ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 181 ซ่อมแซมประตูสำนัก

เฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ จวนขุนพลเทพตงอวี้เริ่มจัดเตรียมงานรื่นเริง ทว่านั่นกลับทำให้งานฉลองหลายงานหายไป แม้ว่าจะยังคงเหลือบ้างประปราย แต่ก็ได้ลดกฎเกณฑ์ต่างๆ ลง เพราะหลายคนเสียทรัพย์ไปมาก

เมื่อคำนวณดูแล้ว การพนันที่เกี่ยวข้องกับการสอบใหญ่ สี่โรงพนันใหญ่เปิดไปทั้งหมดสามร้อยกว่ารอบ หนึ่งร้อยรอบที่มีมูลค่าสูงสุดในนั้นส่วนมากเกี่ยวข้องกับการจัดลำดับของการสอบใหญ่ เนื่องจากการปรากฏตัวของเฉินฉางเซิง รวมถึงการสละสิทธิ์ของเทียนไห่เซิ่งเสวี่ย ทำให้มีการซุ่มทุ่มเงินเดิมพันลงไปที่ม้ามืด จึงมีเพียงคนส่วนน้อยถึงน้อยที่สุดที่ชนะการพนันไป

โดยหลักการแล้ว ผู้เล่นแพ้ เจ้ามือต้องชนะ แต่ในปีนี้ สี่โรงพนันใหญ่ก็ไม่ได้รายได้จากการสอบใหญ่มากนัก เนื่องมาจากหลายคืนก่อนการสอบใหญ่ มีเงินจำนวนหลายก้อนที่พนันไว้บนตัวเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวง

ก้อนแรกแน่นอนว่ามาจากคนบางคนในสำนักฝึกหลวง เนื่องจากเฉินฉางเซิงมองว่าการสอบใหญ่ครั้งนี้เป็นเป้าหมายสุดท้ายของตัวเอง จึงนำเงินที่ทั้งตัวมีอยู่ไปพนันฝั่งตนเอง แม้เซวียนหยวนผ้อไม่ค่อยมีเงิน ยังควักเงินเก็บที่มีอยู่แค่สิบเจ็ดตำลึงใส่ลงไปด้วย อีกสองคนที่ทำให้เงินก้อนนี้ใหญ่ขึ้นมาก็คือถังซานสือลิ่วกับลั่วลั่ว แม้พวกเขาจะนำเพียงแค่เศษเงินที่มีติดตัวอยู่พนันลงไป ทว่าเพราะความมั่งคั่งร่ำรวยของตระกูล เงินเล็กน้อยที่ติดตัวพวกเขา มันกลับเป็นมูลค่ามหาศาลในสายตาผู้อื่น ทั้งยังมีโอกาสสูญเงินที่แพ้พนันสูงมาก

เงินก้อนที่สองที่เดิมพันฝั่งเฉินฉางเซิงมาจากสำนักการศึกษากลาง อาจารย์ซินเป็นตัวแทนใต้เท้ามุขนายก เงินก้อนนี้มีมูลค่ามากโข ได้ข่าวว่านอกจากใต้เท้ามุขนายก นักบวชจำนวนมากของสำนักการศึกษากลางผู้ต้องการแสดงความจงรักภักดีของตนเอง ก็นำเงินจำนวนไม่น้อยใส่ลงไปกับการพนันด้วย

เงินก้อนที่สามมีมูลค่ามากยิ่งกว่า ถึงขั้นทำให้ผู้ตกตะลึง เงินก้อนนี้มาจากเวิ่นสุ่ย

เนื่องจากเงินสามก้อนดังกล่าว ได้ทำให้สี่โรงพนันใหญ่ชดใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะก้อนที่สาม ถึงกับทำให้โรงพนันเทียนเซียงในเครือของสี่โรงพนันใหญ่ซึ่งเดิมมีทุนน้อยมากอยู่แล้วตกอยู่ในสภาพวิกฤตและแบกรับความกดดันทวีคูณ

สามารถดูแลควบคุมการพนันขนาดใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าสี่โรงพนันใหญ่ต้องมีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ แม้จะบอกว่าการพนันคือธุรกิจแห่งความศรัทธา แต่เมื่อถึงคราวเป็นคราวตาย ก็อาจมีการโกงบัญชีบ้าง อย่างน้อยก็ชะลอผ่อนผันการสั่งจ่าย

หากแต่ครั้งนี้พวกเขาไม่กล้าใช้กลโกงใดๆ แม้ความกล้าหาญในการเชิญคนมาเจรจายังไม่มี เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่กล้าล่วงเกินสำนักฝึกหลวงของลั่วลั่ว ไม่กล้าล่วงเกินสำนักการศึกษากลางที่ขัดแย้งกับใต้เท้าสังฆราช พวกเขายิ่งไม่กล้าล่วงเกินเจ้าของของเงินก้อนที่สาม

เงินก้อนนั้นที่มาจากเวิ่นสุ่ย แน่นอนว่าต้องมาจากตระกูลถัง

เวิ่นสุ่ยมีตระกูลถังแค่ตระกูลเดียว ดินแดนต้าลู่ก็มีตระกูลถังแค่ตระกูลเดียวเช่นกัน บนโลกใบนี้มีแค่ตระกูลถังตระกูลนั้นที่สามารถหยิบยกเงินก้อนมหาศาลขนาดนี้มาเดิมพันข้างเฉินฉางเซิงเพียงเพื่อความเบิกบานของคุณชายถัง

ทุกอย่างที่อยู่จุดสูงสุดล้วนเป็นสิ่งที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง อย่างเช่นตระกูลอภิมหึมามหาเศรษฐีอย่างตระกูลถังที่เวิ่นสุ่ย นั่นไม่ใช่แค่ความกลัวธรรมดา แต่เป็นความหวาดผวาอย่างยิ่ง

เพียงแต่ท่านผู้เฒ่าของตระกูลถังคงนึกไม่ถึง ว่าแค่การที่ปรารถนาให้หลานชายสุดที่รักของตนมีชื่อเสียงและเรืองอำนาจในนครจิงตู จะนำมาซึ่งความอิจฉาริษยาของคนทั้งจิงตู อีกทั้งยังรับทรัพย์เป็นเงินไม่น้อยอีกด้วย ถึงกับกล่าวได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการสอบใหญ่ปีนี้ นอกจากเฉินฉางเซิงและสำนักฝึกหลวงแล้ว ก็คือตระกูลถัง

ในอีกไม่กี่วันก็จะเป็นเทศกาลชุนหมิง* การจัดงานของสำนักการศึกษากลางคาดว่าต้องมีความหลากหลายอุดมสมบูรณ์เป็นแน่ งานฉลองของพวกนักบวชในจวนแน่นอนว่าย่อมต้องมีรายการอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิม เศรษฐีในสำนักฝึกหลวงคงต้องมั่งคั่งยิ่งกว่าเดิม เซวียนหยวนผ้อที่เคยไม่มีเงินเพียงคนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินๆ ทองๆ อีก ทว่าโรงพนันเทียนเซียงอันเลื่องชื่อกลับล้มละลายในเวลาต่อมา และขายให้กับพ่อค้าอัญมณีที่มาจากทางทิศใต้ไป

เรื่องพวกนี้เกิดจากผลกระทบของการสอบใหญ่

แน่นอนว่า ผลกระทบเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องผิวเผิน คลื่นคลั่งแท้จริงแล้วซ่อนอยู่ใต้น้ำ รอคอยพลังอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง เวลาที่การสอบใหญ่ประกาศผลอย่างเป็นทางการ จะปรากฏเรื่องบางอย่างขึ้น

เฉินฉางเซิงไม่ทราบเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น ไม่ทราบว่าเงินของตัวเองทวีคูณไปหลายเท่า มันมากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจิงตูมากกว่าสิบปี แต่เขาจะอยู่ได้ถึงอีกสิบปีหรือเปล่าก็ไม่รู้

ถังซานสือลิ่วก็ไม่ทราบเรื่องพวกนี้เช่นกัน หรือจะพูดว่าไม่ได้สนใจก็เป็นได้ เงินที่เขาเดิมพันลงไปในพนันนั้น ในสายตาผู้อื่นคงคิดเป็นจำนวนมหาศาล แต่ความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่ค่าขนมไม่กี่เดือนของเขา การพนันเท่านี้ยากที่จะให้เขาจดจำ ส่วนทางด้านเวิ่นสุ่ยนั้นได้ทำอะไรลงไปบ้าง เขายิ่งไม่รู้เรื่องเลย

รถม้ากลับมาถึงสำนักฝึกหลวง

ฝูงชนจำนวนมากมาอยู่ที่ส่วนลึกของตรอกไป่ฮวา พื้นที่นี้เต็มไปด้วยความอึกทึกคึกคัก ได้ยินเสียงตะโกนแสดงความยินดีเกี่ยวกับเฉินอันดับหนึ่งเป็นครั้งคราว และมีอีกหลายเสียงที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างน่าสงสัย

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้เกี่ยวกับเฉินฉางเซิง แต่มันพูดถึงประตูของสำนักฝึกหลวงในตอนนี้

พวกเฉินฉางเซิงลงจากรถม้า มองดูประตูสำนัก รู้สึกตระหนกตกใจ ในใจพลางคิดไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?

ฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกตอนเช้าในคราวก่อน อาชาพันธุ์ดีของตระกูลเทียนไห่ตัวหนึ่ง ร่วงลงไปในธารน้ำ เหลือเพียงลมหายใจรวยรินเฮือกสุดท้าย พ่นฟองอากาศปนเลือดออกมาอยู่ตลอดเวลา ประตูสำนักฝึกหลวงถูกทำลายย่อยยับราวกับชุมชนร้าง

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประตูของสำนักฝึกหลวงก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ไม่มีการซ่อมแซม แม้แต่การเก็บกวาดยังไม่มี ยิ่งมายิ่งรกร้าง หากไม่ใช่เพราะจินอวี้ลวี่วนเวียนถือถ้วยชามานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ทุกวัน คงไม่มีใครดูออกว่าที่นี่เดิมเป็นสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง

นี่คือการทดสอบความแข็งแกร่งระหว่างใต้เท้ามุขนายกแห่งสำนักฝึกหลวง และพรรคใหม่ของนิกายหลวงภายใต้การนำของใต้เท้าสังฆราช หรือนั่นก็คือการวัดใจระหว่างคนเก่าแก่ที่ภักดีต่อราชสกุลเฉินกับตระกูลเทียนไห่ พลังแห่งทิฐิเหล่านี้สูงชันเหลือคณา ในที่สุดก็ตกลงมาจนได้ ผลลัพธ์กลับกลายเป็นการต่อสู้ที่แฝงมากับความเป็นเด็ก

อาจเป็นเพราะหนุ่มสาวของสำนักฝึกหลวงยังไร้เดียงสามาก รวมถึงพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความซับซ้อนในเรื่องนี้ พวกเขาแค่รู้ว่าประตูของสำนักถูกทำลายโดยตระกูลเทียนไห่ ดังนั้นก็ควรเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องมาซ่อมแซมให้

ตระกูลเทียนไห่ไม่มีทางที่จะซ่อมแซมให้ เพราะนั่นหมายถึงการยอมแพ้และนอบน้อม สำนักฝึกหลวงก็มิได้ซ่อมเช่นกัน ปล่อยให้จวนรกร้างหลังนี้ตั้งตระหง่านต่อหน้าผู้คนทั้งจิงตู หรือถึงกับปล่อยให้เป็นทิวทัศน์แปลกใหม่…นี่คือใจที่สู้อย่างไม่ลดละ ไม่มีใครยอมใครก่อนทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ช่างฝีมือสิบกว่าคนในชุดขุนนางที่แต่เดิมยืนล้อมรอบจวนรกร้างหลังนี้ ยังมีไม้พันธุ์ดีล้ำค่าและวัตถุดิบอัญมณีหายากกองอยู่บนพื้นว่างๆ ข้างประตู พวกเขาคล้ายกำลังจะซ่อมประตู มิน่าผู้คนถึงพากันวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ น่าตกตะลึงยิ่งนัก

ผู้ดูแลและควบคุมการซ่อมแซมประตู มิได้เหลือบแลพวกเฉินฉางเซิง เพียงแต่ทำตามคำสั่งเท่านั้น ประกาศก้องต่อหน้าฝูงชนว่าพวกเขากำลังจะทำอะไร

ตระกูลเทียนไห่จะซ่อมประตูให้?

ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นประตูหยกขาวอีกต่างหาก!

ตระกูลเทียนไห่ยอมแพ้แล้วจริงๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไร?

……

……

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนของฝูงชน กลุ่มเฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในสำนักฝึกหลวง จินอวี้ลวี่ยังคงเป็นเหมือนเดิม ต้มชาอยู่ข้างประตู ยกเก้าอี้มาวางไว้ และนอนเอนลงไป บอกกับพวกช่างฝีมือที่กำลังวัดสิ่งต่างๆ อย่างขะมักเขม้นว่าอย่ารบกวนตนเอง แล้วจึงเริ่มดื่มด่ำชมความงามของม่านฟ้ายามราตรี

ต้นไทรย้อยข้างสระน้ำ สนามหญ้าเพิ่งถูกฤดูวสันต์สาดซัดสีสันเขียวขจีลงไปได้เล็กน้อย ทั้งสามเดินไปยังทิศของหอตำรา เซวียนหยวนผ้อถามว่าคืนนี้กินอะไรดี แม้ว่าเนื้อหมักเกลือจะอร่อย แต่มันจะเค็มไปหรือไม่ ถังซานสือลิ่วบอกว่านี่มันวันอะไร คิดอะไรมากมาย ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ปากเขาจืดจนคลอดนกออกมา*ได้แล้ว เพิ่งพูดจบ นกป่าฝูงหนึ่งบินพึ่บพั่บออกมาจากป่า มุ่งหน้าไปยังสวนร้อยหญ้า

ไฟในหอตำราถูกจุดสว่างขึ้น สีอำพันทออร่าม แลดูอบอุ่น สำนักฝึกหลวงยังคงดุจเดิม เรียบง่ายไปบ้าง ทว่าสงบอย่างยิ่ง แม้การสอบใหญ่เพิ่งจะสิ้นสุดลง พวกเขาเผชิญหน้ากับเรื่องราวมากมาย ประสบความสำเร็จในหลายๆ อย่าง แต่ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝึกหลวงสำนักนี้หรือหนุ่มสาวทั้งสาม ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

เฉินฉางเซิงมองไปยังถังซานสือลิ่ว พูดประโยคแรกหลังจากกลับมาถึงสำนักฝึกหลวง “เจ๋อซิ่วไปไหนแล้ว? กระบี่เวิ่นสุ่ยเก็บกลับมาได้หรือไม่?”

“ถ้าเจ้าไม่ถาม ข้าเกือบลืมไปแล้ว เจ้าสู้กับโก่วหานสืออย่างไรถึงทำกระบี่ข้าบินไปได้ไกลขนาดนั้น? อย่าเอาแต่จ้องเอวของข้าได้หรือไม่? ชัดเจนขนาดนี้ ก็เพราะว่ามันไม่มี…อาจารย์ซินบอกว่ามันตกลงไปในเขตต้องห้าม ประเดี๋ยวอีกสองวันจะเอามาคืนให้”

ถังซานสือลิ่วพูดถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เจ๋อซิ่วพออาการดีขึ้นก็ลุกขึ้นมา ไม่ฟังคำเตือนของข้ากับลั่วลั่ว เขาออกไปจากพระราชวังศึกษา ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปไหน แต่ว่า…จากนิสัยเขาแล้ว ต้องมาหาเจ้าแน่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรเท่านั้น”

เขามองไปที่เฉินฉางเซิง ถามต่อไปว่า “เจ้ากับโก่วหานสือจริงๆ แล้วสู้กันอย่างไร? เจ้าทะลวงอเวจีจริงเหรอ? ถึงแม้ว่าจะทะลวงอเวจี เจ้าก็เป็นไม่ได้ที่จะชนะ! อย่างไรก็แล้วแต่ เจ้าทะลวงอเวจีแล้วจริงๆ เหรอ?”

ในคำถามเดียวพูดถึงคำว่าทะลวงอเวจีถึงสองครั้ง

ถังซานสือลิ่วจ้องมองเฉินฉางเซิง ดวงตาสุกสว่างประหนึ่งดวงดารา เรื่องการทะลวงอเวจีสำหรับเขาแล้ว มันช่างน่าทึ่งและน่าอิจฉามากกว่าการได้อันดับหนึ่งจากการสอบใหญ่ของเฉินฉางเซิงเสียอีก

ไม่เพียงแต่เขา พวกหนุ่มสาวอัจฉริยะที่รายนามปรากฏเป็นอันดับต้นๆ บนประกาศชิงอวิ๋นก็ด้วย สิ่งที่พวกเขาอยากทำมากที่สุด ก็คือก้าวข้ามขอบประตูบานนั้นให้เร็วที่สุดอย่างปลอดภัย

เฉินฉางเซิงคิดจะบอกว่าตนเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ฉับพลันได้ยินเสียงแว่วมาจากนอกหอตำราทางประตูสำนัก สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นผิดปกติ

เซวียนหยวนผ้อผลักประตูออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ผ่านไปสักพักก็กลับมาที่หอตำรา มือเกาหัวแกรกๆ รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจนักพลางกล่าวว่า “พวกเขาเริ่มซ่อมประตูแล้ว”

“ทำไมรีบร้อนปานนั้น?” ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้วพลางกล่าว “พวกตระกูลเทียนไห่จะทำอะไรกันแน่?”

พอถูกขัดจังหวะเช่นนี้ เฉินฉางเซิงเผลอหลงลืมไปว่าจะพูดอะไร กลายเป็นนึกถึงพระราชวังศึกษา เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยยอมแพ้เมื่อเจอกับลั่วลั่ว รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะมีสาเหตุอะไรสักอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่ทราบ

ทันใดนั้นหยาดฝนนอกหน้าต่างโปรยลงมา

สายฝนต้นฤดูวสันต์อันหนาวเหน็บตกกระทบบานหน้าต่าง ปราศจากสุ้มเสียง มีเพียงความเปียกชื้น

เฉินฉางเซิงนึกถึงฝนฤดูสารทที่ตก ณ หอชำระธุลีในวันนี้ พลันเงียบขรึมมากกว่าเดิม

ฝนฤดูใบไม้ร่วงเหล่านั้น เป็นฝีมือของใต้เท้าสังฆราช

อย่างไรก็ตาม ใต้เท้าสังฆราชเพราะเหตุใดถึงช่วยเขา? ไม่เพียงแต่ตัวเขาเป็นแค่คนไม่สำคัญ แม้ว่าจะเป็นคนสำคัญ แต่ปีนั้นใต้เท้าสังฆราชลงมือทำลายสำนักฝึกหลวงด้วยตัวเอง ทว่าบัดนี้เพราะเหตุใดถึงลงแรงช่วยสำนักฝึกหลวง?

เขาเริ่มสับสน เพิ่งตระหนักว่าเรื่องราวต่างๆ ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

การสอบใหญ่จบช้า กลับถึงสำนักฝึกหลวงดึกดื่น อาหารที่เซวียนหยวนผ้อทำยังคงเป็นอาหารพื้นๆ อย่างเคย มีเพียงเนื้อหมักเกลืออบน้ำตาลสามแผ่น ข้าวต้มน้ำชาสามชาม เมื่อเฉินฉางเซิงรู้สึกอิ่มแล้ว ความเหนื่อยล้าและความง่วงงุ่นก็เข้าครอบงำทั่วสรรพางค์ ยากที่จะหยัดกายนั่ง

“รีบไปพักผ่อนเถอะ!” เขากล่าวขณะลุกขึ้น

ถังซานสือลิ่วไม่พอใจอาหารของคืนนี้เป็นอย่างมาก กินไปพลางบ่นไปพลาง พอเห็นเขากำลังจะเดินจากไป ยิ่งไม่สบอารมณ์ เอ่ยขึ้น “แค่นี้?”

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจนัก ถาม “ไม่อย่างนั้นจะให้เป็นอย่างไร”

“โถ! วันนี้เจ้าเพิ่งได้อันดับหนึ่งของการสอบใหญ่! ตบหน้าคนที่ดูถูกเจ้าอย่างสาแก่ใจ อย่าทำตัวให้มันสงบขนาดนี้ได้หรือไม่?”

ถังซานสือลิ่วตะโกนขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าบอกไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ คืนนี้พวกเรากินอาหารไม่ต้องรักสุขภาพมาก แล้วร่ำเมรัยเมามายกันต่อ? ถ้าอยากดูการร่ายรำ แค่ข้าเรียกคำหนึ่งก็มีสิบกว่าวงมาให้เจ้าดู!”

เฉินฉางเซิงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเข้าใจว่าเวลานี้ควรมีการฉลองบ้าง อย่างนี้ถึงนับว่าเป็นคนปกติ เพียงแต่ว่าเมื่อครู่กินเนื้อหมักเกลืออบน้ำตาลไปสามแผ่น ถือเป็นการผ่อนปรนมากพอสำหรับเขาแล้ว เรื่องเมามาย เขารับไม่ได้จริงๆ

เขามองไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงหิมะที่หนาวเย็นเริ่มกระจัดกระจายหายไป ดวงดาวเด่นชัดมากขึ้น เวลาดึกดื่นค่อนคืน เขาหันกลับไปหาถังซานสือลิ่วแล้วพูดว่า “วันถัดไป ไม่สิ น่าจะพรุ่งนี้ ดื่มกับเจ้า…สักสองจอก?”

นั่นเป็นวันที่ประกาศรายชื่อของการสอบใหญ่

*เทศกาลชุนหมิง หมายถึง เทศกาลเชงเม้ง จัดพิธีการบวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ

*คลอดนกออกมา หมายถึง ไม่มีของอะไรที่อร่อยให้กิน อดอยากปากแห้ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset