ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 185 มื้อครอบครัว

จวนของขุนพลเทพตงอวี้เงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง โถงนอกโถงใน นอกจากเสียงฝีเท้าและเสียงเสียดสีของเสื้อผ้าแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก กระทั่งเสียงกระแอมไอก็ไม่มี นี่อาจเป็นธรรมเนียมประจำบ้านชนิดหนึ่ง

หินที่ปูบนพื้นก็เช่นกัน ต้นไม้ในจวนก็เช่นกัน ใหญ่โต เหยียดยาว และตรงดิ่ง ระหว่างกิ่งไม่ค่อยปรากฏใบไม้สีเขียวแต่งแต้ม ล้วนแต่เงียบสงบไร้วาจา ทั้งเย็นชาและเยือกเย็น

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองดูของใช้บนโต๊ะอาหารซึ่งเป็นเครื่องลายครามแฝงกลิ่นอายของความมีอายุ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร..ตั้งแต่เข้าจวนมา ยังไม่มีอะไรที่น่าชวนเสวนาพูดคุย

สวีซื่อจีและฮูหยินนั่งที่หัวโต๊ะ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับแขก ท่ายายฮวายืนอยู่ด้านข้างรอรับใช้อย่างเงียบๆ คนวางอาหารคือซวงเอ๋อร์ผู้หยิ่งยโสถึงที่สุด

ในโถงมีแค่ห้าคนนี้ นอกโถงคนที่รอรับใช้กลับมีจำนวนไม่น้อย ผู้ดูแลหญิงจำนวนหนึ่งจ้องมองรอบๆ อย่างเคร่งครัด เหล่าสาวรับใช้ยกจานอาหารเข้ามาต่อเนื่อง กระโปรงแดงพลิ้วพะเยิบข้ามธรณีประตูสูงๆ อย่างง่ายดายยิ่ง

จานชามที่พวกสาวใช้ยกเข้ามามีน้ำส้มเขียวหวาน มีผ้าเช็ดสองแบบทั้งร้อนและเย็น ตะเกียบงาช้างและไม้แดงแกะสลักรูปเสือ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว จานที่เป็นอาหารมีน้อยกว่ามาก

มื้อเย็นของจวนขุนพลเทพตงอวี้ในคืนนี้ค่อนข้างเรียบง่าย มีหมูแผ่นสี่เหลี่ยมรมควัน ปลาแม่น้ำสดนึ่งหัวหอมและขิง มีซุปลวกต้นกล้าถั่วงอก สีสันอาหารน่ารับประทาน ทว่าธรรมดายิ่ง ไม่มีปลาทะเลหายากที่พบเจอทั่วไปในมื้ออาหารของจวนที่มีบรรดาศักดิ์สูงส่งในนครจิงตู ไม่มีซุปต้มตุ๋นกระดูกมาร รวมถึงจานก็มีจำนวนน้อย

บอกว่าเป็นมื้อครอบครัวก็เป็นมื้อครอบครัวธรรมดาจริงๆ

เฉินฉางเซิงพอจะเข้าใจว่าจวนสวีวางท่าทีแบบนี้เพื่ออะไร ทำได้แค่นิ่งเงียบ ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร แต่กระนั้นก็สังเกตได้ว่า จวนสวีนอกจากจะไม่มีสัตว์ปีกหายากแล้ว แค่เนื้อไก่ธรรมดายังไม่มี ขนาดน้ำจิ้มหลักๆ สิบอย่าง ยังไม่เจอน้ำจิ้มท้องเป็ดที่พบได้ทั่วไป

เขาสงสัยเล็กน้อย แต่มิได้เปิดปากถาม

พอวางจานอาหารครบหมดแล้ว ฮูหยินสวีก็เริ่มเปิดปากสนทนากับเขา ลักษณะก็เหมือนมื้อครอบครัวนี้ เป็นคำพูดไม่จืดไม่เค็ม ไม่ได้กล่าวถึงทิฐิที่ผ่านมา

อาหารมื้อนี้ผ่านไปแบบไม่มีรสชาติใดๆ จวนขุนพลเทพตงอวี้ยังคงสงบเงียบเช่นเดิม

ฮูหยินสวีมองสวีซื่อจี ยกไหสุรา เติมลงจอกสุราของเฉินฉางเซิงจนเต็ม

นี่คือสุราจอกที่สองของเฉินฉางเซิงในคืนนี้

เขากล่าวขอบคุณ

สวีซื่อจียกแก้วสุรา มองดูเขา แล้วยกดื่มหมดจอก

เฉินฉางเซิงก็ดื่มหมด

ฮูหยินสวีรินสุรา

สวีซื่อจีดื่มอีก

เฉินฉางเซิงดื่มด้วย

ฮูหยินรินสุราอีก

สวีซื่อจีถือจอกสุรา มองเฉินฉางเซิงด้วยสีหน้าไม่บ่งอารมณ์ “ข้ายอมรับ แต่ไหนแต่ไรมา ก็มิได้มีความปรารถนาดีใดๆ ต่อเจ้า”

เฉินฉางเซิงเงียบขรึม มิได้กล่าววาจา

สวีซื่อจีพูดอย่างไม่ใส่ใจต่อ “แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครก็ตามต้องยอมรับว่า ข้าไม่ได้คิดปองร้ายกับเจ้า ไม่เช่นนั้น เจ้าคงไม่ได้มีชีวิตจนถึงทุกวันนี้ในนครจิงตู อีกทั้งยังสามารถนั่งอยู่ต่อหน้าข้า”

เฉินฉางเซิงยังคงไม่ได้พูดอะไร เขาลุกขึ้นมา หยิบจดหมายฉบับหนึ่งจากอก วางไว้บนโต๊ะ

จดหมายกระดาษฉบับนั้นมีความหนาอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นของใหม่ แม้จะมองไม่เห็นว่าข้างในคืออะไร แต่ทุกคนล้วนประจักษ์แก่ใจดีทั้งสิ้น สิ่งของข้างในแน่นอนว่าต้องเป็นของเก่า

ฮูหยินสวีหน้าเปลี่ยนสี ท่านยายฮวาก็วิตกกังวลเช่นกัน มีแค่ดวงตาของซวงเอ๋อร์ที่ลุกวาวขึ้นมา

“เจ้า…นี่หมายความว่าอย่างไร?”

สวีซื่อจีหรี่ตามองเขาด้วยใบหน้าเย็นชา ค่อยๆ วางจอกสุราในมือลง แม้จะเชื่องช้า แต่จังหวะที่ก้นแก้วกระทบกับโต๊ะนั้น กลับมีเสียงกระแทกกระทั้นอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้าไม่ได้มีความหมายอะไร แค่อยากจบเรื่องเรื่องหนึ่ง จริงๆ แล้วเรื่องนี้ควรจบไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะว่ามีความเข้าใจผิดบางอย่าง ถึงไม่จบสักที…”

เฉินฉางเซิงมองไปที่สวีฮูหยิน ท่านยายฮวา และซวงเอ๋อร์ พูดอย่างแน่วแน่ “ตอนนั้นข้าไม่ได้พูดโกหก ข้าเข้าเมืองมาเพื่อถอนการสมรส เพียงแต่พวกท่านไม่ยอมเชื่อ”

จบประโยค มองดูจดหมายหนักอึ้ง สวีฮูหยินหน้าเปลี่ยนสีเป็นไม่น่าดูยิ่ง ท่านยายฮวายิ่งมายิ่งกังวล ซวงเอ๋อร์ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

“เข้าใจผิด?” สวีซื่อจีมองตาของเฉินฉางเซิง สีหน้าเย็นชา กล่าว “ทั้งหมดหนึ่งปี จิงตูเกิดเรื่องราวมากมาย ต้าลู่สับสนวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เป็นเพียงเพราะเข้าใจผิดเรื่องเดียว?”

เฉินฉางเซิงมิได้ตอบคำถามของเขา ทว่ากลับมองไปที่สวีฮูหยิน ทำความเคารพทีหนึ่งแล้วกล่าว “ฮูหยิน ท่านเคยพูดบางอย่างไว้ ข้าไม่ได้จงใจจะมาทักท้วงว่าสิ่งที่ท่านพูดไว้หนึ่งปีที่แล้วเป็นเรื่องผิด ข้าแค่คิดว่า ตอนนี้ท่านคงมิได้มองว่าข้าเป็นนักบวชหนุ่มบ้านนอกคนเดิมที่เปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อคิดสานสัมพันธ์ เพราะฉะนั้น ถึงเวลาที่ข้าจะทำเรื่องนี้ให้จบแล้ว”

ในโถงเงียบสงัด น้ำส้มเขียวหวานประหนึ่งสุราเข้มข้นสะท้อนแสงไฟ ในบรรยากาศชนิดนี้ ไม่มีผู้ใดเปล่งวาจา นอกประตูลมกลางคืนโชยพัดมาแผ่วเบา กลับสร้างความตึงเครียดยิ่ง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สวีซื่อจีมองเฉินฉางเซิงพลางเย้ยหยัน “เจ้าได้ทำอะไรลงไป กระทั่งไม่เกรงกลัวในการเข้าไปอยู่ในคลื่นยักษ์ที่เจ้าไม่แม้จะมีสิทธิ์แตะต้อง แท้จริงแล้วเป็นเพียงเพราะเพื่อคำพูดฮูหยินของข้า เพราะความมีเกียรติในตนเองอันน่าเวทนาขบขัน?”

เฉินฉางเซิงใช้เวลาสักพักในการไตร่ตรองอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงอันใด ค่อยตอบกลับไปว่า “ความมีเกียรติในตัวเองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง แต่ข้าคิดว่ามันไม่น่าขัน และยิ่งไม่น่าเวทนาด้วยซ้ำ”

สวีซื่อจีค่อยๆ ลุกขึ้นมา มือไพล่หลัง ร่างกายอันแข็งแกร่งดั่งภูผาค่อยๆ เคลื่อนมาด้านหน้า ทว่าส่วนลึกกลับยากจะรับความกดดัน จ้องตาเฉินฉางเซิง พูดทีละคำทีละประโยคว่า “ได้ที่หนึ่งของขั้นหนึ่ง เข้าตาใต้เท้าสังฆราช เจ้าคิดว่า…เช่นนี้จะสามารถพิสูจน์ว่าตนเองเก่งกาจกว่าชิวซานจวินหรือ? ใช้ชัยชนะของตนเองเพื่อทำเป็นถอนหมั้นน่ะหรือ?”

เฉินฉางเซิงชะงักไปนิดหนึ่ง ใจคิดว่าตัวเองไม่เคยคิดเช่นนี้ ต้องการจะอธิบายสักประโยคสองประโยค กลับสังเกตเห็นว่าเรื่องส่วนตัวชนิดนี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ขณะกำลังขบคิด สวีซื่อจีหันหลังกลับออกไปจากโต๊ะอาหาร สักพักถือเอกสารฉบับหนึ่งกลับมา โยนไปที่ด้านหน้าของเฉินฉางเซิง

“ดูเอาเองเถอะ”

สวีซื่อจีมองเฉินฉางเซิงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “นี่ไม่ใช่ความลับอะไรแล้ว พรุ่งนี้ทั้งต้าลู่จะได้รู้กันถ้วนทั่วว่าเพราะเหตุใดปีนี้ชิวซานจวินไม่ไปเข้าร่วมการสอบใหญ่”

ท่านยายฮวาและซวงเอ๋อร์ล่าถอยออกไปอย่างเงียบๆ

เฉินฉางเซิงทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่ากว่าหยิบเอกสารที่อยู่บนโต๊ะแล้วเปิดออก ไล่ตามตัวอักษร สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง กลายเป็นซับซ้อนยิ่งขึ้น พลันแจ่มแจ้งว่าเพราะเหตุใดสวีซื่อจีถึงพูดเช่นนั้น

การสอบใหญ่ปีนี้เป็นครั้งที่คึกคักมากที่สุดในสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นปีใหญ่ที่ปราศจากครหาใดๆ ถ้าจะพูดว่ามีอะไรที่น่าเสียดาย น่าจะเป็นการไม่มาปรากฏตัวของชิวซานจวินและสวีโหย่วหรง

จากสายเลือดพรสวรรค์แต่กำเนิดและจุดเด่นที่ซ่อนเร้นในตัวของชิวซานจวินและสวีโหย่วหรง แน่นอนว่าไม่ต้องผ่านการสอบใหญ่ ก็ได้รับสิทธิ์ในการชมของสุสานเทียนซู เพียงแต่ผู้คนล้วนอยากเห็นพวกเขาในการสอบใหญ่

หลายคนคิดว่าปีนี้ชิวซานจวินจะเข้าร่วมการสอบใหญ่ แต่ที่ไม่ปรากฏตัว หรือว่าเพราะสวีโหย่วหรงไม่เข้าร่วม มีความเป็นไปได้สูงมาก นั่นก็เพราะสัญญาสมรสของสวีโหย่วหรงและเฉินฉางเซิง

พอถึงตอนนี้ เมื่อได้อ่านเอกสารที่เพิ่งถูกจัดระเบียบออกมาฉบับนี้ เฉินฉางเซิงก็เพิ่งรู้สาเหตุที่ชิวซานจวินไม่เข้าร่วมการสอบใหญ่ ใคร่ครวญเงียบๆ สุดท้ายกลับเป็นตนเองที่อดกล่าวคำว่าน่าเลื่อมใสยิ่งไม่ได้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset