ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 183 ก้มหัวลงจึงจะสวมมงกุฎได้

ภายใต้สายตานับหมื่น บุรุษผู้นั้นสืบเท้าขึ้นหน้าอย่างสงบเสงี่ยม อากัปกิริยาคล้ายกับว่าเกร็งอยู่บ้าง ทว่าสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี มิได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นมากนัก เขาก้าวเท้าหนักแน่น ชุดทางการของสำนักฝึกหลวงพะเยิบตามเล็กน้อย ชุดดังกล่าวไม่ถึงกับสีสันฉูดฉาดดึงดูดตา แต่ดูสะอาดสะอ้าน ดังเช่นความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อเขา

“นี่คือเฉินฉางเซิงเหรอ?”

บรรดาผู้คนที่ลานหน้าวังต้าหมิง ส่งเสียงไถ่ถามพลางวิพากษ์วิจารณ์

เฉินฉางเซิงเป็นคนดังในจิงตูมาก่อน หลายคนเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเขา รู้ประวัติความเป็นมาและสัญญาการหมั้นหมายของเขา แต่หลายคนกลับเพิ่งเห็นเขาเป็นครั้งแรกในวันนี้

จนถึงตอนนี้ หลายคนในจิงตูเพิ่งได้รู้จักตัวตนของเขาว่าเป็นคนอย่างไร สังเกตเห็นได้ว่าเขาไม่ใช่คุณชายเสเพลแบบถังซานสือลิ่ว ยิ่งไม่ใช่บุรุษหน้าหวาน แต่กลับให้ความรู้สึกเข้าถึงง่ายอย่างบอกไม่ถูก

เฉินฉางเซิงเดินขึ้นตามขั้นบันไดหินมาถึงหน้าโถง หันกายแล้วมองไปยังฝูงชนที่อยู่บนลาน

ข้างตัวเฉินฉางเซิงมีโต๊ะไม้ฟางอู บนโต๊ะมีมงกุฎดอกไม้หนามวางไว้อยู่ แสงอาทิตย์จากชั้นเมฆทะลุเลี่ยมขอบ ตกกระทบลงบนวงดอกไม้ สะท้อนออกเป็นแนวรัศมีจางๆ

วงดอกไม้หนามไม่มีทั้งทองและหยก แลดูไม่ค่อยมีราคา แต่นั่นกลับเป็นความหมายของความยากลำบากและชื่อเสียงเกียรติยศบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญ สำหรับนิกายหลวงเก่าแก่แล้วมันกลับมีความหมายอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของอันดับหนึ่งในขั้นหนึ่งของการสอบใหญ่อีกด้วย

ด้านหน้าวังต้าหมิงเริ่มเงียบลง ทุกคนรอคอยจังหวะนั้น

ผู้สอบ ขุนนาง และเหล่ามุขนายกที่ยืนอยู่หน้าโถง มองด้านหลังของเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่หน้าสุด

ต่างคนอารมณ์ย่อมแตกต่าง บ้างยินดี บ้างสงบ บ้างอิจฉาตาร้อน บ้างเย็นชา แต่ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ไหน ณ ขณะนี้ พวกเขาทำได้แค่รอมองดูเฉินฉางเซิงก้าวออกไปรับเกียรติยศอันหนักอึ้ง

สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ ประธานองคมนตรีที่รับผิดชอบในการให้รางวัลแก่ผู้เข้ารอบขั้นหนึ่งทั้งสามคน ไม่รู้ว่าถอยไปแทรกในกลุ่มฝูงชนตั้งแต่เมื่อไร เขามิได้ยืนอยู่หน้าโถงอย่างที่ควรจะเป็น แล้วอย่างนี้ ใครจะเป็นคนมามอบรางวัล?

ณ เวลานี้ แสงอาทิตย์จากกลางท้องฟ้าที่ตกทอดอยู่บนมงกุฎดอกไม้ ฉับพลันเกิดกระจัดกระจายเป็นเส้นไหมนับไม่ถ้วน แล้วหลอมรวมเป็นกลุ่มก้อนอยู่หน้าโถง นั่นเป็นกลุ่มก้อนของลำแสงอันกระจ่างบริสุทธิ์

เสียงโห่ร้องดังขึ้นทางด้านหน้าวังต้าหมิง

แสงเจิดจ้าค่อยๆ รวบเป็นหนึ่ง เงาร่างมหึมาปรากฏออก

นั่นคือผู้เฒ่าที่ใส่อาภรณ์ดั่งทวยเทพ ศีรษะสวมมงกุฎเทวา มือถือไม้เท้า

เพลงศักดิ์สิทธิ์บรรเลงขึ้น ลมหายใจที่โอ่อ่าดั่งเทพครอบคลุมไปทั่วลาน

เสียงโห่ร้องดังขึ้นไม่หยุด ทันใดก็เงียบลง

คนจำนวนมากต่างกราบไหว้ผู้เฒ่าท่านนี้ ฝูงชนที่ลานราวกับคลื่นเมื่อพากันก้มหมอบกราบ

คำนับแสดงความเคารพใต้เท้าสังฆราช

……

……

หลายปีที่ผ่านมานี้ใต้เท้าสังฆราชไม่ค่อยปรากฏตัวให้เห็นต่อหน้าผู้คน บัดนี้กลับมาถึงลานพิธีด้วยตัวเอง ทำให้ทุกคนต่างคาดไม่ถึง ตกตะลึงจนพูดไม่ออก เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?

เฉินฉางเซิงเป็นศิษย์ของสำนักฝึกหลวงมิใช่หรือ? สำนักฝึกหลวงไม่ใช่ว่าถูกใต้เท้าสังฆราชทำลายเองกับมือหรือ? ช่วงนี้นิกายหลวงอยู่ภาวะตึงเครียดเนื่องจากการปะทะระหว่างพรรคเก่าและใหม่มิใช่หรือ?

คนที่ปรากฏอยู่หน้าวังต้าหมิง นอกจากใต้เท้าสังฆราชแล้วยังมีผู้เฒ่าอีกท่านหนึ่ง…ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาของสำนักการศึกษากลางรับไม้เท้าจากใต้เท้าสังฆราชอย่างสงบ แล้วถอยไปด้านข้าง

ใต้เท้าสังฆราชใช้มือทั้งสองข้างหยิบมงกุฎดอกไม้หนามที่อยู่บนโต๊ะไม้ฟางอู เดินมาถึงหน้าเฉินฉางเซิง

ณ ขณะเฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ทราบว่าตนเองควรทำอย่างไร เฉินฉางเซิงมองไปยังใต้เท้ามุขนายก ใต้เท้ามุขนายกเพียงยกยิ้มแล้วพยักหน้า

ใต้เท้าสังฆราชมองเฉินฉางเซิง ยิ้มพลางกล่าว “หากเจ้าไม่ยอมก้มหัว ผู้ใดจะสวมมงกุฎให้ได้?”

ประโยคนี้เหมือนกับพูดถึงแค่เหตุการณ์ในตอนนั้น แต่ก็เหมือนมีความหมายอีกนัยหนึ่ง ทว่าเฉินฉางเซิงไม่มีเวลาขบคิด เขารีบคุกเข่า แล้วก้มหัวลง

ใต้เท้าสังฆราชวางมงกุฎดอกไม้หนามบนศีรษะเขา จัดการขยับให้เข้าที่จนรู้สึกพอใจ ค่อยกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่ากิ่งไม้นี้มันไม่สวยงามมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่รู้ว่าคนแต่ก่อนเขาคิดได้อย่างไร ทว่าพอสวมบนศีรษะเจ้า กลับให้ความรู้สึกสดชื่นดี ไม่เลวเลยทีเดียว”

เฉินฉางเซิงในตอนนี้ยังคงอยู่ในสภาพตกตะลึง มิได้ตระหนักถึงคำพูดที่แฝงเร้นไปด้วยนัยของใต้เท้าสังฆราช แต่อย่างน้อยเขาก็ได้ยินคำชมจากใต้เท้าสังฆราช

ไม่เลว? จะมีสักกี่คนที่ถูกใต้เท้าสังฆราชชื่นชม? เขารู้แค่ว่าม่ออวี่และเฉินหลิวอ๋องเคยได้รับคำชื่นชมระดับนี้ ตอนนี้ถึงตาตนเองหรือ?

“ขึ้นมาเถิด” ใต้เท้าสังฆราชกล่าว

เฉินฉางเซิงยืนขึ้นมาตามคำพูด เงยหัวขึ้น เอามือลูบมงกุฎดอกไม้หนาม เมื่อสัมผัสถึงความแข็งแกร่งจึงมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริง ค่อยใจเย็นลง

เห็นท่าทางของเขาแล้ว ใต้เท้าสังฆราชหัวเราะออกมา

เฉินฉางเซิงเพิ่งได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของใต้เท้าสังฆราชเต็มตา

สังฆราชเป็นผู้เฒ่าท่านหนึ่ง มีใบหน้าที่แก่ชรา

ใบหน้าใบนี้ปกติ จุดที่พิเศษมากที่สุด คือนัยน์ตาของเขาลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง เหมือนเป็นบ่อน้ำลึก ทว่ามิได้น่ากลัวแต่อย่างใด เพราะในนั้นราวกับมีฟ้าสีครามทะเลสีมรกต ที่สำคัญยังมีแสงแดด

ทะเลในดวงตาของสังฆราชสงบไร้ระลอกคลื่นเหมือนกระจกที่ถูกส่องด้วยแสงอาทิตย์ ฟ้ามรกตไร้ขอบเขต ไม่ทราบว่าลึกแค่ไหน กว้างขนาดไหน หากเกิดไม่มีแสงแดด ลมพัดโชยมา แน่นอนว่าต้องเกิดคลื่นที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง แต่ตอนนี้ยังคงมีแสงแดด ไม่ปรากฏลมฝน ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นเพียงความเมตตาและสงบสุข

เฉินฉางเซิงเพิ่งเคยเห็นสายตาที่เป็นเช่นนี้ เพียงชั่วพริบตา เขาพลันรู้สึกร่างกายอบอุ่นขึ้น ในจิตใต้สำนึก เขาอยากจะย่างกรายเข้าไป ณ ทะเลอันอบอุ่นแห่งนี้ ท่องเที่ยว หรืออาจเป็นพักผ่อน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าใด เขาหลุดจากภวังค์

หลังตื่นขึ้น สัมผัสของวงดอกไม้หนามผ่านนิ้วมือ เขาถึงรู้ว่า มันผ่านไปเพียงชั่วครู่ มือของเขายังมิได้วางลงมา

โลกแห่งจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่กว้างขวางนี้ ทำให้ผู้คนทั้งสรรเสริญและยำเกรง

ตอนนี้ เฉินฉางเซิงเพิ่งจะตื่นขึ้นมาจริงๆ ตระหนักว่าผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ต่อหน้าตัวเอง เป็นการมีอยู่ที่สูงสุดของเหล่ามนุษย์ ได้เข้าถึงเขตแดนของเทวาศักดิ์สิทธิ์แล้ว เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

เขาไม่ทราบควรตอบสนองอย่างไร อยู่ดีๆ ก็นึกถึงฝนฤดูใบไม้ร่วงที่ตกที่หอชำระธุลี แม้ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดใต้เท้าสังฆราชถึงช่วยเหลือตน แต่เขาก็ได้รับความช่วยเหลือนี้ไปแล้ว

“ขอบพระคุณท่าน” เฉินฉางเซิงทำความเคารพใต้เท้าสังฆราชอย่างเป็นทางการ

ใต้เท้าสังฆราชมองเฉินฉางเซิงด้วยสายตาเอ็นดู ยื่นมือลูบหัวเขาเบาๆ ค่อยกล่าว “เด็กที่น่าสงสาร…เด็กดี…มาหาข้าอีกครั้งในสองสามวันถัดไปเถิด”

จบประโยค เขาส่งสัญญาณให้เฉินฉางเซิงหันตัวกลับ

เฉินฉางเซิงรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เพียงหันตัวตาม เผชิญหน้ากับเหล่าฝูงชนนับพันนับหมื่นคนที่อยู่เบื้องหน้าวังต้าหมิง

ใต้เท้าสังฆราชกอบกุมมือขวาของเฉินฉางเซิง ค่อยๆ ชูขึ้นฟ้า

ในลานเงียบสงัดอย่างกะทันหัน จากนั้นเสียงยินดีดั่งฟ้าผ่าก็ระเบิดขึ้น ราวกับต้องการจะฉีกท้องฟ้าทิ้ง

……

……

ใต้เท้าสังฆราชกลับไปแล้ว ใต้เท้ามุขนายกก็กลับไปเช่นกัน

ขุนนางรวมถึงเหล่ามุขนายกชุดแดงที่อยู่หน้าโถงต่างพากันเดินเข้ามาหาเฉินฉางเซิง จ้องมองเขาด้วยความเอ็นดู กล่าวทั้งคำยินดีและตักเตือน มีคนสัญญากับเขาว่าหากสำนักฝึกหลวงมีปัญหาอะไรให้ไปหาเขาได้ทันที ราวกับแสดงตนเป็นผู้อุปถัมภ์ แม้กระทั่งประธานองคมนตรีอวี้เหวินจิ้งยังมาพูดคุยกับเขาสักสามประโยคเห็นจะได้

เมื่อวาน สำนักฝึกหลวงได้รับเทียบเชิญและรายการของกำนัล เป็นเพราะว่าเหล่าผู้มีอิทธิพลได้ทราบรายละเอียดบางอย่างของการสอบใหญ่ อย่างเช่นฝนฤดูใบไม้ร่วง…แม้พวกเขามองสถานการณ์ไม่ออก แต่ก็ต้องเตรียมตัวล่วงหน้า…วันนี้ใต้เท้าสังฆราชเดินทางมาด้วยตนเอง ทั้งยังแสดงออกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฉางเซิง พวกเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร อย่างน้อยก็ต้องแสดงความเป็นมิตรต่อหน้าบ้าง

ผู้สอบคนอื่นๆ แน่นอนว่าไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้เช่นเฉินฉางเซิง พวกเขายืนอยู่ด้านนอกมองเฉินฉางเซิงที่ถูกล้อมรอบด้วยเหล่าผู้มีอิทธิพล บางคนมีสีหน้าชื่นชมอิจฉา บางคนรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ถังซานสือลิ่วพูดกับกวนเฟยไป๋ว่า “ถ้าคนที่ได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งต้องเป็นแบบนี้ ข้าไม่เอาดีกว่า”

“ข้าก็ไม่เอาเช่นกัน…” กวนเฟยไป๋กล่าวสมทบ แล้วจู่ๆ เกิดรู้สึกตัวขึ้นมา เอ่ยขึ้น “ว่าแต่ พวกเราสนิทสนมกันปานนั้นเชียว? แล้วอีกอย่าง น้ำหน้าอย่างเจ้ามีหรือจะได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่ง?”

“การต่อสู้จบไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่ายังแบ่งฝักแยกฝ่าย เจ้าไม่คิดหรือว่าเวลานี้พวกเราสมควรจะเห็นใจเฉินฉางเซิงผู้น่าสงสารสักหน่อย?”

ถึงถังซานสือลิ่วจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าไปช่วยเฉินฉางเซิง พวกนั้นเป็นเหล่าผู้มีอิทธิพล ปู่ของเขามาว่าไปอย่าง ยศถาบรรดาศักดิ์ของเขายังห่างชั้นอีกไกล

เฉินฉางเซิงไม่คุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้ โดยเฉพาะกลิ่นน้ำหอมบนตัวของเหล่าผู้มีอิทธิพล ทว่าเขาควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก ไม่สามารถหาจุดด่างพร้อยด้านกิริยามารยาทของเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ หน้าโถง จู่ๆ ก็เงียบลง ผู้คนที่ล้อมรอบเขาค่อยๆ ขยับออกไป บนทางเดินเห็นเพียงสวีซื่อจีเดินออกมาจากกลุ่มคน

สวีซื่อจีเป็นขุนพลเทพตงอวี้ที่ได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับบุตรีประเสริฐ ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ของเขาในราชสำนักก็ไม่ธรรมดาตั้งแต่ไหนแต่ไร ขณะนี้บรรดาผู้มีตำแหน่งหน้าที่เดียวกันรวมถึงเหล่าใต้เท้ามุขนายกต่างหลีกทางให้เขา ล้วนไม่ใช่เป็นเพราะสาเหตุดังกล่าวเหล่านั้น ทว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างเขากับเฉินฉางเซิง

เหล่าผู้มีอิทธิพลที่ก่อนหน้านี้คุยกับเฉินฉางเซิงเสมือนว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ถ้าจะพูดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ ในจิงตูก็มีเพียงคู่สามีภรรยาสวีซื่อจีที่นับได้ว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเขาจริงๆ และที่สำคัญที่สุด ความโกลาหลเรื่องสัญญาสมรส ผู้คนต่างก็อยากรู้ว่าสวีซื่อจีเมื่อเจอหน้าเฉินฉางเซิงจะพูดอะไรบ้าง มีหลายคนเตรียมพร้อมที่จะหัวเราะเยาะหยันรอดูความอับอายของสวีซื่อจี

หน้าโถงเงียบสงบ

สวีซื่อจีค่อยๆ เดินมาออกจากฝูงชน เขายืนอยู่หน้าเฉินฉางเซิง วางตัวเหนือโลกอย่างไม่แยแสสรรพสิ่ง

เฉินฉางเซิงทำความเคารพ แต่มิได้กล่าวสิ่งใด

“การแสดงความสามารถระหว่างการสอบใหญ่…ไม่เลวเลยทีเดียว” สวีซื่อจีจ้องมองตาเขาแล้วเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสุขุมตามฉบับผู้อาวุโส แต่พอผู้คนได้ยินแล้ว กลับรู้สึกว่ามันออกจะแข็งกระด้างเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงขบคิดไปมา ยังมิได้ตอบคำ

สวีซื่อจีเลิกคิ้ว พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “คืนนี้มากินข้าวบ้านข้า”

คำพูดพอกล่าวออก บันดาลให้เกิดเสียงอื้ออึงไปทั่วทั้งบริเวณลาน

ไม่มีผู้ใดกล่าวกระไร ทว่าหลายคนกลับอดไม่พอใจไม่ได้ โดยเฉพาะบรรดาขุนนางพรรคเก่า ยิ่งก่นด่าในใจอย่างไม่หยุดว่าหนังหน้าของคนผู้นี้นั้นหนายิ่งกว่ากำแพงพระราชวังเสียอีก

นับเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง เฉินฉางเซิงหยุดคิดสักพักจึงตอบกลับไปว่า “ตกลงขอรับ”

สวีซื่อจีจ้องเข้าไปในตาเขา ยืนยันว่าเฉินฉางเซิงเข้าใจคำเชิญของตนและตอบตกลงอย่างแท้จริง สีหน้าพลันเป็นมิตรขึ้น พยักหน้าใส่เขาแล้วหันหลังเดินออกไป

หลังจากประกาศอันดับของการสอบใหญ่แล้ว เป็นการเดินขบวนตามระเบียบ

เฉินฉางเซิงเป็นผู้นำ เหล่าผู้สอบนั่งบนรถลากที่จัดไว้ให้ อยู่ในท่ามกลางวงล้อมของฝูงชน เดินขบวนตามทางเดินเลียบแม่น้ำลั่วในนครจิงตู เดินวนหนึ่งรอบ อย่างน้อยใช้เวลาสองชั่วยาม*

ทั้งเมืองอยู่ในบรรยากาศแห่งความคึกคัก

ดอกไม้สดและผลไม้ถูกโยนขึ้นไปบนรถลากเป็นครั้งคราว เฉินฉางเซิง โก่วหานสือ กวนเฟยไป๋ ถังซานสือลิ่ว รถลากของทั้งสี่คน มีดอกไม้และผลไม้โยนขึ้นไปมากที่สุด หากไม่ใช่เป็นเพราะราชสำนักมีประสบการณ์ ออกคำสั่งให้ทหารจำนวนมากคอยเก็บอยู่รอบนอก พวกเขาคงถูกฝังด้วยดอกไม้และผลไม้ไปแล้ว

พอวนถึงมุมตะวันตกเฉียงใต้ เฉินฉางเซิงรู้สึกกระหายน้ำ ไม่ได้คิดอะไรมาก หยิบแตงหวานที่อยู่ข้างกายขึ้นมากัดคำหนึ่ง รู้สึกเพียงแค่ว่ามันหอมหวานกรุบกรอบ สบายท้อง แต่คิดไม่ถึงว่าการกระทำของตนนั้น ทำให้เกิดฝนแตงหวาน โจมตีเสียจนเอามือกุมหัวแทบไม่ทัน

ละสายตาจากฝนแตงหวานลงมาที่พระราชวัง เขามองเห็นหอหลิงเยียน ทั้งยังมองเห็นแท่นกานลู่อีกด้วย เขารู้สึกตลอดเวลาว่าฝั่งแท่นกานลู่มีจุดสีดำจุดหนึ่งเป็นแกะดำ

เขาโบกมือไปทางนั้น จากนั้นเขาเห็นซวงเอ๋อร์สีหน้าซับซ้อน พลางนึกถึงมื้ออาหารคืนนี้ มือที่กำลังโบกอยู่พลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา

*1 ชั่วยามประมาณ 2 ชั่วโมง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset