ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 159 อย่างนี้แล้วกัน

ถึงแม้เจ๋อซิ่วจะเป็นผู้มีดาวโดดเดี่ยวที่ท้องฟ้าหวาดกลัว ต่างก็ถูกความจริงใจของถังซานสือลิ่วทำให้ตกตะลึง

เขามองไปยังถังซานสือลิ่ว อยากจะเอ่ยสิ่งใดบางอย่าง สุดท้ายแล้วก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่ดวงตาของเขากลับทำให้ถังซานสือลิ่วรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง เพราะว่าที่ผ่านมาเมื่อเขามองจวงห้วนอวี่หรือว่าสหายในสำนักดวงตาก็จะเป็นเช่นนี้ เขารู้ดีว่า ดวงตาเช่นนี้ใช้เพื่อมองดวงตาที่โง่เขลา

“ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าไม่ไหวละก็ เฉินฉางเซิงเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เจ้าเด็กคนนี้กับเจ้าคล้ายคลึงกัน กลัวตายเหมือนกัน จู้จี้ในเรื่องกินยิ่ง เจ้าเคี้ยวข้าวยี่สิบทีใช่หรือไม่ อืม เขาก็เคี้ยวยี่สิบที อยู่กลางมหาสมุทรที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สามารถเจอคนประเภทเดียวกันได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย หรือไม่ควรรักษาไว้เล่า”

ถังซานสือลิ่วทำท่าทำทาง พูดอย่างอดทน

เจ๋อซิ่วยังคงมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงกินอาหารที่พระราชวังหลีมอบให้

เขาเริ่มเบื่อ ชี้ไปยังหนุ่มน้อยเผ่าปีศาจร่างกายสูงใหญ่ประหนึ่งเทือกเขาเล็กๆ ข้างชายป่า พลางเอ่ยออกมา “ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อใจเผ่ามนุษย์ ข้าจะแนะนำเซวียนหยวนผ้อ เป็นผู้ซื่อตรงจริงใจ อันดับหนึ่งในใต้หล้า!”

เจ๋อซิ่วยังคงไม่สนใจเขา

“นี่เจ้ากำลังบีบบังคับข้าให้ใช้อาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดรึ”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “ดี! ชื่อเสียงของเจ้าก็เลื่องลือ ให้องค์หญิงลั่วลั่วเป็นสหายกับเจ้าก็นับว่าคู่ควร! เป็นอย่างไร ข้าคิดว่าเจ้าเลือกอย่างไรก็คงจะหาสหายที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้ากับนางเป็นปีศาจเช่นเดียวกัน ไม่ๆ เผ่าปีศาจ มีร่างกายและปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน หลังจากเป็นสหายกันแล้ว ไม่ต้องเอ่ยว่าจะได้รับสิ่งที่ดีจากองค์หญิงเท่าไหร่ อย่างน้อยเมื่อเจอกับปัญหาก็สามารถปรึกษากันได้มิใช่หรือ”

เวลานี้เขายังจะมีท่าทางของคุณชายน้อยแห่งเวิ่นสุ่ย ทั้งหมดเป็นดังพ่อค้าที่กำลังขายสินค้า

เจ๋อซิ่วหลังจากได้ยินชื่อขององค์หญิงลั่วลั่ว จึงแหงนหน้าขึ้นมาอีกครา มองไปยังข้างราวป่า ความรู้สึกในสายตาสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เมื่อตอนที่ถังซานสือลิ่วคิดว่าเรื่องกำลังดำเนินไปได้ดี เจ๋อซิ่วก็เอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้า “ข้าไม่ต้องการสหาย เป็นผู้โดดเดี่ยวถึงจะแข็งแกร่ง”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ถังซานสือลิ่วมิได้โมโห กลับกันยังคงสงบนิ่ง เปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึมขึ้นมา

เขาจ้องเขม็งดวงตาเจ๋อซิ่ว เอ่ยว่า “สุนัขป่า เดิมทีมิได้เป็นดังที่ผู้คนคาดคิดว่าโดดเดี่ยว”

เจ๋อซิ่วชักสายตามามองเขา แววตาคมปลาบ

ถังซานสือลิ่วสงบนิ่งเอ่ยต่อ “เหตุที่เจ้าโดดเดี่ยว นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ได้รับการยอมรับจากเผ่าพันธุ์ของเจ้า”

สายตาของเจ๋อซิ่วเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นฉับพลัน ราวกับว่ามีดนั้นมีน้ำแข็งเกาะอยู่

ถังซานสือลิ่วแสร้งทำมองไม่เห็น เอ่ยต่อ “แต่ไหนแต่ไรเผ่าสุนัขป่าสู้รบเป็นกลุ่มมาตลอดมิใช่รึ หลังจากล่วงรู้ว่าเป็นเจ้า มีผู้เข้าสอบจำนวนมากที่คาดเดาไปต่างๆ นานาว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงออกมาจากที่ราบหิมะ เดินทางไกลหมื่นลี้เพื่อเข้าร่วมการสอบใหญ่ในจิงตู เฉินฉางเซิงคิดว่าเจ้าไม่ยินยอมที่ถูกองค์หญิงลั่วลั่วเบียดมาอยู่อันดับสองของประกาศชิงอวิ๋น ด้วยเหตุนี้จึงจะเอาชนะองค์หญิงลั่วลั่วในการสอบใหญ่เพื่อเป็นการพิสูจน์”

ได้ยินประโยคนี้ เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับว่าคิดไม่ถึงที่สำนักฝึกหลวงระแวงตนเช่นนี้

ถังซานสือลิ่วจึงเอ่ยต่อ “ซูม่ออวี๋ก่อนที่จะถูกเจ้าโจมตีจนได้รับบาดเจ็บก็เคยบอกไว้ เขาคิดว่าเจ้าเป็นพวกชื่นชอบการต่อสู้ และการต่อสู้ในการสอบใหญ่จึงเป็นการมอบโอกาสนี้ให้แก่เจ้า”

เจ๋อซิ่วมองเขา พลางเอ่ยถาม “แล้วเจ้า…คิดว่าอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วกล่าวตอบ “ความกังวลของเฉินฉางเซิงมีเหตุผลเป็นแน่ แต่ยังไม่เพียงพอ มิใช่ว่าสองปีมานี้เจ้าไปก่อกวนสวีโหย่วหรงที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หรอกนะ”

เจ๋อซิ่วส่ายศีรษะเอ่ยว่า “ข้าสู้นางไม่ได้”

ถังซานสือลิ่วตะลึงงัน มิได้สานต่อปัญหานั้นต่อ กล่าวต่อว่า “ข้าก็มิได้คิดว่าการคาดเดาของซูม่ออวี๋ถูกต้อง ถึงแม้เจ้าจะชื่นชอบการต่อสู้ อยากจะพัฒนาตนเอง ก็คงจะแยกแยะออกว่าเป็นการต่อสู้แห่งความเป็นความตาย การสอบใหญ่ในสายตาของเจ้า ก็คงไม่แตกต่างจากการละเล่นอย่างหนึ่ง แล้วจะดึงดูดความสนใจจากเจ้าได้สักเท่าใดกันเล่า”

เจ๋อซิ่วใช้ความเงียบเพื่อแสดงว่าเห็นด้วย

“เช่นนั้นสุดท้ายแล้วเจ้าต้องการสิ่งใด เพราะเหตุใดเจ้าถึงมาเข้าร่วมการสอบใหญ่เล่า”

ถังซานสือลิ่วมองเขาเอ่ยต่อ “บอกมาเถอะ ไม่แน่ข้าอาจจะทำให้เจ้าสมปรารถนาได้”

“ข้า…ไม่ต้องการสหาย”

น้ำเสียงของเจ๋อซิ่วยังคงเนิบนาบ ฟังแล้วทำให้รู้สึกเจ็บปวด ดวงตาของเขาจ้องมองถังซานสือลิ่ว พลางเปล่งออกมาทีละคำ “ข้าต้องการ…เงิน”

เงียบสงัด สายลมพัดขอบกระดาษน้ำมันเล็กน้อย ก่อให้เกิดเสียงดังพรึ่บๆ รสชาติมันเลี่ยนของไก่ย่างถูกลมพัดจนจืดชืดไปบ้างแล้ว

เป็นเวลายาวนานที่ถังซานสือลิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าเขาตกตะลึงยิ่งนัก

เขาออกมาจากข้างราวป่าเพื่อมาสนทนากับเจ๋อซิ่ว แน่นอนว่าได้เตรียมตัวแล้วเต็มที่ ไม่ว่าเจ๋อซิ่วจะต้องการสิ่งใด จะเป็นสิ่งที่แปลกพิสดารอย่างไร เขาต่างไม่คิดว่าเหนือความคาดหมาย อีกทั้งยังเต็มใจที่จะทำ เฉินฉางเซิงต้องการประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่ ต้องการความช่วยเหลือจากเจ๋อซิ่ว ด้วยเหตุนี้สำนักฝึกหลวงจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงใดก็นับว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

แต่เขาคิดไม่ถึง เจ๋อซิ่วต้องการเงิน

ในบรรดาคนวัยเยาว์ของทั่วทั้งต้าลู่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๋อซิ่วเป็นหนุ่มน้อยที่โดดเดี่ยวหยิ่งทระนง สิ่งที่ต้องการกลับเป็นสิ่งของธรรมดาที่สุดบนโลกใบนี้

ถังซานสือลิ่วใช้เวลานานกว่าจะแน่ใจว่าเจ๋อซิ่วมิได้พูดเล่น เอ่ยมาจากใจจริง ดังนั้นจึงยิ่งตกตะลึง

“เงินรึ”

“ใช่แล้ว ข้าต้องการเงิน เงินจำนวนมาก”

“เพราะอะไร”

เจ๋อซิ่วมิได้ตอบ

สายลมบางเบาพัดกระดาษน้ำมัน ไก่ย่างเย็นลงเล็กน้อย

ถังซานสือลิ่วสงบนิ่งลง จ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “ข้ามีเงินมากมาย”

เจ๋อซิ่วตอบ “ข้ารู้”

ถังซานเอ่ยถาม “เท่าไหร่”

เจ๋อซิ่วกล่าวตอบ “ดูสถานการณ์”

ถังซานสือลิ่วหลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยว่า “ตกลงตามนี้”

เจ๋อซิ่วจ้องมองไปทางเขา ท่าทางเมินเฉย “ข้ายังต้องการของบางอย่าง หวังว่าพวกเจ้าจะให้ได้”

ถังซานสือลิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามออกไป “พวกข้ามีของนั้นรึ”

เจ๋อซิ่วเอ่ยตอบ “มี”

ถังซานสือลิ่วจ้องเขม็งดวงตาของเขา กล่าวถาม “เดิมที…จุดประสงค์ที่เจ้าเข้าร่วมการสอบใหญ่ ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ ก็คือสำนักฝึกหลวงรึ”

เจ๋อซิ่วเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว”

ถังซานสือลิ่วถามต่อ “เป็นองค์หญิงหรือว่าเป็นใคร”

เจ๋อซิ่วตอบ “มิใช่เจ้า”

ถังซานสือลิ่วเพิ่งเข้าใจ เจ๋อซิ่วเดิมทีพุ่งเป้ามาที่เฉินฉางเซิง

หลังจากเขาคิดใคร่ครวญ จึงเอ่ยว่า “เขาต้องการเอาประกาศแรกอันดับแรกเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ข้าคิดว่า เพียงแค่มิใช่ชีวิตของเขา เช่นนั้นแล้วสิ่งใดย่อมได้”

เจ๋อซิ่วตอบ “ข้าไม่ต้องการชีวิตเขา”

ถังซานสือลิ่วพยักหน้า กล่าวต่อ “อย่างนั้นก็ตามนี้ หลังจากผลการจับฉลากออกมาแล้ว พวกเราค่อยมาคุยกันอีกที่ว่าจะทำอย่างไร”

เจ๋อซิ่วมิได้ตอบ แต่เอ่ยถาม “กินได้ไหม”

สายตาของเขาร่วงหล่นไปบนไก่ย่าง

กลับมายังข้างราวป่า เห็นสายตาของเฉินฉางเซิงและพวกเขามองมา ถังซานสือลิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด นำกาน้ำชามารินชาร้อนสามถ้วยรวด เฉินฉางเซิงจึงเพิ่งสังเกตเห็น ด้านหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ บนลำคอก็เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ จึงรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา พลางเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”

เจ๋อซิ่วมีชื่อเสียงทางด้านดุร้ายเลือดเย็น ทว่าถังซานสือลิ่วเป็นคนที่มีนิสัยอย่างไร เป็นธรรมดาว่าไม่มีทางถูกทำให้ตกใจถึงเพียงนี้

“ถูกทำให้ตกใจ” ถังซานสือลิ่วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้า มองพวกเขาด้วยใบหน้าที่ยินดี

เฉินฉางเซิงไร้คำเอื้อนเอ่ย ในใจครุ่นคิดเจ๋อซิ่วทำอะไร ถึงทำให้เขาตกใจถึงเพียงนี้

“เดิมทีข้าไม่เคยคิดมาก่อน คาดไม่ถึงว่าลูกสุนัขป่าคนนี้…ต้องการเงินจนจะตายอยู่แล้ว”

ถังซานสือลิ่วมองพวกเขาแล้วเอ่ยออกมา ตรงคำว่าตายยิ่งเน้นหนักเข้าไปอีก

มิได้เอ่ยว่าต้องการเงิน แต่เป็นต้องการเงินจะตาย

“เป็นไปได้อย่างไร!”

ลั่วลั่วกับเซวียนหยวนผ้อเอ่ยออกมาพร้อมกัน พวกเขามาจากดินแดนเผ่าปีศาจ ที่นั่นมีเรื่องเล่าขานที่เกี่ยวข้องกับเจ๋อซิ่วมากมาย อย่างไรก็ไม่เชื่อคำพูดของถังซานสือลิ่ว

“เขาต้องการเงินจริงๆ!”

ถังซานสือลิ่วโมโหเอ่ยออกมา “ไม่เชื่อเดี๋ยวพวกเจ้าคอยดู”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงถามว่า “นอกจากเงินเขายังต้องการอะไรอีกหรือไม่”

“อืม เขายังต้องการสิ่งของจากเจ้าหนึ่งอย่าง” ถังซานสือลิ่วกล่าว

“แล้วเจ้าก็ตกลงรึ” เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร รู้สึกตื่นเต้น

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างมีเหตุมีผลออกไป “มิได้เอาชีวิตเจ้า เพราะอะไรข้าถึงไม่ตกลงเล่า โอกาสเช่นนี้ข้าไม่คิดว่าจะมีครั้งที่สอง”

เฉินฉางเซิงจนปัญญา เอ่ยถาม “เจ้าแม้แต่เขาต้องการสิ่งใดก็ไม่รู้ แล้วจะตกลงแทนข้าได้อย่างไร”

ถังซานสือลิ่วถามกลับ “เจ้าอยากจะเอาประกาศแรกอันดับแรกของการสอบใหญ่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงมิได้คิดสักนึก เอ่ยออกไป “มิใช่ว่าอยากจะเอา แต่จะต้องเอา”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ถ้าหากว่าลูกสุนัขป่าคนนั้นไม่ช่วย เจ้าคิดว่าจะมีโอกาสสักเท่าไหร่”

เฉินฉางเซิงมองไปทางริมคลอง เวลานี้โก่วหานสือกำลังคุยอะไรบางอย่างกับพวกศิษย์น้อง ก็คงจะพูดคุยการต่อสู้ระหว่างกวนเฟยไป๋ ชีเจียนกับเจ๋อซิ่วก่อนหน้านี้ มองท่าทางโก่วหานสือแล้ว คงเป็นการชี้แนะให้แก่กวนเฟยไป๋และชีเจียน มิใช่อยากได้รับอะไรในการต่อสู้

เขาจ้องมองถังซานสือลิ่ว เอ่ยอย่างไม่มั่นใจ “สามส่วนกระมัง”

ถังซานสือลิ่วมองเขาแสยะยิ้มออกมา “เจ้าไม่เอาหน้าอีกสักหน่อยได้ไหม”

“ให้เกียรติอาจารย์ข้าหน่อย”

ลั่วลั่วเอ่ยอย่างไม่ยินดี จากนั้นหันกายไปมองเฉินฉางเซิง เอ่ยอย่างไม่สบายใจ “สามส่วน…ไม่มากไปหน่อยหรือ”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะฮ่าๆ ออกมา ทำให้ผู้เข้าสอบจำนวนมากต่างชำเลืองมอง

เฉินฉางเซิงแบมือออก พลางเอ่ย “เอาเถอะ ถ้าหากตอนนี้ข้าต่อสู้กับโก่วหานสือ ข้าก็มองไม่เห็นว่าโอกาสอยู่ตรงไหน”

ลั่วลั่ว กล่าวออกมา “ถ้าหากว่ารอบหน้าข้าจับฉลากได้เขา โอกาสของอาจารย์จะเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยหรือไม่”

ถังซานสือลิ่วส่ายหน้า “จะต้องให้เจ๋อซิ่วเจอกับเขาสักรอบหนึ่ง เช่นนี้โอกาสถึงจะมีมากเสียหน่อย”

เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “แต่ว่าการจับฉลากมิได้เป็นไปตามสิ่งที่พวกเราคิด”

“เจ๋อซิ่วจับฉลากได้ผู้อื่นก็มิเป็นไร ตอนนี้เขาก็เหมือนกับองค์หญิง ที่รับผิดชอบกวาดล้างคู่ต่อสู้ให้กับเจ้า”

ถังซานสือลิ่วเอ่ยต่อ “เขากับองค์หญิง ก็เป็นเทพรักษาประตูให้เจ้าเอาประกาศแรกอันดับแรก”

ได้ยินคำว่าเทพรักษาประตูคำนี้ เฉินฉางเซิงคิดไปถึงพื้นที่มืดมิดข้างใต้ คิดไปถึงขุนพลเทพในตำนานทั้งสองท่านบนกำแพงหิน คิดไปถึงมังกรดำที่ถูกโซ่ตรวนจองจำ อยู่ๆ ก่อเกิดความเป็นห่วงท่วมท้นออกมา

“เวลานี้จะใจลอยไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่” ถังซานสือลิ่วหัวเสียเอ่ยออกมา

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “เจ้าพูดต่อ”

ถังซานสือลิ่วกล่าวว่า “ข้าอยากจะบอกก็คือ สามารถให้คู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุดกลายเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งที่สุด จะใช้อะไรแลกเปลี่ยนย่อมคุ้มค่า”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เอ่ยว่า “มีเหตุผล”

ถังซานสือลิ่วกล่าวต่อ “ดังนั้นเจ้าจะต้องขอบใจข้า ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเกลี้ยกล่อมลูกสุนัขป่าคนนั้นได้ คุยกับเขาใช้แรงจำนวนมาก ยิ่งใช้จิตใจมากกว่า”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ขอบคุณ”

“พวกเจ้าไม่คิดมากกันไปหน่อยรึ” เซวียนหยวนผ้อมองพวกเขาแล้วเอ่ยถาม “อันดับแรกเจ้าโจมตีคู่ต่อสู้ของตนจนชนะ อาจจะเป็นจวงห้วนอวี่ อาจจะเป็นจงฮุ่ย จนกระทั่งรอบต่อไปพบกับโก่วหานสือ ถ้าหากต่อสู้ไม่ได้ ถึงแม้ว่าเซ๋อจิ่วจะช่วยเหลือ แล้วจะเกี่ยวอันใดกับพวกเรา”

ข้างราวป่าเงียบสนิท

ถังซานสือลิ่วรู้สึกโมโห เอ่ยว่า “เป็นเด็กที่ซื่อจริงๆ วาจาช่างทำให้คนโมโหได้ง่ายๆ”

เซวียนหยวนผ้อเอ่ยอย่างไม่ยินยอม “นั่นเป็นเพราะคำพูดของเด็กที่ซื่อมักจะเป็นความจริง”

เฉินฉางเซิงมองออกไปไกลด้านนอกฝูงชน เจ๋อซิ่วกำลังกินไก่อยู่บนก้อนหินเงียบๆ

“เช่นนั้นอย่างนี้แล้วกัน รอให้ผลการจับฉลากออกมาค่อยคุย…อีกอย่าง ครั้งหน้านำไก่ทั้งตัวให้เขากินเถิด มองแล้วช่างน่าสงสารจริงๆ”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset