ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 31 สตรีที่รับไม่ได้ บุรุษที่ไร้ยางอาย

ดวงตะวันตรงที่ห่างไกลลอยแขวนอยู่ข้างเส้นขอบฟ้าของที่ราบทุ่งหญ้า ต่ำเกินไป ในเส้นสีดำที่เกิดจากคลื่นสัตว์อสูร มีอสูรปีศาจที่บินได้จำนวนมากบินออกมา ปิดบังเส้นแสงนั่นไว้ ฟ้าดินค่อยๆ มืดมน

อยู่บนแท่นสูงของสุสาน ในใบอู๋ถงที่เขียวขจี เงาสะท้อนหลายหลาก ตกลงบนตัวของพวกเขา ราวกับเวลากลางคืนมืดสนิทกำลังจะมาถึงล่วงหน้า

สีสันของค่ำคืนมักจะเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายและจุดจบ แต่ในเวลาส่วนใหญ่ก็เป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัย ภายใต้การปิดบังของแสงกลางคืน ผู้คนกล้าที่จะทำสิ่งที่ไม่กล้าทำในเวลาปกติ กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่เวลาปกติไม่กล้าเปิดเผย กล้าที่จะพูดในสิ่งที่เวลาปกติไม่กล้าพูด

คำพูดเหล่านั้นมักจะเป็นคำพูดจริง ล้วนเป็นความจริงในใจ

เวลานี้ พวกเขามองหน้ากันและกันไม่ชัดแล้ว เห็นได้แค่ดวงตาของฝ่ายตรงข้าม ดีที่ดวงตาของพวกเขาล้วนใสสะอาดมาก ล้วนสว่างไสวมาก เฉินฉางเซิงจ้องมองดวงตาของนางแล้วเงียบขรึมเป็นเวลานาน จู่ๆ ก็พูดว่า “ที่จริงแล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่หลอกเจ้า”

สวีโหย่วหรงตกตะลึงเล็กน้อย ถามด้วยเสียงเบาว่า “เรื่องอะไร?”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตอบตรงๆ พูดว่า “ที่ข้าตอนนั้นเลือกที่จะหลอกเจ้า เป็นเพราะว่า…ข้ามีสัญญาสมรสอยู่บนตัว”

หลังจากพูดประโยคนี้ออกมา เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก อีกทั้งเขายังมั่นใจว่าตัวเองเพราะเหตุใดถึงรู้สึกผ่อนคลาย

สวีโหย่วหรงเงียบขรึมเป็นเวลานานหลังได้ยินประโยคนี้ ไม่รู้ทำไม รู้สึกหดหู่เล็กน้อย กลับไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกห่อเหี่ยวไม่ชื่นบาน

เรื่องราวความกล้าหาญเช่นนี้ครั้นเอาออกจากถุงแล้วก็จะเริ่มปลดปล่อยแสงสีฉูดฉาดและวาวโรจน์ ยากที่จะเอามันกลับมาไว้ในถุง และยากมากที่จะให้มันกลายเป็นมืดมนไร้แสงอีกครั้ง

เฉินฉางเซิงมองตาของนาง พูดต่อไปว่า “แต่ข้าไม่อยากสมรสกับนาง ข้าจะถอนหมั้น”

นี่เป็นการเพิ่มเติม เป็นการอธิบาย เป็นการประกาศ เป็นคำมั่น แม้ระหว่างเขาและนางไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าฝ่ายตรงข้ามมีความคิดอย่างไร แต่ในเมื่อเขาใจเต้นก่อนแล้ว ฉะนั้นก็ต้องทำเรื่องพวกนี้ให้ชัดเจน ก็เหมือนกับที่ศิษย์พี่ชายเคยพูดเช่นนั้น มีเพียงทำการอย่างสะอาดหมดจด ถึงจะได้รับผลลัพธ์ที่สวยงาม

สวีโหย่วหรงรู้สึกว่าดวงตาของเขาสว่างไสวเกินไป ก้มหน้าลงไป คิดในใจด้วยความรำคาญใจเล็กน้อย เรื่องเช่นนี้พูดกับข้าทำไม?

จากนั้นก็มหัศจรรย์มาก นางนึกถึงคู่หมั้นคนนั้นของตัวเอง เจ้าคนผู้นั้นใช้ทุกวิถีทางเพื่อสมรสกับตัวเอง…ใช่ จนถึงตอนนี้ นางไม่ยอมรับไม่ได้ว่าคู่หมั้นของตัวเองยอดเยี่ยมมาก เก่งกาจยอดเยี่ยมเกินกว่าที่ตัวเองจินตนาการเอาไว้ แต่เล่ห์กลในใจของเจ้าคนผู้นั้นล้ำลึกเกินไป เสแสร้งเกินไป จะจริงใจน่าพึ่งพิงเหมือนลูกศิษย์พรรคภูเขาหิมะผู้นี้เสียที่ไหน

ทำไมตัวเองถึงเอาเขาไปเทียบกับเจ้าคนนั้นกัน?

นางจู่ๆ ก็นึกถึงจุดนี้ จู่ๆ พลันรู้สึกจิตใจอยู่ไม่สุข ถามว่า “ทำไมเจ้าไม่สมรสกับ…ผู้หญิงคนนั้น?”

นางถามคำถามนี้ เป็นเพราะอยากปิดบังการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตัวเอง เพราะอยากให้ตัวเองไม่ไปคิดเรื่องที่เขินอายเล็กน้อยเหล่านั้น และก็เพราะนางอยากรู้จริงๆ ว่าที่แท้แล้วเขาชอบผู้หญิงแบบไหน ไม่ชอบผู้หญิงแบบไหน

เฉินฉางเซิงเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “คู่หมั้นของข้า นางมีชื่อเสียงมากในที่แห่งนั้นของพวกข้า”

สวีโหย่วหรงใจคิด พื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือทุรกันดาร ตระกูลผู้ดีที่เคยรุ่งเรืองเหล่านั้นเสื่อมถอยแล้ว ที่แท้จิตใจคับแคบฝังกะโหลก จะมีชื่อเสียงอย่างไรก็ไม่เท่าไหร่ นางนั้นไม่เข้าใจ

“นาง…ทะนงมาก”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีกอย่างตั้งใจ แม้เขาจะรังเกียจผู้หญิงคนนั้น กลับไม่อยากพูดเรื่องไม่ดีของนางต่อหน้าผู้หญิงคนอื่น หลังจากตระเตรียมคำศัพท์ไปพักใหญ่ ก็พูดต่อไปว่า “สาเหตุอาจเป็นเพราะฐานะ ตระกูล สภาพแวดล้อมตั้งแต่เด็กต่างกัน นางจึงทะนงมากจริงๆ ไม่ได้บอกว่านางสูงส่งเท้าไม่ติดพื้นชี้มือชี้ไม้สั่งคนอื่น แต่หมายถึงนางคุ้นชินกับการจัดการเรื่องทั้งหมดภายใต้สายตาสูงส่งมองลงเบื้องล่าง…รวมถึงข้า”

สวีโหย่วหรงไม่ชอบคุณหนูตระกูลผู้ดีที่หยิ่งยโสรังแกผู้คนเหล่านั้นมาตลอด พูดว่า “เจ้าหมายถึงนางดูถูกเจ้า?”

เฉินฉางเซิงพยักหน้าเล็กน้อย

สวีโหย่วหรงใจคิดพรสวรรค์เขาคนนี้ออกหน้าออกตาขนาดนี้ ความรู้รอบตัวกว้างขวาง อารมณ์จิตใจจริงใจเช่นนี้ คู่หมั้นคนนั้นยังดูถูกเจ้า นั่นต้องหยิ่งยโสงี่เง่าขนาดไหน สายตาต้องยิ่งย่ำแย่ขนาดไหน

เขาพูดว่า “ที่จริงแล้วที่ข้าไม่ชอบมากที่สุดคือท่าทางการวางตัวที่แสร้งทำเป็นมีคุณธรรมเช่นนั้นของนาง ล้วนกินพืชพันธุ์ธัญญาหารเติบโตมาเหมือนกัน ไม่ใช่เทพยดาที่กินลมรับประทานน้ำค้างสักหน่อย”

สวีโหย่วหรงเห็นด้วยกับคำพูดของเขามาก ทุกครั้งที่เห็นเหล่าศิษย์พี่น้องสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าสีขาวออกไปข้างนอกสถานศึกษาหนานซี ก้าวย่างเงียบเชียบ ชายกระโปรงไม่ขยับ ท่าทีไร้สีหน้าไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก นางก็รู้สึกอึดอัด มีบ่อยครั้งที่นางไปนั่งกลางหน้าผาคนเดียว สักระยะหนึ่งก็จะไปเล่นไพ่ในเมืองเล็ก หาความสุขในการใช้ชีวิตบางอย่างใหม่อีกครั้ง

“แต่ภายหลังเป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง นางตกลงทำตามสัญญาหมั้นฉบับนี้อีกครั้ง”

เฉินฉางเซิงพูดต่อไปว่า “จริงๆ แล้วข้าเข้าใจความคิดของนางมาก ก็แค่อยากจะใช้ประโยชน์จากข้าเท่านั้น”

สวีโหย่วหรงคิดในใจ น่าจะเป็นเพราะว่าภายหลังเขาเข้าพรรคลับของพรรคภูเขาหิมะ เริ่มเปิดเผยความสามารถของตัวเอง มองดูแล้วอนาคตยาวไกล คู่หมั้นของเขาถึงได้เปลี่ยนความคิด พอตรองมาถึงตรงนี้ ความนับถือที่มีต่อหญิงผู้นั้นยิ่งตกต่ำลงไปกว่าเดิม กระทั่งมีความไร้ยางอายเล็กน้อย…หยิ่งยโส โง่เง่า สายตาย่ำแย่ นั่นยังพอรักษาได้ แต่นี่…เป็นปัญหาของคุณธรรม

“ผู้หญิงเช่นนี้ ไม่เอาก็ดี ถอนหมั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

นางมองเฉินฉางเซิงพลางพูดปลอบใจ มีความเห็นใจกับการพบเจอของเขา

“ใช่ ข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน โดยเฉพาะตอนนี้ ข้ายิ่งรู้สึกว่าการถอนหมั้นเป็นสิ่งที่ถูก”

เฉินฉางเซิงมองนางพลางพูด ประโยคนี้ก็คือพูดให้นางฟัง

สวีโหย่วหรงมองดวงตาที่ยิ่งมายิ่งสว่างไสวของเขา ได้ยินเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อยของเขา พลันชะงักงัน นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่ง จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าที่หมายถึงอะไร นางรู้สึกจิตใจลนลานอีกครั้ง อีกทั้งยิ่งมายิ่งลนลาน

นางนึกถึงตัวเองก็มีสัญญาสมรสอยู่บนตัวเช่นกัน และก็ไม่ได้บอกเขา คิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ใจสั่น กลับไม่เข้าใจว่า ในช่วงเวลาพิเศษประเภทหนึ่ง หัวใจเต้นเร็วเกินไป ก็จะใจสั่นได้อย่างง่ายดายเช่นกัน

แสงท้องฟ้าอึมครึม ใบอู๋ถงเอนไหวเล็กน้อย ผ้ากระสอบป่านค่อยๆ อุ่น บนแท่นสูงของสุสาน ราวกับช่วงเวลาดึกสงัดก็มิปาน

เวลาผ่านไปนานมาก ล้วนไม่มีเสียงดังขึ้น

“ที่จริงแล้ว…ข้าก็มีสัญญาสมรสอยู่บนตัวเช่นกัน” แสงค่ำคืนครอบคลุมบนแท่นสูง เสียงของสวีโหย่วหรงเบามาก ถ้าไม่ฟังให้ละเอียด ง่ายมากที่จะถูกเสียงเคลื่อนไหวของใบไม้เขียวบนต้นอู๋ถงกลบไป

“เอ๋?” เสียงของเฉินฉางเซิงแสดงให้เห็นได้ชัดมากว่าตกตะลึงมาก ไม่ได้คาดคิดอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็กลายเป็นจืดจางเหมือนกับน้ำเปล่าอย่างรวดเร็ว

“ใช่หรือ? ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่เปิดเผยออกมาในเสียงของเขาชัดเจนเกินไป ใครก็ตามล้วนฟังออกถึงความหดหู่และเศร้าโศกของเขา ฉะนั้นประโยคที่สองของสวีโหย่วหรงจึงดังขึ้นต่อมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการพูดเร็วเล็กน้อย มีความเร่งรีบนิดๆ แต่ความหมายในเสียงแน่วแน่มาก ไม่มีการโอนเอนสั่นไหวใดๆ

“แต่ว่าข้าก็ไม่อยากสมรสกับเขาเช่นกัน อีกทั้ง ข้าไม่แต่งกับเขาแน่ๆ”

เป็นการอธิบาย เพิ่มเติม ประกาศเช่นกัน แล้ว…จะเป็นคำมั่นหรือเปล่านะ?

บนแท่นสูงในแสงค่ำคืนเงียบสงบลงมาอีกครั้ง ผ่านไปสักพัก เฉินฉางเซิงหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา

สวีโหย่วหรงมีความหงุดหงิดระคนขัดเขินเล็กน้อย พูดว่า “หัวเราะบ้าอะไร?”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ไม่มีอะไร”

ถ้าถังซานสือลิ่วอยู่ตรงนี้ เวลานี้ต้องเพิ่มอีกหนึ่งประโยคเป็นแน่ ผีเท่านั้นถึงจะเชื่อว่าระหว่างพวกเจ้าสองคนไม่มีอะไรต่อกัน

รวดเร็วมาก เฉินฉางเซิงก็ฟื้นสติกลับมา ใจคิดสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามอาจจะไม่เหมือนกับตัวเองก็เป็นได้ หรือตัวเองอาจจะคิดมากไปเอง เขามีอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลนิดหน่อย ถามว่า “เจ้า…คู่หมั้นคนนั้นของเจ้าเป็นคนอย่างไร?”

สวีโหย่วหรงพูดเสียงเบาว่า “ข้ากับเขารู้จักกันเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าภายหลังข้าเกือบลืมไปแล้วว่ามีคนคนนี้อยู่ แต่ความจริงแล้วตอนเด็กมากๆ ข้ากับเขาก็ได้รู้จักกันแล้ว ข้าจำได้ชัดเจนมาก เวลานั้นเขาเป็นเด็กที่ทำให้ผู้อื่นรังเกียจอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเสแสร้งยุติธรรมพูดว่า “เด็กผู้ชายมักจะทำให้คนอื่นรังเกียจอย่างมาก…ข้าก็ไม่ต่าง”

สวีโหย่วหรงพูดว่า “อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรื่องบางอย่าง ข้าตัดสินใจไม่ยุ่งกับเขาอีก ไม่คิดว่า หลังจากนั้นไม่กี่ปีเขาก็ตามมารังควานอีก”

เฉินฉางเซิงในใจคิด การทำการเช่นนี้มีความไม่เคารพตัวเองไม่รักตนเองเล็กน้อยจริงๆ

“ในที่แห่งนั้นของพวกข้า…สัญญาสมรสเป็นเรื่องที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง อีกทั้งสัญญาฉบับนี้เป็นการจัดการของผู้อาวุโส ฉะนั้นถอนสมรสได้ยาก”

สวีโหย่วหรงคิดว่าเขาเป็นลูกศิษย์พรรคภูเขาหิมะที่ดินแดนอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ คำว่าพวกข้าในประโยคนี้แน่นอนว่าหมายถึงจงหยวน จากการฟังมาของเฉินฉางเซิง ก็คิดว่าสิ่งที่นางพูดเป็นอาณาเขตปีศาจที่เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์อาศัยอยู่

ใจเขาคิด เผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ประสบความยากลำบากหลายครั้งขนาดนั้น จำนวนคนเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ที่มีอยู่บนโลกน้อยมากแล้ว การสืบทอดชนรุ่นหลังเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใหญ่ อนุญาตสมรสเพียงเผ่าเดียวกัน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้มงวด เพียงแต่สำหรับหญิงสาวที่มุ่งสู่ความรักแล้วมีความโหดร้ายเล็กน้อยจริงๆ

“ในเมื่อผ่านไปหลายปีแล้ว…หรือว่า…คู่หมั้นของเจ้าก็ไม่ได้ทำตัวดีขึ้นมาเลย?”

“ไม่มี นิสัยอารมณ์เจ้าคนนั้นไม่เปลี่ยนแม้แต่นิด กระทั่งเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม”

สวีโหย่วหรงนึกถึงการกุเรื่องขึ้นมาในจดหมายฉบับนั้นของซวงเอ๋อร์ ยิ่งมายิ่งจิตตก “ข้าไม่ยอมรับไม่ได้ว่า เจ้าคนนั้นมีจุดที่ยอดเยี่ยมจริง แต่…เขาก็มีจุดด้อยที่ทำให้คนจำนวนมากไม่สามารถรับได้เช่นกัน”

นี่เป็นครั้งแรกของเฉินฉางเซิงที่ได้ยินเสียงเจ็บแค้นขนาดนี้ของนาง ใจคิดดูท่าทางนางเกลียดคู่หมั้นคนนั้นจริงๆ

“ภายนอกของเขามองดูแล้วเหมือนจะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราวบนโลก ใจดีซื่อสัตย์ ความจริงแล้วกดเล่ห์กลในใจเอาไว้ลึกอย่างมาก แขนยาวร่ายรำงาม*”

ตอนที่พูดประโยคนี้ สิ่งที่สวีโหย่วหรงคิดก็คือเจ้าคนนั้นเพิ่งเข้าจิงตูมาใหม่ๆ ก็ไม่รู้ว่าไปเชื่อมความสัมพันธ์กับสำนักการศึกษากลางได้อย่างไร เข้าเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง อาศัยการต่อสู้ระหว่างเชื้อพระวงศ์เก่าและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กระพือลมฝนนับไม่ถ้วน และทำให้เขายืนหยัดอยู่ได้ในจิงตู ได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวง คนเช่นนี้เป็นชายหนุ่มชนบทที่ไม่รู้เรื่องบนโลกหล้าคนหนึ่งเสียที่ไหน?

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก พูดว่า “กระทำการเสแสร้ง ไม่ดีจริงๆ”

สวีโหย่วหรงพูดเชิงเยาะเย้ยว่า “ไม่เพียงแค่นี้ คนผู้นี้ยังเผ็ดร้อนกระหายอำนาจ ไม่รู้ว่าใช้…วิธีการบางอย่าง ไม่คิดว่าเอาใจผู้สูงใหญ่ท่านหนึ่งได้ รายละเอียดในนี้ แม้จะเป็นข้าก็ไม่สะดวกที่จะพูดอะไรอีก”

ที่พูดในประโยคนี้แน่นอนว่าหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนบางคนกับลั่วลั่ว เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงใจว่า “ตามเหตุผลแล้ว คนนอกไม่สอดมือ ข้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรบ้าง แต่…ผู้ชายเช่นนี้ ไม่ควรรับเอาไว้จริงๆ”

ตอนที่พูด เขามีความอยากรู้ว่า ที่พูดว่า…วิธีการบางอย่าง แท้จริงแล้วคืออะไร?

ในมุมมองของเขาแล้ว คู่หมั้นของนางเป็นศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่าศิษย์พี่ชายคนนั้นของนาง เนื่องจากฟังดูแล้วเหมือนนางกำลังตำหนิเชิงบ่นและโมโห แต่เป็นไปเพราะมีความหวังถึงได้ผิดหวัง การตำหนิเชิงบ่นและโมโหของนางไม่ใช่แปลว่าลึกลงไปในใจของนางแล้วอาจจะมีความหวังต่อคู่หมั้นคนนั้นหรือ แน่นอนว่าเขาอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้

สวีโหย่วหรงไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที เงียบขรึมไม่พูดจา

เฉินฉางเซิงคิดในใจ หรือว่าวิธีนั้นช่างไร้ยางอายถึงขั้นที่ยากที่จะขยับปาก?

สวีโหย่วหรงในตอนนี้นึกถึงจดหมายไม่กี่ฉบับนั้นที่มาจากจิงตู

จดหมายเหล่านั้นมาจากซวงเอ๋อร์ที่นางไว้วางใจมากที่สุด และม่ออวี่

ในจดหมายของซวงเอ๋อร์ เคยพรรณนาถึงภาพฉากนี้

ในหอตำราสำนักฝึกหลวงที่แสงฤดูใบไม้ผลิสว่างสวยงาม เขาและองค์หญิงเล็กเผ่าปีศาจลั่วลั่วคนนั้นโอบๆ กอดๆ

ในจดหมายของม่ออวี่ เคยพรรณนาถึงภาพฉากนี้

ในพระราชวังมังกรที่ใต้บ่อสะพานอุดรใหม่ เขาและมังกรดำที่กลายเป็นหญิงสาวตัวนั้นโอบกอดอยู่ด้วยกัน

ใช่ แม้จะมีจุดด้อยมากแค่ไหน ล้วนสามารถอธิบายได้ อย่างมากก็ถอนการสมรส กลายเป็นคนแปลกหน้า แต่ไม่จำเป็นต้องทำตัวน่ารังเกียจถึงมากขนาดนี้ มีเพียงเรื่องพวกนี้ นางไม่สามารถรับได้ ถ้านางสามารถรับได้ นั่นถึงเป็นการหยามเกียรติที่มากที่สุดต่อตัวเอง

“เขาชอบเด็ดดอกไม้เหยียบย่ำใบหญ้า*”

นางพยายามอธิบายอย่างเป็นกลางและสงบว่า “อีกทั้งล้วนเป็นหญิงสาวที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านั้น”

บนแท่นสูงของสุสานที่ครอบคลุมด้วยแสงท้องฟ้าค่ำคืนเงียบสงบไปถ้วนทั่ว

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงโจมตีดังขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเสียงโมโหโกรธเกรี้ยวของเฉินฉางเซิง

“ช่างเป็นเศษสวะที่ไร้ยางอายจริงๆ”

*แขนยาวร่ายรำงาม หมายถึง เงินและอำนาจจะช่วยเกื้อหนุนหน้าที่การงาน

*เด็ดดอกไม้เหยียบย่ำใบหญ้า หมายถึง เล่นสนุกกับผู้หญิง เจ้าชู้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset