ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 17 นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวง (ตอนต้น)

เฉินฉางเซิงเห็นคุณค่าของเวลาอย่างยิ่ง

พบว่าการได้หมั้นหมายกับหงส์ตัวนั้น แม้แต่จะต้องทนรับความอัปยศอดสูและการกดขี่ข่มเหงจากผู้คนที่สูงส่ง ถึงขนาดคนของราชวังยังปรากฏตัว…ถ้าหากเป็นหนุ่มน้อยปกติทั่วไป เกรงว่าคงจะกลัดกลุ้มจนเสียชีวิตไปนานแล้ว แม้กระทั่งจิตใจก็คงใกล้จะพังทลาย แต่ว่าเขาไม่มีเวลาที่จะมาเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีเวลาที่จะโกรธเคือง สิ่งที่เขาขาดที่สุดก็คือเวลา

ดังนั้นเขามองจุดหมายในแต่ละวันอย่างชัดเจน ไม่ลังเลที่จะเดินไปข้างหน้า ไม่มีความลังเล ไม่ปรารถนาเสียงกู่ร้องสนับสนุน ยืนกรานที่จะมั่นคงอย่างเงียบๆ เพียงแค่ต่อสู้ทุกเวลา

ตอนนี้จุดมุ่งหมายของเขาก็คือได้รับการประกาศแรกเป็นอันดับแรกของการสอบใหญ่ในปีหน้า

สำหรับผู้ที่ไม่สำเร็จการชำระล้างกระดูกเช่นเขา แท้จริงแล้วนี่คือจุดมุ่งหมายที่แสนห่างไกล เมื่อวานหลังจากที่เขาได้กล่าวออกมาที่โรงเตี๊ยม ทำให้ถังซานสือลิ่วที่หยิ่งทะนงตนและหลงตัวเองเป็นที่สุดถึงกับไร้คำเอื้อนเอ่ย ทว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้หวั่นไหวใดๆ แต่เพราะจุดมุ่งหมายนี้ยิ่งห่างไกล เขายิ่งเห็นคุณค่าของเวลาที่เดินไปทุกวินาที เม็ดทรายทุกเม็ดในขวดแก้ว เงาเส้นขีดตัวอักษรที่เล็กบางบนพื้นผิวของเสาหิน

สำนักฝึกหลวงจะทรุดโทรมอีกคราแล้วจะเป็นเช่นไร สิ่งก่อสร้างที่มีไม้เลื้อยขึ้นเต็ม มองดูแล้วใกล้จะพังทลายแล้วจะเป็นเช่นไร เขามิได้สนใจ ไม่มีเวลาที่จะสนใจ เขามุ่งมั่นและก็เดินไปยังตามทางเดินของตนเอง เขาออกจากริมทะเลสาบ เดินเข้าไปยังข้างในของสำนักด้วยจิตใจฮึกเหิม เตรียมตัวตามหาผู้คนในนั้น หลังจากนั้นจะเริ่มศึกษาชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง…

หลังจากผ่านมาครึ่งชั่วยาม เขาอยู่ที่กลางลานตามลำพัง ต้นหญ้าป่าปกคลุมทั่วพื้นดิน มีเสียงนกและแมลงส่งเสียงผสมผสานปนเป มีเพียงหนึ่งกายหนึ่งเงา มองไปรอบๆ ตัวอย่างไร้จุดหมาย

เขาตามหาผู้ใดไม่พบ ผู้คนสักคนหนึ่งก็หาไม่พบ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสำนักฝึกหลวงถึงแม้จะเงียบเชียบทรุดโทรมอย่างไร อย่างน้อยจะต้องมีอาจารย์ที่ดูแลหรืออาจจะมีผู้เฒ่าที่เฝ้าประตู ใครจะคาดคิด เขาตามหาทั่วทั้งสำนัก อย่าพูดถึงเงาของคนเลย แม้แต่ร่องรอยที่คนเคยเข้ามายังไม่มี

ด้านหลังลานของสำนักฝึกหลวงเคยเป็นอาคารเรียนที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นซากปรักหักพังที่น่ากลัว สิ่งปลูกสร้างตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไปได้พังถล่มลงมา น้ำพุราชสีห์หินเหลือเพียงแค่ครึ่งท่อน ลำต้นของพืชสีเขียวนับไม่ถ้วนเติบโตในร่างกายที่หักพังของราชสีห์หิน ยอดลำต้นมีดอกไม้เล็กๆ สีม่วงกำลังเบ่งบาน ช่างเป็นความงดงามที่โศกเศร้า

เห็นได้ชัดเจนว่าสิ่งผุพังมิได้เกิดจากลมฝน และก็มิได้เกี่ยวข้องกับกาลเวลา คงจะเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนหรืออาจจะก่อนหน้านั้น ที่นี่คงจะเคยผ่านการสู้รบที่น่าเวทนา อาคารเรียนได้รับการกระทบกระเทือน จึงเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดเช่นนี้ เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบกำลังคิดใคร่ครวญ ส่ายหัวไปมา เดินไปยังสิ่งปลูกสร้างที่ยังถูกรักษาให้สมบูรณ์ทางด้านขวาหลังนั้น

สิ่งก่อสร้างหลังนั้นสร้างด้วยไม้และหินผสมผสานกัน สูงหลายจั้ง บนกำแพงหินมีไม้เลื้อยและตะไคร่น้ำสีเขียวขึ้นเต็ม คานกับเสาและหน้าต่างสีลอกออกเป็นแผ่นๆ มองดูแล้วตกอับอย่างยิ่ง ตรงบันไดหินของประตูทางเข้ามีป้ายคำขวัญแขวนไว้ เขาจ้องมองเป็นระยะเวลายาวนานถึงจะมองออกตัวอักษรสองตัวในนั้น แน่ใจว่าอาคารหลังนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับคลังคัมภีร์เป็นแน่

เขาเดินไปยังริมหน้าต่างมองเข้าไปข้างใน มีแสงมืดสลัว แต่ยังพอให้มองเห็นได้ชัดเจน บนชั้นข้างในมีตำราวางอยู่ถี่ยิบ เขาตกตะลึง คิดไม่ถึงสำนักฝึกหลวงที่เสื่อมโทรมมาหลายปี ข้างในยังคงมีตำราจำนวนมากมาย แท่นสอนหนังสือยังมิถูกเก็บไป ราชสำนักก็มิได้สนใจเลยหรือ

ตำราคือสิ่งที่เขาสัมผัสเป็นสิ่งแรกบนโลกนี้ และเป็นสิ่งของที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เหมือนกับคนปกติทั่วไปที่มีความทรงจำกับน้ำนม ใกล้ชิดมาตั้งแต่กำเนิด สามารถทำให้จิตใจรู้สึกโล่งสบายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เวลานี้เขาจ้องมองตำราจำนวนมากมายซึ่งถูกกั้นระหว่างหน้าต่าง

ไม่รู้เพราะเหตุใด ความรู้สึกตกต่ำแปรเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมขึ้นมา

เขาเดินไปถึงประตูด้านหน้า คิดจะผลักประตูเข้าไปด้านใน เพิ่งมองเห็นประตูถูกคล้องด้วยแม่กุญแจทองแดงหนึ่งตัว ผิวด้านนอกของแม่กุญแจทองแดงมืดสลัวไม่ส่องแสง ส่วนที่สัมผัสกับประตูเป็นสีสนิมของทองแดงบางๆ เก่าแก่อย่างยิ่ง มิรู้ว่าไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือแม่กุญแจทองแดงมีพลังลมปราณแผ่กระจายออกมาบางเบา

เขารู้สึกว่าแม่กุญแจคงจะซ่อนค่ายกลที่ซับซ้อนอยู่

ไม่แปลกที่สำนักฝึกหลวงรกร้างว่างเปล่ามานานหลายปี

ตำราก็ยังคงถูกรักษาให้สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่ถูกพวกขโมยหรือพวกขาดเงินซื้อเหล้าขโมยไป คิดมาถึงตรงนี้ อารมณ์ของเขาเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมา แต่กลับไม่รู้ว่าจะเปิดแม่กุญแจอย่างไร เพราะว่าเขาไม่มีกุญแจ และก็ไม่รู้ว่ากุญแจมีหรือไม่มี แม้จะมี แล้วกุญแจอยู่ที่ไหน อยู่ในมือของผู้ใด

แม้แต่จะถามเขาก็ไม่รู้จะไปถามใคร เพราะว่าสำนักแห่งนี้ไม่มีผู้ใด

มิได้เป็นกังวลว่าผู้ใดจะขโมยหนังสือออกไป ในเมื่อยังเข้าไปไม่ได้ชั่วคราว เขาก็ไม่ได้เร่งรีบ ก่อนหน้านี้ได้เดินตามหาผู้คนผ่านไปยังในอาคารที่พัก สำนักฝึกหลวงมีอาคารเล็กๆ หลายสิบหลังรวมเป็นที่พัก ครอบคลุมพื้นที่ไม่เล็กเลย ทุกแห่งหนเป็นต้นไม้สีเขียวและไม้เลื้อย ในปีนั้นคงสามารถพูดได้ว่ามีบรรยากาศที่สวยงามและเงียบสงบ ตอนนี้มองดูแล้วคงจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความสะพรึงกลัว

เขาตามหาอาคารหลังเล็กสักแห่งแล้วผลักประตูเข้าไป มีกลิ่นราปะทะเข้ามาที่หน้า เขามองเห็นฝุ่นละอองในห้อง และใยแมงมุมที่มุมเสารวมทั้งหน้าต่างที่เสียหาย ยืนยันได้ว่าคงจะยากต่อการทำความสะอาด ชั่วระยะเวลาหนึ่งคงไม่สามารถจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ ส่ายหัวจากไป ในใจคิดว่าย้ายมาจากโรงเตี๊ยม คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

เขายืนอยู่บนทางเดินหินด้านนอกของอาคารหลังเล็ก จ้องมองป่าไม้เขียวชอุ่มบดบังแสงจากท้องฟ้า จ้องมองต้นหญ้าป่าในป่าไม้ จ้องมองมุมหนึ่งของม้านั่งหินที่มีต้นหญ้าป่าขึ้นแทรกไปทั่ว ฟังเสียงร้องผสมผสานของแมลงที่เปล่งออกมา รับรู้ถึงกลิ่นอายของระยะเวลาที่อึมครึม ยังมีสภาพความเป็นจริงที่ถูกกาลเวลาฝังกลบให้เปลี่ยนแปลงไป เฉินฉางเซิงค่อยๆ หลับตาลง

เมื่อหลายสิบปีก่อน ผู้มีพรสวรรค์ทั้งหนุ่มน้อยและเด็กสาวที่น่าทึ่งจำนวนนับไม่ถ้วนได้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปตามถนนหิน บ้างนั่งเรียงกันอยู่บนม้านั่งหิน กลางป่าบางครั้งบางครามีแสงของกระบี่เปล่งแสงออกมา ทุกหนทุกแห่งมีเสียงท่องหนังสือ ในอาคารด้านหลังกายของเขาคงจะมีเสียงหัวร่อออกมาบ่อยๆ เสียงระฆังของราชวังที่ห่างไกลออกไปดังออกมา บรรดานักเรียนเคาะตีจานอาหารด้วยความสุขวิ่งห้อสุดกำลัง

เขาลืมตาขึ้น ภาพเหล่านั้นไม่มีอยู่ มีเพียงแค่ป่าไม้ที่อ้างว้างเงียบสงัดกับบรรดาอาคารหลังเล็กที่เสื่อมโทรม

สำนักฝึกหลวงอยู่ศูนย์กลางของเมืองจิงตู ซึ่งอยู่ติดกับราชวัง แต่กลับถูกผู้คนบนโลกใบนี้หลงลืมไปแล้ว

ความรุ่งโรจน์กับความสวยงามที่เคยมีคงจะไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ เสียงแห่งความปีติยินดีและเสียงหัวร่อไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งใด มีเพียงแค่เขาที่ยืนอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ที่แห่งนี้

ทันใดนั้นเขารู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกขับไล่ออกจากใจเขา

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้เลวนัก ถ้าหากสามารถมองภาพเหล่านั้นใหม่

มองเห็นบรรยากาศที่คึกคักเมื่อหลายสิบปีก่อนของสำนักฝึกหลวง สามารถมองเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้มีพรสวรรค์ที่น่าถึงกำลังฝึกบำเพ็ญเพียร สามารถมองเห็นภาพที่ล่วงเลยผ่านมาเหล่านั้น ไม่ใช่เพราะว่าเฉินฉางเซิงมีความสามารถพิเศษ และไม่ใช่เพราะว่าเขามีความชำนาญในการจินตนาการ แต่เพราะว่าเขาเคยอ่านตำราที่เกี่ยวข้องกับที่นี่มาแล้ว

กำแพงแผ่นหินด้านนอกประตูสำนักมีไม้เลื้อยสีเขียวร่วงหลุดลงมา ทำให้มองเห็น ‘สำนักฝึกหลวง’ คำนี้ บันทึกเกี่ยวข้องกับที่นี่ในคัมภีร์เต๋าได้จำนวนมากมายที่อยู่ในสมองของเขาค่อยๆ ออกมา แปรเปลี่ยนเป็นตัวอักษรที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เปลี่ยนเป็นรูปภาพ ประทับอยู่ในส่วนที่ลึก เปรียบเทียบไม่ได้ว่าสว่างชัดเจนแค่ไหน เขาเพิ่งจะค้นพบว่าเดิมทีตนเองรู้ประวัติและเรื่องราวของสำนักแห่งนี้เยอะแยะมากมาย

เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะทำความเข้าใจได้ยาก เขาสามารถจำคำอธิบายที่ไม่สะดุดตาของกฎระเบียบการรับสมัครนักเรียนของสำนักเทียนเต้า สามารถจดจำวินัยทหารที่ซับซ้อนของสำนักเด็ดดารา เป็นธรรมดาที่เขาจะจดจำเกี่ยวกับประวัติการถ่ายทอดตำแหน่งและเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักฝึกหลวงได้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ในตำราเต๋าสามพันม้วนนั้นมีมากมาย

ตอนนี้สำนักฝึกหลวงคงจะมีนักเรียนเพียงแค่เขาผู้เดียว แม้กระทั่งท่านยายหนิงยังกล่าวไว้ แม้แต่อาจารย์ก็ไม่มีสักท่าน แต่ในเมื่อเขาจะเริ่มศึกษาที่สำนักฝึกหลวง อย่างนั้นต้องทำเรื่องบางอย่าง ดังเช่นเขาต้องไปเอากุญแจที่ห้องตำรา ดังเช่นเขาต้องไปยื่นคำร้องเรื่องเงิน

เขายังจำได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

ราชสำนักต้าโจวมีเงินบำรุงการศึกษาให้แก่ทุกสำนัก เพียงแค่สำนักจะต้องมีตัวตน ซึ่งจะแจกจ่ายตามปี สำนักเด็ดดาราแจกจ่ายทางด้านทหาร เงินบำรุงของสำนักฝึกหลวงดำเนินการจัดการโดยสำนักงานพระราชาคณะการศึกษาเทวาศักดิ์สิทธิ์

ที่ประจวบเหมาะก็คือ กุญแจและสมุดรายชื่อของสำนักฝึกหลวง ก็คงจะเก็บรักษาไว้ที่นั่น

เฉินฉางเซิงออกจากสำนักฝึกหลวง อาศัยแผนที่นำทาง ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่ จึงมาถึงสำนักงานพระราชาคณะการศึกษาเทวาศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่สะดุดตา บันไดหินที่ประตูใหญ่มีประมาณสามสิบกว่าขั้น เสาหินสูงลิบลิ่ว แต่ก็ยังไม่สะดุดตา เพราะว่าด้านนอกของสิ่งปลูกสร้างมีต้นหงซาน (ต้นจามจุรีแดง) หลายสิบต้น จึงให้ทั้งหมดถูกซ่อนไว้อยู่ด้านใน

ถึงแม้แสงจากฟากฟ้าจะสว่างไสว แต่ก็ยากที่จะส่องแสงมาถึงด้านในนี้

ประตูใหญ่ของสำนักงานพระราชาคณะเงียบสงัดอย่างยิ่ง เวลาผ่านไปยาวนาน ถึงจะเห็นอาจารย์ที่สวมใส่ชุดคลุมสีดำเดินผ่านมา เฉินฉางเซิงเดินขึ้นไปยังบันไดหิน รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ยังสนใจความคึกคักทางด้านหลังของสิ่งปลูกสร้าง มีผู้คนจำนวนมากมายกำลังคุยเรื่องอะไรกัน

เดินเข้าไปยังสำนักงาน มองหาเจ้าพนักงานเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาเอ่ยว่า “ข้ามาเอาสมุดรายชื่อและกุญแจ”

“สมุดรายชื่อกับกุญแจอะไรหรือ”

เจ้าพนักงานคนนั้นพึมพำกับตนเอง ดวงตาหรี่ลง ใบหน้าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ปูดโปน ไม่ได้แสดงอาการเหยียดหยาม ลมฤดูใบไม้ผลิโชยมาทำให้ใกล้จะหลับ ไม่รู้ว่าฝันครึ่งๆ กลางๆ เรื่องอะไร

เฉินฉางเซิงเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นกล่าวว่า “สมุดรายชื่อกับกุญแจของสำนักฝึกหลวง”

เจ้าพนักงานเบิกตาขึ้น หาวรอบหนึ่ง เดินไปริมหน้าต่างเพื่อล้างหน้า ในที่สุดก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามาบ้าง เดินกลับมายังด้านหน้าโต๊ะ มองเขาด้วยสายตาเอือมระอาแวบหนึ่ง นำเอกสารออกมาจากลิ้นชัก เปิดออกพลางกล่าวถาม “บอกชื่อของสำนักเจ้าอีกครั้งหนึ่ง”

ครั้งนี้ เฉินฉางเซิงตั้งใจออกเสียงให้ชัดเจน กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “สำนักฝึกหลวง”

เจ้าพนักงานคนนั้นไม่ได้คิดสิ่งใด เพียงแค่รู้สึกว่าชื่อนี้ไม่คุ้นเคย หยุดเปิดเอกสารในมือ แหงนศีรษะขึ้น จ้องมองเฉินฉางเซิงคิ้วขมวด เอ่ยว่า “ที่จิงตูมีสำนักเพิ่มมาอีกหนึ่งแห่งเมื่อไหร่ รายงานหรือยัง ชำระค่าภาษีหรือยัง ผู้ใดเป็นคนอนุญาต”

“ไม่ใช่สำนักใหม่ คือสำนักฝึกหลวง”

สำ…นัก…ฝึก…หลวง

เจ้าพนักงานคนนั้นคิ้วขมวดคิดใคร่ครวญชั่วครู่ รู้สึกว่าชื่อนี้เหมือนกับว่าจะเคยได้ยินที่ไหนสักที แต่กลับจำไม่ได้ สิบปีที่ผ่านมานี้ เขามีการติดต่อกับทุกสำนักในจิงตูนับครั้งไม่ถ้วน กลับไม่เคยได้ยินสำนักฝึกหลวงอะไรนี่…ทันใดนั้น เขานึกออกแล้ว

สีหน้าของเขาชั่วขณะหนึ่งแปรเปลี่ยนเป็นกลัดกลุ้มยิ่งนัก ราวกับหยดน้ำที่ตกลงมา

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

เจ้าพนักงานท่านนั้นน้ำเสียงเยือกเย็น กล่าวว่า “เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่”

เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดหวังห่อเหี่ยว ในใจคิดว่าท่านนี้กำลังล้อเล่นอะไรอยู่

เจ้าพนักงานดำเนินเรื่องคนนั้นลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตบลงไปที่โต๊ะซ้ำๆ ตวาดด้วยเสียงดัง “เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่จะมาล้อเล่นอย่างนั้นรึ”

เจ้าพนักงานดำเนินเรื่องคนนั้นกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าเป็นลูกกระต่ายน้อยของสำนักแห่งไหน! ยังกล้ามาแกล้งอาจารย์”

เฉินฉางเซิงกล่าวโดยไม่มีความผิด “ข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงจริงๆ”

เจ้าพนักงานดำเนินเรื่องคนนั้นมองเขาประหนึ่งมองคนโง่เขลา เอ่ยว่า “หลอกลวง เจ้ายังหลอกลวงต่ออีก”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset