ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 20 หน้าแรก

เพราะว่าเป็นเหวลึกไร้ที่สิ้นสุด จึงที่เป็นไปไม่ได้ที่จะปีนขึ้นมาตลอดกาล ดังนั้นสวีซื่อจี้จึงตัดสินโชคชะตาที่โหดร้ายของเฉินฉางเซิงออกมาเป็นเช่นนี้ เพราะว่าเขาชัดเจนยิ่งนัก เหวลึกของสำนักฝึกหลวงมีบุคคลเพียงสองคนที่ไม่มีผู้ใดสามารถตีฝ่าเครื่องพันธนาการนี้ได้ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์และใต้เท้าสังฆราช

ถึงแม้ใต้เท้าสังฆราชเป็นคนที่มีเมตตากรุณา เรื่องราวได้เว้นห่างมานานหลายปีความแค้นก็ได้เบาบางลงแล้ว ครั้งนี้ทำให้หวนคิดไปถึงเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่เคยร่ำเรียนมีความรักใคร่ซึ่งกันและกันในปีนั้น ไม่ยินยอมที่จะให้สำนักฝึกหลวงเปลี่ยนเป็นประวัติศาสตร์ เต็มใจที่จะหลับตาไม่สนใจ แล้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เล่า ในปีนั้นสำนักฝึกหลวงเป็นเชื้อพระวงศ์เก่าเป็นที่มาของกำลังสำคัญที่ต่อต้านนาง นางจะอนุญาตให้สำนักฝึกหลวงมีเกียรติยศเผยแพร่ออกไปอีกคราหรือ

ทุกคนล้วนแต่รู้ ในพจนานุกรมของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีคำว่าให้อภัยคำนี้ ในกองโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนของลูกหลานเชื้อพระวงศ์กับเด็กทารกที่ร้องไห้ในค่ำคืนนั้นล้วนแต่คือหลักฐานที่ชัดเจน สำนักฝึกหลวงอยากจะรับนักเรียนใหม่หรือ นอกเสียจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะออกจากตำแหน่งหรือไม่ก็สวรรคตเท่านั้น แต่ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์จะออกจากตำแหน่งหรือ มีคนที่จะสามารถสังหารนางได้หรือ ไม่มี เช่นนั้นเหวลึกก็คงจะยังเป็นเหวลึกเป็นแน่

เฉินฉางเซิงกลับไปถึงโรงเตี๊ยม ใช้เวลาช่วงสั้นๆ ในการล้างหน้าบ้วนปากเหมือนปกติธรรมดา หลังจากนั้นนำเสื้อผ้าและถุงเท้าซักให้สะอาด ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ขาวสะอาดสะอ้านเช็ดผมที่เปียกชุ่มให้แห้ง สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ยกชาเขียวที่อ่อนๆ กาหนึ่ง เดินไปยังใต้ต้นไม้ในสวนนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ไผ่ เริ่มจ้องมองดวงดาว

เป็นคนที่รักและเห็นคุณค่าเวลาอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าจะเป็นความสวยงามที่ดึงดูดผู้คนได้ แต่เขาอนุญาตให้ตนเองมองเพียงแค่ไม่กี่พริบตา หลังจากได้รับพลังวิญญาณชนิดหนึ่งจากเหล่าดวงดาราที่ไม่เคยเปลี่ยนตำแหน่งตราบนิจนิรันดร์อีกครั้ง เขาก็ล้วงเอาหนังสือแนะนำที่ใต้เท้าสังฆราชได้เขียนด้วยลายมือของตนเองออกมาจากหน้าอก เริ่มครุ่นคิดเรื่องที่ได้ประสบมาในวันนี้

ยืนอยู่ที่ระเบียงของสำนักการศึกษากลางอยู่ครึ่งค่อนวัน เขาถึงเพิ่งนึกถึงหนังสือแนะนำฉบับนี้ หลังจากนั้นเขาถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าลายมือที่ใต้เท้าสังฆราชเขียนนั้นแฝงไปด้วยอะไร ปฏิกิริยาของอาจารย์ซินแรกเริ่มหยิ่งยโสภายหลังนอบน้อมช่างแตกต่างอย่างชัดเจน อำนวยความสะดวกให้เขามากมาย แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมาพร้อมกับข้อสงสัยมากมาย

เพราะเหตุใดท่านยายหนิงจึงนำหนังสือแนะนำฉบับนี้มาให้ตนด้วยเล่า ถ้าหากเพียงอยากจะปิดปากตน ถึงขนาดที่ต้องเอาหนังสือสมรสออกมาให้ เขาเชื่อว่าความสามารถของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นคงจะมีวิธีการนับไม่ถ้วนเกินกว่าที่จะคาดคิด จะมีก็แต่วิธีการที่ยากยิ่งจะเข้าใจนี้ หนังสือแนะนำฉบับนี้…ราวกับว่ากำลังชดเชยสิ่งที่ติดค้างอยู่

ฝ่ายตรงข้ามอยากจะชดเชยสิ่งใดแก่ตน หากไม่พูดถึงเรื่องหนังสือสมรส หรือว่าสำนักฝึกหลวงเป็นสถานที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เขาจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่ท่านยายหนิงเคยกล่าวออกมา นี่คือการเลือกที่ดีต่อทุกคน เพียงแค่ยกเว้นเขาเท่านั้นเอง แล้วสำนักฝึกหลวงสุดท้ายแล้วมีปัญหาอะไรกันแน่

เขาเข้าใจประวัติศาสตร์ที่เจริญรุ่งเรืองของสำนักฝึกหลวงในอดีต แต่ว่าเรื่องราวใหญ่โตเหล่านั้นได้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนสำนักฝึกหลวงได้แปรเปลี่ยนเป็นสวนภูตผี ห่างจากตอนนี้ไม่นาน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ครองราชย์ เป็นธรรมดาที่เรื่องราวเหล่านั้นหมดหนทางที่จะบันทึกไว้ในตำราหรือตำราเต๋า เขาเพียงคาดเดาผ่านทางปฏิกิริยาของอาจารย์ซินเท่านั้น อาจารย์ซินก่อนหน้าหยิ่งยโสภายหลังนอบน้อม หนังสือแนะนำของใต้เท้าสังฆราชก็ไม่ได้แสดงถึงผลกระทบอย่างอื่นที่จะออกมาทั้งสิ้น นี่ก็อธิบายถึงปัญหาของสำนักฝึกหลวง จนกระทั่งสามารถจำกัดทุกระดับอำนาจของใต้เท้าสังฆราชให้เท่าเทียมกันได้

แม้คิดใคร่ครวญ ก็ยังไม่เข้าใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะไม่เสียเวลาคาดเดาต่อไป ถึงจะมีปัญหาอะไร เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เดิมทีสิ่งที่เขาต้องการก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นไม่ปรารถนาจะมอบให้ เขาไม่ปรารถนาการสมรส เพียงแค่อยากมีคุณสมบัติเข้าร่วมการสอบใหญ่ เวลาเดียวกัน เขาอยากจะอ่านตำรามากมายเหล่านั้น

สำนักไม้เลื้อยทั้งหกมีตำราเยอะแยะมากมาย เกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจารย์ไม่ได้หลอกเขา

ตื่นนอนเช้าตรู่เวลาห้ายาม เขาดำเนินกิจกรรมตามเวลาอย่างสิบสี่ปีที่ผ่านมา ล้างหน้า รับประทานอาหาร และเตรียมตัว ใช้เวลาเกินไปนิดหน่อยกับการจัดเก็บสัมภาระ ขนไปไว้บนรถม้าที่เรียกไว้เมื่อคืน ไหล่ด้านขวาหันไปทางพระอาทิตย์ ออกจากการใช้ชีวิตหลายวันในโรงเตี๊ยม มุ่งไปทางทิศเหนือของพระราชวังเพื่อที่จะไปสำนักฝึกหลวงที่อยู่ใกล้กันนั้น

ห้องพักที่โรงเตี๊ยมเขาไม่ได้คืน เพราะว่าเขามิได้ขาดแคลนเงิน เพราะว่าเขารู้ว่าตนเองยังจะต้องกลับมา รอวันนั้นที่เขากลับมา เขาจะไม่ยืนอยู่ที่ระเบียงของโรงเตี๊ยมจ้องมองไปยังสุสานเทียนซูที่อยู่ไกลออกไปด้วยความตะลึงงันอีก จะต้องเข้าไปในสุสานเทียนซูได้อย่างแน่นอน ไปดูแผ่นหินในตำนานนั่นอย่างใกล้ชิด

ส่วนลึกของตรอกไป๋ฮวา ไม่ได้เงียบเหงาโดดเดี่ยวแตกต่างกับสิบปีที่ผ่านมา เสียงผู้คนตะโกนโหวกเหวกโวยวาย มีคนงานสตรีหลายร้อยคน ถืออุปกรณ์ทุกแบบทุกชนิดกำลังสาละวนกับงานตรงหน้า มองไปยังสนามหญ้าที่มีก้านคบไฟปักไว้ คนเหล่านี้ทำงานตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้หยุดพักสักนิด

เฉินฉางเซิงนำสัมภาระย้ายไว้ที่ริมทะเลสาบ พบว่าอาจารย์ซินแท้ที่จริงแล้วไม่ได้ปรากฏตัว ยิ่งยืนยันในสิ่งที่เขาคาดคิดไว้ โชคดีที่เมื่อวานอาจารย์ซินได้รับปากธุระกับเขาไว้ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เมื่อวานมองสำนักแล้วเหมือนกับเป็นสวนสุสานก็มิปาน หญ้าที่รกร้างค่อยๆ ถูกกำจัด ไม้เลื้อยค่อยๆ หมดไป ทุกอย่างค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาเป็นดังเดิม

ซากปรักหักพังที่อยู่บนดาดฟ้าเหล่านั้น เป็นธรรมดาที่จะไม่มีวิธีซ่อมแซมโดยใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ คนจำนวนหลายร้อยคนทำงานมิหยุดพักทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ทำให้สภาพของสิ่งปลูกสร้างภายนอกกลับมาสะอาดเอี่ยมแวววาวอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอาคารหลังเล็กๆ ที่อยู่ในป่า ถูกเก็บกวาดค่อนข้างสะอาดสะอ้าน รอให้กลิ่นของเชื้อราจางหายไป หลังจากนั้นก็เป็นที่พักได้

คนงานหลายร้อยคนที่ทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่สำนัก ล้วนแต่เป็นคนงานระดับล่างของวังนิกายหลวงเทียนเต๋อ หลายปีมานี้รับผิดชอบในการทำความสะอาดสำนักเทียนเต้าและสำนักอื่นๆ ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงมาทำความสะอาดสำนักฝึกหลวงที่ถูกปิดมานานแล้ว แต่ทำออกมาแล้วชำนาญยิ่งนัก ถึงแม้จะอดหลับอดนอนในการทำความสะอาดแต่ประสิทธิภาพก็มิได้ลดลง

แสงอาทิตย์เคลื่อนย้ายช้าๆ งานส่วนสำคัญของอาคารหลังเล็กๆ ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉินฉางเซิงสะพายสัมภาระ เดินเข้าไปในหอตำราที่อยู่ติดกัน ท่ามกลางสายตาที่อยากรู้อยากเห็นและเคารพยำเกรงของคนงานเหล่านั้น สิ่งที่มาปะทะใบหน้าก็ยังคงเป็นกลิ่นของเชื้อรา แม้ว่าจะบางเบากว่าเมื่อวานไม่น้อย แต่ยังคงได้กลิ่นอย่างแจ่มชัด มองดูแล้วถึงแม้จะโดนแสงแดดสาดส่องโดนลมพัดผ่าน อาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกหลายวันถึงจะขจัดกลิ่นเหล่านี้หมดสิ้นไป

สำหรับกลิ่นเชื้อราชนิดนี้ เขาไม่ชอบอย่างยิ่ง หลังจากวางสัมภาระเรียบร้อยแล้วมิได้หยุดทำสิ่งใดอยู่ในห้อง หมุนกายออกไปจากอาคารหลังเล็กๆ มุ่งไปยังหอตำราที่มีเพียงกำแพงกั้นแห่งนั้น

ตามคำขอร้องของเขาเมื่อวาน ไม่ต้องทำความสะอาดหอตำรา กุญแจอยู่ในมือของเขา ผู้ใดก็ไม่สามารถเข้าไปทำความสะอาดได้ เวลานี้คนงานทำความสะอาดของราชวังเทียนเต้าล้วนแต่อยู่ที่อาคารหลักและบริเวณรอบอาคารกำลังทำความสะอาด บริเวณรอบๆ หอตำราจึงไม่มีผู้ใด เงียบสงบไม่มีเสียงใดๆ

เขาเดินไปยังขั้นบันไดหิน มาถึงประตูด้านหน้า ล้วงเอากุญแจที่เอามาจากสำนักการศึกษากลาง เสียบเข้าไปในแม่กุญแจที่เก่าแก่นั่น พร้อมกับค่อยๆ หมุนแม่กุญแจเก่าแก่ที่มีร่องรอยสนิมสีเขียวเล็กน้อยราวกับขี้เลื่อย หลังจากนั้นจึงร่วงหล่นลงบนพื้น ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้น ‘แกรกๆ’ ราวกับว่ามีก้อนหินร่วงหล่น ร่วงลงไปในรูทรายละเอียดพอดิบพอดี ทำให้มีความรู้สึกสบายอย่างหนึ่ง

กุญแจหมุนเบาๆ ไปตามทิศทางไม่ก่อเกิดเสียงใดๆ เฉินฉางเซิงรู้สึกได้อย่างชัดเจน แม่กุญแจถูกกระตุ้นชนเข้ากับลูกเลื่อน หลังจากนั้นกลับมาที่เดิม ในเวลาเดียวกันสิ่งที่สะท้อนกลับมาคือพลังลมปราณในครั้งนั้นก็ได้หยุดอยู่ส่วนในสุดของแม่กุญแจอย่างช้าๆ ทุกขั้นตอนล้วนแต่น่าอัศจรรย์

เขาผลักประตูเข้าไป พบเจอกับชั้นวางตำราที่ออกมาต้อนรับเป็นแถวๆ เงามืดของชั้นวางตำราด้านในของหอตำราสุดลูกหูลูกตา ยั่วยุอาการอยากรู้อยากเห็นของผู้คนอย่างยิ่ง ชั้นวางตำราจัดเรียงไปด้วยตำราถี่ยิบ เขาจ้องมองไปยังภาพที่เห็นแล้วเกิดความยินดีอย่างยิ่ง พบว่าฝุ่นละอองของที่นี่ไม่เยอะเท่ากับที่มองเห็นเมื่อวาน ทำให้ดีใจเพิ่มไปอีก

สำนักฝึกหลวงรกร้างว่างเปล่ามานานหลายปี นอกจากนั้นโต๊ะเก้าอี้ในสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น ก็ไม่รู้ว่าถูกใครขโมยไปขายแล้ว เตียงของอาคารหอพักก็มิได้หลงเหลือสักตัว เมื่อคืนวานอาจารย์ซินให้สำนักการศึกษากลางเร่งซ่อมแซมและเพิ่มเติม มีเพียงหอตำราหลังนี้ที่รักษาได้สมบูรณ์คล้ายดังเดิม สาเหตุคงเพราะว่าถูกใส่แม่กุญแจไว้

เฉินฉางเซิงหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด ทำความสะอาดบริเวณใกล้เคียงอย่างง่ายๆ จึงได้พบว่าพื้นกระดานที่มันวาวสามารถเป็นกระจกได้ คงจะใช้น้ำมันไม้จันทน์ที่มีชื่อเสียงและล้ำค่า เขาไม่หยุดที่จะส่ายศีรษะ ในใจคิดว่าในปีนั้นสำนักแห่งนี้มีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง สง่างามโอ่อ่าถึงเพียงนี้ ใครเคยคิดว่าจะเปรอะเปื้อนฝุ่นมานานหลายปีอย่างนี้เล่า

ต่อไปควรจะทำอะไร

เขาควรที่จะฝึกบำเพ็ญเพียรได้แล้ว

เฉินฉางเซิงไปค้นหาสมุดรายชื่อในลิ้นชักห้องข้างๆ ในหอตำรา หลังจากนั้นเดินเข้าไปในชั้นวางตำราที่ทั้งยาวและมืดสนิท ใช้เวลาไม่นานก็หาตำราเล่มแรกที่ตนต้องการเจอ

ตำราเล่มนี้ชื่อว่า ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’

ชื่อของตำราเล่มนี้เรียบง่าย เพียงแค่มองก็รู้ว่าจะกล่าวถึงความรู้ทางด้านการชำระกระดูก เพราะว่าเรียบง่าย ดังนั้นจึงพบเห็นได้ง่ายเช่นกัน

เพราะว่าต้องต่อต้านกับกองกำลังที่น่าหวาดกลัว สู้รบกับเผ่ามารผู้มีพรสวรรค์แข็งแกร่งไร้ผู้ใดเปรียบ มนุษย์โลกจึงได้สั่งห้ามไม่ให้เก็บการฝึกฝนขั้นพื้นฐานอย่างเช่นวิธีการฝึกชำระล้างกระดูกเป็นความลับ แน่นอน ทุกพรรคทุกสำนักก็จะมีวิธีที่แข็งแกร่งเฉพาะของตนเอง วิธีที่จะนำไปสู่การฝึกบำเพ็ญเพียรขั้นต้นก็เปรียบดังแผ่นหินของสุสานเทียนซู ปรากฏออกมาตรงหน้าของผู้คนให้เห็นอย่างอิสรเสรี

เส้นทางที่จะนำไปสู่การบำเพ็ญเพียรของคัมภีร์การชำระล้างกระดูกเล่มนี้ทุกเมืองทุกตำบลล้วนแต่สามารถหาซื้อได้

แต่ว่าเฉินฉางเซิงไม่เคยเห็นมาก่อน เพราะว่าระยะเวลาสิบสี่ปีที่ผ่านมา อาจารย์มักจะบอกกับเขาว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องศึกษา เมื่อถึงเวลาที่จะศึกษาเริ่มฝึกฝนก็ยังไม่สาย เขาเคยถามว่าเมื่อไหร่คือเวลาที่ควรจะเริ่มศึกษา สุดท้ายแล้วอาจารย์กลับไม่เคยตอบเขา จนมาถึงครั้งนี้ก่อนที่เขาจะจากเมืองซีหนิง เขาบอกว่าต้องการลงเขามายังเมืองจิงตู ต้องการไปดูสุสานเทียนซูและหอหลิงเหยียน…

วันนั้น ในที่สุดอาจารย์ก็ได้เอ่ยกับเขาประโยคหนึ่ง

อย่างนั้น ตอนนี้เจ้าสามารถเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรได้แล้ว

เขาหยิบ ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ เล่มนั้น เดินกลับไปยังประตูด้านหน้า นั่งลงไปยังพื้นที่ถูกเช็ดจนสะอาดสะอ้าน หยิบยืมแสงจากฟากฟ้าที่ส่องลงมายังนอกประตู เริ่มพลิกเปิดหน้าแรก

กล่าวกันตามเหตุผล ณ เวลานี้ อย่างน้อยเขาควรที่จะแสดงความรู้สึกดีอกดีใจหรืออาจจะตื่นเต้น

แต่ว่าเขาไม่มี

ทุกขั้นตอน ท่าทางของเขาไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง สงบนิ่งอย่างยิ่ง ราวกับกำลังทำสิ่งที่ตนเองเคยทำมาแล้วหลายๆ ครั้ง

ถ้าหากมีผู้คนได้เห็นภาพนี้ คงจะนึกไม่ถึง ว่านี่คือครั้งแรกที่เขาเคยอ่านตำราเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญเพียร

อยู่ที่จวนขุนพลเทพตงอวี้และสำนักเทียนเต้า เขาล้วนแต่เคยเอ่ยประโยคนี้

ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่เป็นวิทยายุทธ์ เพียงแค่ข้ายังไม่เคยฝึกบำเพ็ญเพียร

เขามีโอกาสที่จะเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรหลายครา เพียงแต่ว่าจังหวะยังไม่มาถึง

เขาเฝ้ารอระยะเวลามาเนิ่นนาน ในที่สุดวันนี้ก็ได้มาถึง อาจจะเพราะว่ารอมานานอย่างยิ่ง เขากลับไม่มีกำลังที่จะตื่นเต้นดีใจเสียแล้ว หลงเหลือเพียงแค่ความสงบนิ่ง

เขาพลิกเปิดตำราหน้าแรก

เห็นด้านบนของกระดาษเขียนประโยคนี้

“อ่านตำราร้อยครา สัจธรรมพึงเห็นเอง”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset