ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 16 สำนักแห่งหนึ่ง

สาเหตุที่สตรีอาวุโสท่านนั้นตกตะลึง เพราะนางรู้ดีว่าแพะดำที่แม่นางม่ออวี่เลี้ยงดูจนเติบโตด้วยมือของนางเองมีนิสัยหยิ่งยโสเยือกเย็น และยังรักความสะอาดเป็นพิเศษ ถึงขนาดเป็นความแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง มีผู้คนจำนวนน้อยที่เคยพบเห็นอาชาเขาเดียวถึงจะรู้ว่าคล้ายคลึงกัน ไม่ต้องกล่าวถึงต้นหญ้าที่ขึ้นเองริมทะเลสาบ ต่อให้เป็นอาหารที่เชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ตั้งอกตั้งใจคัดสรรให้ มันแม้แต่มองยังไม่มองสักนิด ทว่าในเวลานี้ มันรับเอาหญ้าสีเขียวจากมือของหนุ่มน้อยที่เพิ่งเคยเจอกัน คาดไม่ถึงว่ากำลังกินจริงๆ!

ภาพที่เกิดต่อมา ยิ่งทำให้สตรีอาวุโสยิ่งตกตะลึงยิ่งขึ้น เพราะว่าหลังจากแพะดำตัวนั้นกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ได้ออกห่างไปที่ใด และยังเอาหัวไปถูที่ฝ่ามือของหนุ่มน้อยคนนั้นเบาๆ เหมือนกับว่าสนิทสนมกันยิ่งนัก ลักษณะท่าทางก็พึงพอใจอย่างมาก ราวกับว่าชื่นชอบที่จะคบค้าสมาคมกับหนุ่มน้อยผู้นั้น

แท้จริงแล้วนี่เพราะเหตุใด

สตรีอาวุโสขมวดคิ้วเล็กน้อย มือที่กุมไม้เท้าต้นหวงหยางก้าวเดินช้าๆ มุ่งไปยังริมทะเลสาบ จ้องมองหนุ่มน้อยที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของแพะดำคนนั้น สนใจในรูปร่างหน้าตาที่ธรรมดาแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความสนิทสนมอย่างเป็นธรรมชาตินั้น จิตใจสงบ แต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่สงบอย่างยิ่ง ผู้ที่สามารถทำให้นางที่มีจิตใจผ่อนคลายแปรเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ จะต้องระมัดระวัง

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้นยืน จ้องมองสตรีอาวุโสกล่าวว่า “ท่านยาย นี่คือแพะที่ท่านเลี้ยงใช่หรือไม่”

สตรีอาวุโสหรี่ตาลง กล่าวว่า “เจ้ารู้ว่าข้าคือใครใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงประหลาดใจเล็กน้อย กล่าวว่า “ไม่รู้ขอรับ”

สตรีอาวุโสกล่าวด้วยความเย็นชา “แล้วเหตุใดเจ้าถึงเรียกข้าว่าท่านยายเล่า”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าเล็กน้อย ในใจคิดว่าสตรีที่อายุขนาดท่าน ถ้าไม่เรียกว่าท่านยายจะเรียกว่าอะไร ท่านยายที่อยู่ในรถม้าของจวนเทพขุนพล ผู้ที่ล้างจานโรงเตี๊ยมก็เป็นท่านยาย ชาวเรือที่รับผิดชอบหุงอาหารก็เป็นท่านยาย ท่านยายในใต้หล้านี้มีมากมาย หรือว่ายังมีอะไรที่ไม่เหมือนกัน

สตรีอาวุโสมองเขาด้วยอารมณ์งุนงง จึงรู้ว่าตนเองคิดมากไปเอง ต้องระมัดระวังหนุ่มน้อยคนนี้อย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะว่านางเข้าใจอย่างยิ่ง บทสนทนาที่ตนแสดงความงุนงงออกมานี้ ทั้งหมดทั้งมวลมาจากความชื่นชอบในตัวหนุ่มน้อยผู้นี้

หนุ่มน้อยธรรมดาเช่นนี้ กลับทำให้ผู้คนรู้สึกอยากใกล้ชิดได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นแพะดำหรือว่าตนเอง ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ แท้ที่จริงแล้วเพราะเหตุใด

สตรีอาวุโสจ้องมองไปยังสิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่และชำรุดทรุดโทรม คิดไปถึงบรรยากาศช่วงที่เจริญรุ่งเรืองในปีนั้น คิดไปถึงเรื่องราวของการเข่นฆ่าที่โหดร้ายและความน่าสะพรึงกลัวครั้งนั้น คิดไปถึงหนุ่มน้อยที่พิเศษคนนี้ ในใจไม่สงบนิ่งยิ่งมายิ่งมากขึ้น ตัดสินใจที่จะถ่วงเวลา เอ่ยต่อว่า “เจ้าสามารถเรียกข้าว่าท่านยายหนิง”

เฉินฉางเซิงก้มลงทำความเคารพ กล่าวว่า “สวัสดีท่านยายหนิง”

ท่านยายหนิงเอ่ยว่า “ถ้าหากทำให้เจ้ารู้ คนที่ทำให้เจ้าไม่สามารถผ่านการสอบสำนักเด็ดดาราคือข้า เจ้ายังจะคิดว่าข้าเป็นคนดีหรือไม่”

ต้นฤดูใบไม้ผลิราวกับฤดูหนาว สายลมพัดเบาๆ ผ่านพุ่มต้นหญ้าป่าเตี้ยประมาณรอบเอว ทั่วทั้งผืนเงียบสงบ

เฉินฉางเซิงยืดตัวตรง มองสตรีอาวุโส ตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อวานถังซานสือลิ่วกล่าวเมื่อตอนอยู่ที่โรงเตี๊ยม จวนขุนพลเทพตงอวี้ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อสำนักเด็ดดาราได้ หมายความว่าคงจะเป็นฝีมือของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชวัง ตามที่ท่านยายหนิงกล่าวนั้น…นางก็คือผู้ใหญ่คนนั้นหรือ

“ถือหนังสือสมรสฉบับนั้น แล้วยังกล้าเดินไปทั่วเมืองจิงตู ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหนุ่มน้อยเช่นเจ้าโง่เขลาหรือว่าใจกล้า” ท่านยายหนิงกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งชั่วครู่ เอ่ยว่า “นอกจากจวนขุนพลเทพ ก็ไม่มีผู้ใดสนใจข้า”

ท่านยายหนิงกล่าวว่า “ถ้าหากทำให้ผู้คนรับรู้ว่าเจ้าคือคู่หมายของหงส์ คนจำนวนนับไม่ถ้วนคงจะมาสังหารเจ้า”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ข้ายังมีชีวิตอยู่ พิสูจน์ได้ว่าจวนขุนพลเทพไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้เรื่องการหมั้นหมายนี้”

ท่านยายหนิงมองเขาแวบหนึ่ง กล่าวถาม “หากจวนขุนพลเทพปรารถนาจะเอาชีวิตเจ้าล่ะ”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบชั่วครู่หลังจากนั้นจึงกล่าว “จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ปกครองแผ่นดิน ต้องดูแลทุกสิ่งเหล่านี้”

ท่านยายหนิงคิ้วขมวดขึ้น คล้ายกับว่าคิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ปีคนนี้ สามารถเข้าใจแจ่มแจ้งถึงสาเหตุแท้จริงที่จวนขุนพลเทพกลั่นแกล้งเช่นนี้ “ประวิงเวลายิ่งนาน ความกดดันยิ่งมากขึ้น ก็อาจจะมีวันใดวันหนึ่ง จวนขุนพลเทพอาจจะทนต่อไปไม่ไหว”

“อย่างนั้นข้าจะลองต่อต้าน” เฉินฉางเซิงกุมด้ามกระบี่ที่อยู่ข้างเอวแน่นขนัดพลางเอ่ยออกไป

ท่านยายหนิงจ้องมองกระบี่สั้นที่ธรรมดาไม่แปลกตรงรอบเอวของเขาเล่มนั้น พลางกล่าวถากถางเล็กน้อย “เจ้าไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร อยากจะพึ่งกระบี่สั้นเล่มนี้ต่อต้านผู้แกร่งกล้าในจวนตงอวี้อย่างนั้นรึ เจ้าคิดว่ากระบี่สั้นเล่มนี้คือสิ่งใด เป็นอาวุธวิเศษในตำนานหรือ เทียบได้กับกระบี่ยาวน้ำค้างเหนือเวลาของจักรพรรดิไท่จงหรือกระบี่เกล็ดมัจฉาทวนแสงเล่มนั้นของตระกูลชิวซานได้หรือไม่”

เฉินฉางเซิงไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด

“ถึงแม้เจ้าไม่ส่งมอบหนังสือสมรส เจ้าก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้”

ท่านยายหนิงกล่าวว่า “เพียงแต่ว่าไม่อนุญาตให้นำเรื่องการหมั้นหมายไปบอกผู้ใด ถ้าไม่อย่างนั้น แม้แต่จักรพรรดิเผ่ามารก็คงรักษาชีวิตเจ้าไม่ได้”

ประโยคที่กล่าวออกมามิได้มีน้ำเสียงคุกคาม เหตุเพราะไม่ได้ใช้อำนาจคุกคาม เพียงแค่อธิบายเกี่ยวกับสัจธรรมที่ไม่สามารถหักล้างได้

จักรพรรดิเผ่ามารก็คงรักษาชีวิตเจ้าไม่ได้

ผู้คนทั้งใต้หล้าก็มิอาจจะรักษาชีวิตเจ้าได้ เพราะว่าท่านยายหนิงเป็นตัวแทนความตั้งใจของราชวังต้าโจว

เฉินฉางเซิงจำใจยอมรับ ถึงแม้ไม่สามารถเลือกได้ บางทีอาจจะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่ยินดี แต่ว่าคำพูดของท่านยายหนิง เป็นเรื่องที่ดีต่อเขา เพียงแค่เขามีบางสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดเมื่อหลายวันก่อนตอนที่สอบเข้าสำนักเด็ดดารา ฝ่ายตรงข้ามถึงบดขยี้อนาคตของตนให้แตกละเอียดอย่างไร้ความรู้สึก แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนความตั้งใจ

“มีคนที่ต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่ เพียงแค่เจ้าไม่สร้างความยุ่งยาก นายหญิงของข้ากลับไม่ชื่นชอบที่จะพบเจอกับสิ่งที่เรียกว่าการเปลี่ยนแปลงซ้ำๆ ดังนั้นนางไม่ยินดีให้เจ้ามีอนาคตหรือมีความเป็นไปได้ เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก…”

ท่านยายหนิงจ้องมองสิ่งปลูกสร้างที่ทรุดโทรมและเงียบเชียบของสำนักฝึกหลวง ทันใดนั้นจึงยิ้มออกมา กล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกระโดดเข้ามายังบ่อน้ำที่แห้งขอดแห่งนี้ ในที่สุดเจ้าก็ช่วยข้าจัดการกับเรื่องยุ่งยากนี้”

เฉินฉางเซิงถูกวาจาท่อนหลังดึงดูดสมาธิทั้งหมด ดังนั้นจึงพลาดวาจาก่อนหน้าหกคำนั้น

อนาคต ความเป็นไปได้ บ่อน้ำที่แห้งขอด ยุ่งยาก

ทันใดนั้นเขาเกิดความไม่สงบนิ่งอย่างชัดเจน ใช้เหตุผลพิจารณาตามที่คำพูดของท่านยายหนิง ตนได้เข้ามายังสำนักฝึกหลวงอาจจะมีโทษในการทำความผิดใหญ่หลวง

เขากล่าวอย่างไม่ลังเล “ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเข้าสำนักฝึกหลวง”

ท่านยายจ้องมองเขาพลางกล่าวว่า “เจ้าจำเป็นต้องเข้าสำนักฝึกหลวง”

“เพราะเหตุใด”

“เจ้าเดินมาถึงที่นี่ ดังนั้นนี่คือการเลือกของเจ้า”

“ข้าได้เปลี่ยนความตั้งใจแล้ว”

“ขออภัย ข้ามิใช่ฮูหยินสวี”

ท่านยายหนิงจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ กล่าวว่า “ข้าไม่ถือสาที่จะสังหารเจ้าให้ตาย”

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เขารู้ว่าตนเองไม่มีหนทางที่จะปฏิเสธ แต่ยังคงมีความไม่พึงพอใจ

“ข้ายังไม่ได้สอบ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้รับหนังสือประกาศการรับเข้าศึกษา”

“สำนักฝึกหลวงไม่มีเจ้าสำนัก แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มี เป็นธรรมดาที่จะไม่มีการสอบ แต่ว่าสามารถรับลูกศิษย์ได้”

ท่านยายหนิงล้วงเอากระดาษบางๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นไปด้านหน้าเขา เอ่ยว่า “นี่เป็นหนังสือแนะนำที่เขียนด้วยมือของใต้เท้าสังฆราช เจ้าสามารถเข้าสำนักแห่งไหนก็ได้”

ไม่รอให้เฉินฉางเซิงกล่าวสิ่งใด นางใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวว่า “แต่ว่าเจ้าสามารถเข้าได้เพียงสำนักฝึกหลวง”

เฉินฉางเซิงรับกระดาษแผ่นนั้นมา มองการลงชื่อด้วยตัวหวัดบนกระดาษนั้น รวมทั้งประทับด้วยตราประทับที่สลับซับซ้อนวิจิตรตระการตาอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด

เขาคิดไม่ถึงว่าตลอดทั้งชีวิตของตนเองจะมีโอกาสได้เห็นลายมือของใต้เท้าสังฆราชด้วยตาของตนเอง เกือบจะตื่นเต้นดีใจ แต่สายตาเหลือบไปเห็นภาพที่ทำให้ไม่สามารถตื่นเต้นดีใจได้ มองไปเห็นการลงชื่อและหมึกสีแดงที่ประทับตราสีของมันจืดลง คงจะไม่ใช่ลงชื่อเมื่อเร็วๆ นี้ หนังสือแนะนำสำนักที่มีชื่อกลับกันเพิ่งจะเขียน คงจะเป็นลายมือของท่านยายท่านนี้

“ข้อหนึ่ง ไม่สามารถบอกเรื่องการหมั้นหมายกับผู้ใด ข้อสอง เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ ข้อสาม จะไม่มีผู้ใดขัดขวางอนาคตของเจ้า”

ท่านยายหนิงจ้องมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก เอ่ยว่า “การตกลงแลกเปลี่ยนสิ้นสุดแล้ว”

พูดประโยคเหล่านั้นเสร็จสิ้น นางหันหลังกลับมุ่งไปยังด้านนอกของสำนักฝึกหลวง ริมทะเลสาบมีหญ้าป่าที่อยู่ลึกออกไป ก็ไม่อาจพันเกี่ยวกระโปรงสีขาวที่ปลิวสะบัดของนางได้

โดยฐานะของนาง มาพูดคุยกับหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ปีด้วยตนเอง แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไม่น่าสนใจอีกด้วย

นางกล่าวก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง เพียงต้องการให้คนตาย แล้วหนังสือสมรสยังจะมีความหมายอะไรอีก ถึงแม้จะคิดว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะไม่เลวนัก แต่ว่าทุกปีที่จิงตูมีหนุ่มน้อยที่ไม่เลวจะต้องตายกี่คนกัน เมื่อวานตอนดึกถ้าหากไม่ใช่เพราะจดหมายฉบับนั้น วันนี้เขาอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว ถ้าหากว่าเขาคือคนฉลาด คงจะคาดเดาได้ว่าใครที่ทำให้เขามีชีวิตต่อ คงจะรู้ว่าควรจะทำอย่างไร

เมื่อพูดกับคนทั่วไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพียงแค่สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่ แต่ว่า ใครจะมาสนใจเล่า

คิดได้เช่นนี้ ท่านยายหนิงจึงค่อยๆ เดินห่างออกไปไกลๆ

แพะดำตัวนั้นเดินตามนางไป เดินเข้าไปด้านหน้าของระเบียงกำแพง หันหน้ากลับมามองเฉินฉางเซิงแวบหนึ่ง

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมทะเลสาบ ในมือถือกระดาษแผ่นนั้น นิ่งเงียบเป็นเวลายาวนาน

จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าท่านยายหนิงท่านนั้นคือใคร แต่เขาถูกบังคับให้รับการแลกเปลี่ยนครั้งนี้

เขาไม่รู้ความจริงหลังม่านของการแลกเปลี่ยนนี้ แต่ก็เข้าใจอย่างคลุมเครือ ถ้าหากว่าตนเองยอมรับ ล้วนแต่มีผลดีต่อทุกคน

ยิ่งไปกว่านั้นเขาเข้าใจมากกว่าทุกคน

มองดูแล้วสำหรับคนเหล่านั้น การเลือกครั้งนี้ผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์คงมีแต่เขาเพียงผู้เดียว แต่ที่จริงแล้วผลประโยชน์ที่เขาต้องการก็คือกระดาษแผ่นนี้ที่เขากำลังถืออยู่ในมือ ซึ่งก็รับมาเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นจึงไม่ได้โกรธแค้น เพียงแค่รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย

เดิมทีเขามาจิงตูเป้าหมายมิใช่การหมั้นหมาย ก็ไม่ใช้เพราะเด็กสาวที่ชื่อสวีโหยว่หรง จวนขุนพลเทพ และพระราชวัง เมื่อก่อนมองดูแล้วราวกับเป็นชื่อที่อยู่บนขอบฟ้ายิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น เขาก็ไม่ปรารถนาจะสร้างความสัมพันธ์กับสถานที่เหล่านี้ เขาเพียงต้องการอ่านตำรา ฝึกบำเพ็ญเพียร หลังจากนั้นเข้าร่วมการสอบใหญ่ สอบให้ได้ลำดับที่หนึ่ง

ก่อนการสอบใหญ่คือการสอบเตรียม จะมีการจัดสอบในเดือนถัดไป เขาไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเพียร แม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ คงไม่มีทางจะผ่านเป็นแน่ แม้แต่คุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ก็ไม่มี แล้วจะเอาลำดับที่หนึ่งได้อย่างไร เพราะเหตุนี้ เขาจำเป็นต้องสอบเข้าหนึ่งในหกสำนักบนรายชื่อ

สำนักทั้งหกแห่งนั้นล้วนมีประวัติที่ยาวนานในจิงตู เป็นสำนักที่ดีที่สุด นอกประตูล้วนแต่มีไม้เลื้อยมากมาย ดังนั้นจึงถูกเรียกขานว่าสำนักไม้เลื้อยทั้งหก

มีเพียงแค่ลูกศิษย์ของสำนักไม้เลื้อยทั้งหก

ถึงจะมีคุณสมบัติไม่ต้องเข้าร่วมการสอบเตรียม สามารถเข้าร่วมการสอบใหญ่ได้เลย

ขณะนี้ ในที่สุดเขาก็เป็นลูกศิษย์หนึ่งในหกของสำนักไม้เลื้อย เกือบจะสมดังปรารถนา เพียงแค่…ประตูของสำนักแห่งนี้มีไม้เลื้อยขึ้นเยอะมากมาย

ก่อนหน้าที่จะจากเมืองซีหนิงมา นี่คือหนทางที่อาจารย์และศิษย์พี่วางแผนให้เขา

แต่ว่าชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าประวัติที่เคยได้ประพันธ์ถึงความวิจิตรงดงามตระการตาของสำนักฝึกหลวง ตอนนี้ได้ทรุดโทรมจนถึงขั้นนี้แล้ว

เฉินฉางเซิงยืนอยู่ริมทะเลสาบ มองไปยังแสงอาทิตย์ที่งดงาม ยังคงเงียบเชียบน่ากลัวประหนึ่งสุสานของสำนัก จนปัญญาที่จะคาดเดาอนาคตของตนเอง

เวลาผ่านพ้นไปยาวนาน เขาสะดุ้งเพราะลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ลึกๆ ห้าครั้ง นำกระดาษที่พับแล้วสอดเข้าไปในหน้าอก เดินไปตามต้นหญ้าป่าริมทะเลสาบเข้าไปในสำนักซึ่งมองเห็นทางเดินเดิมไม่ชัดเจนนัก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset