝูงชน จ้องมองหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่ก้มศีรษะกินข้าวเงียบงัน หลังจากเงียบนิ่งไปชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าเจ้าไม่ชื่นชอบคนดังเช่นเขาเสียอีก”

สายตาของถังซานสือลิ่วทอดมองตามเขา และก็ร่วงอยู่ที่เจ๋อซิ่ว พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว เลียนแบบความโดดเดี่ยว สวมรอยเรื่องความสิ้นหวัง ข้าเมื่อก่อนทำบ่อยๆ…พวกเจ้าก็รู้ดี ข้าเกลียดชังตนเองเช่นนั้นยิ่งนัก เป็นธรรมดาที่จะไม่ชอบเขาที่เป็นเช่นนี้”

เฉินฉางเซิงชักสายตากลับ มองไปยังเขาเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้ายังอยากจะเป็นสหายกับเขาอีกหรือ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ถ้าหากเขากลายเป็นสหายของพวกเรา ยังกล้าลงมือรุนแรงกับเจ้าและองค์หญิงลั่วลั่วอีกรึ”

เซวียนหยวนผ้อไม่อาจทนได้จึงโพล่งออกไป “บรรดาผู้อาวุโสในเผ่าพันธุ์ข้าว่าไว้ไม่ผิด เผ่ามนุษย์…ที่จริงก็เป็นคนเลว”

“ไม่ใช่เผ่ามนุษย์” เฉินฉางเซิงกล่าวแก้ไข “แต่เป็นเผ่ามนุษย์ที่มีนามว่าถังถังผู้เดียว”

ถังซานสือลิ่วขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา ยืดตัวขึ้น ปัดเศษหญ้าที่ติดก้นออก พลางเอ่ยว่า “เพียงแค่ลองก็ไม่ได้ผิดอะไร เขาก็คงจะไม่สังหารข้าต่อหน้าคนจำนวนมากมายเช่นนี้”

ลั่วลั่วที่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมาตลอด จนกระทั่งถึงเวลานี้เพิ่งจะเอ่ยขึ้นมา “อาจารย์กล่าวมาไม่ผิด คนที่โดดเดี่ยวไม่แน่นอนว่าจะต้องการสหาย อย่างน้อย…วั่วฟูเจ๋อซิ่วก็คงไม่เป็นคนเช่นนั้น”

เฉินฉางเซิงมองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

ถังซานสือลิ่วออกมาจากที่นั่งหยิบไก่ย่างที่ไม่ค่อยได้กินมาครึ่งหนึ่ง หยิบกระดาษน้ำมันห่อลวกๆ เดินออกไปยังด้านนอกกลุ่มฝูงชน

การสนทนาของคนสำนักฝึกหลวง มิได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คน แต่ว่าเวลานี้อยู่ๆ เขาก็ออกจากข้างป่าไป อีกทั้งมองจากทิศทาง คงไปมุ่งไปยังวั่วฟูเจ๋อซิ่วทางนั้น เพียงชั่วพริบตาก็ดึงดูดสายตาของทุกคน บรรดาผู้เข้าสอบตกตะลึงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าเขาอยากจะทำอะไร พวกนักเรียนสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้ากับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์บนใบหน้ามีริ้วรอยของความกังวลใจปรากฏอยู่

สำหรับพวกนักเรียนสตรีเหล่านี้แล้ว ไม่ว่าถังซานสือลิ่วจะพูดจาโหดร้าย กระทำการหยิ่งลำพอง ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นคุณหนูตระกูลร่ำรวยสูงส่ง ไม่ว่าเจ๋อซิ่วจะเงียบนิ่งอย่างไร ทำคุณงามความดีให้แก่เผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจมากมายเพียงใด สุดท้ายแล้วก็เป็นสัตว์ประหลาดเลือดเย็นที่มือทั้งสองเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต เวลานี้เขามุ่งไปยังเจ๋อซิ่ว เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะกังวลใจ

โลกที่มองเพียงแค่ใบหน้านี้ แท้จริงแล้วไม่ยุติธรรมเสียเท่าไหร่

คนทั้งสี่ของพรรคกระบี่หลีซานที่กำลังกินข้าวคุยสัพเพเหระกันอยู่ ตกตะลึงยิ่งนัก กวนเฟยไป๋จ้องถังซานสือลิ่ว รู้สึกแปลกประหลาดจึงเอ่ยออกมา “เจ้าเด็กคนนี้เตรียมจะทำอะไรบ้าๆ อีกแล้วรึ”

ในการชุมนุมไม้เลื้อย ถังซานสือลิ่วด่าทอหลีซานไว้เจ็บแสบ เขามิได้มีความรู้สึกดีต่อคนผู้นี้ ชีเจียนมองไปยังหนุ่มน้อยเผ่าสุนัขป่าที่อยู่ด้านนอกฝูงชน ปีกจมูกขยับเล็กน้อย ลมหายใจเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น คล้ายกับว่าโกรธจัด โก่วหานสือรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดว่าก่อนหน้านี้ที่ศิษย์น้องกับเจ๋อซิ่วปะทะกันแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายจึงทำให้เขาโกรธเคืองเช่นนี้เล่า

ด้านหน้าหอชำระธุลีมีแผ่นหินขนาดใหญ่ มีป่าไม้แน่นขนัดอุดมสมบูรณ์ ยังมีเสียงน้ำไหลจ๊อกๆ ของลำคลองสายเล็ก พื้นที่ที่เจ๋อซิ่วนั่งไม่มีอะไรทั้งสิ้น มีเพียงแค่หินผาที่ราบเรียบก้อนหนึ่ง

ถังซานสือลิ่วเดินไปยังด้านหน้าหินผาก้อนนั้น มองท่านั่งคุกเข่าที่แปลกประหลาด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเจ๋อซิ่วที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น อยู่ๆ ก็รู้สึกลังเล

เจ๋อซิ่วมิได้สนใจเขา กินข้าวเงียบๆ

ถังซานสือลิ่วมองเขาเงียบๆ หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง จู่ๆ เขาก็เอ่ยออกมา “ถ้าหากเป็นคนอื่นที่สังเกตเห็นการกินอาหารของเจ้า จะต้องคิดว่าเจ้าน่ากลัวมากเป็นแน่”

เจ๋อซิ่วดื่มน้ำผลไม้ที่พระราชวังหลีมอบให้ จากนั้นแหงนหน้าขึ้น มองไปทางเขา

ตั้งแต่การสอบใหญ่เริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ ถังซานสือลิ่วเป็นคนแรกที่เป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเขาก่อน

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขา เอ่ยว่า “ความเร็วในการกินอาหารของเจ้าเชื่องช้า ช่างไม่ยิ่งใหญ่ เหมือนหญิงสาวที่อยู่ในห้องนอน เมื่อเจ้าเคี้ยวตั้งใจยิ่ง เคี้ยวข้าวยี่สิบที เคี้ยวเนื้อประมาณสามสิบที…นี่ไม่น่าสนใจ เพียงแค่พิสูจน์ได้ว่าเจ้าช่างมีกฎเกณฑ์ของตนเอง หากจะเปลี่ยนประโยคพูด เจ้าเคร่งครัดต่อตนเองยิ่งนัก”

เจ๋อซิ่วมองเขาเงียบนิ่ง ในดวงตามิได้มีความรู้สึกใดๆ ทว่าไม่ได้ก้มหน้ากินอาหารต่อ สิ้นสุดบทสนทนาที่มีถังซานสือลิ่วเป็นฝ่ายพูดแต่ฝ่ายเดียว

“หรืออาจจะเป็นเพราะอาหารของดินแดนหิมะมีน้อยเกินไป อาจจะเป็นเพราะที่นั่นขาดแคลนแพทย์และยา ยิ่งไม่มีนักบวชสตรีของสำนักสิบสามชิงเหย้ารักษาอาการบาดเจ็บให้ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงมีชีวิตยากลำบากยิ่งนัก เจ้าทะนุถนอมเพื่อที่จะได้รับอาหารทั้งหมด กลับไม่อาจกินได้อย่างอิ่มหนำสำราญ อีกทั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาทางกายภาพที่ปรากฏออกมา อยู่ในดินแดนบ้าบอเช่นนั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เจ็บท้องธรรมดา ก็อาจทำให้เจ็บแทบตาย”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าช่างน่ากลัว เพราะว่าข้าเคยพบเห็นคนที่เป็นเช่นเจ้า เจ้าเด็กคนนั้นก็ระมัดระวังในการใช้ชีวิตทุกกระเบียดนิ้ว ปกติข้ามักจะคิดว่า คนที่เป็นดังพวกเจ้า คนที่กลัวความตายดังเช่นพวกเจ้า ก็ควรจะรู้จักกันจริงๆ เสียหน่อย”

ธรรมดาคนที่เขากล่าวถึงคือเฉินฉางเซิง

เจ๋อซิ่วมองตามนิ้วของเขาไปยังข้างป่า หลังจากเงียบนิ่งไปชั่วครู่จึงก้มหน้ากินอาหารต่อ ไม่ได้สนใจเขาอีก

ถังซานสือลิ่วนำห่อกระดาษวางไว้ข้างหน้าเขาแล้วแกะออก เอ่ยถาม “เจ้าต้องการสหายหรือไม่”

ห่อกระดาษน้ำมันข้างในมีไก่ย่างอยู่ครึ่งหนึ่ง ไก่ครึ่งตัวมีเพียงแค่ขาครึ่งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ถูกเฉินฉางเซิงคีบให้ลั่วลั่ว จึงเว้าแหว่งไป อีกทั้งเมื่อวาง ไก่ย่างก็เย็นแล้ว น้ำมันของไก่ได้เกาะตัวอยู่ผิวด้านนอก มองแล้วช่างไม่ดีจริงๆ ปัญหาสำคัญอยู่ที่ ไก่ย่างมิใช่อาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอะไร

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากได้เห็นไก่ย่าง เจ๋อซิ่วคาดไม่ถึงว่าจะเริ่มพูดออกมา

ตั้งแต่การสอบใหญ่เริ่มต้น เขาพูดเพียงแค่สองประโยค อีกทั้งคนจำนวนมากยังไม่ได้ยิน ไร้ผู้คนล่วงรู้ว่าน้ำเสียงเขาเป็นอย่างไร จนกระทั่งเวลานี้ ถังซานสือลิ่วเพิ่งจะรู้ว่าน้ำเสียงของเขาไม่ได้แหบแห้งไม่น่าฟัง ไม่เหมือนกับเสียงเห่าของสุนัขป่าที่เล่าขานกันมาแม้แต่น้อย

เสียงของเจ๋อซิ่วใสกังวาน พูดเชื่องช้ายิ่ง คำแต่ละคำเว้นกันยาวเล็กน้อย ราวกับเป็นเด็กเยาว์วัยที่เพิ่งหัดพูด หรืออาจจะเหมือนคนใบ้ที่จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาได้

เขาจ้องมองใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของถังซานสือลิ่ว กล่าวออกมาเชื่องช้าอย่างยิ่ง “โชคชะตาข้าได้ล่วงเกินดาวโดดเดี่ยวที่ท้องฟ้าต่างหวาดกลัว จึงถูกลิขิตให้เดียวดายมาแต่กำเนิด ด้วยเหตุนี้ ข้าไร้สหาย”

บนท้องฟ้ามีดวงดาวจำนวนไม่ถ้วน อาจจะมีดวงดาวที่ห่างจากมหาสมุทรดวงดาว อยู่ในมุมแห่งนั้นถูกมองข้ามได้ง่ายดายยิ่งนัก จึงโดดเดี่ยวยิ่ง

หรือว่าดาวดวงนั้นจะมีชื่อจริงว่าเทียนซา (แปลว่าท้องฟ้าต่างหวาดกลัว)

หรือว่าดาวโชคชะตาที่เจ๋อซิ่วจุด เป็นดาวโดดเดี่ยวที่ท้องฟ้าต่างหวาดกลัวนั่น

แต่ไม่ว่าเรื่องเหล่านี้จะจริงหรือไม่ ความเยือกเย็นที่แฝงในน้ำเสียงของเขาชัดเจนยิ่งนัก เขาไม่ต้องการสหาย เขาปรารถนาจะปฏิเสธจากผู้คนไกลพันลี้

หากเป็นคนทั่วไป เวลานี้เมื่อล่วงรู้ว่ายากยิ่งก็คงจะล่าถอยออกไป

แต่ถังถังมิใช่คนทั่วไป เขาเป็นนักพูด

เมื่อรู้จักกับเฉินฉางเซิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเข้ามาในสำนักฝึกหลวงอย่างเป็นทางการแล้ว อุปนิสัยที่ซุกซ่อนชนิดนี้ของเขาก็ถูกปลดปล่อยออกมา

“ไร้สหาย ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการสหาย เจ้ามองข้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

เขามองเจ๋อซิ่ว กล่าวด้วยความจริงใจ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset