ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 195 ไม่มีเรื่องของโชคชะตา

“ตอนนี้คิดดูอีกทีแล้ว ฝ่าบาทเป็นผู้ปรีชาสามารถยิ่งคนหนึ่ง เขาเผชิญหน้ากับโชคชะตาด้วยความเย็นชาและเด็ดเดี่ยว เขาไม่ยอมรับเส้นทางของโชคชะตา แต่กลับเริ่มกำหนดโชคชะตาของผู้อื่น เขาไม่ได้รอให้ไท่จู่เลือก แต่เป็นการเลือกแทนไท่จู่ เขาฆ่าคนทั้งหมด เหลือเพียงตนเองที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของไท่จู่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้บัลลังก์หรือคำเลื่องลือคาวโลหิตของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา ล้วนไม่ต้องไปพูดถึงอีก ถ้าพูดถึงแค่ผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นต้าโจวหรือทั้งโลกเผ่ามนุษย์ ล้วนต้องการการตัดสินที่เด็ดขาดอย่างมีประสิทธิภาพ ปีนั้นที่เมืองเทียนเหลียง พลทหารม้าของเขาถูกพลหมาป่าของเผ่ามารโจมตีอย่างอนาถหลายครั้ง ตอนหลังในเมืองลั่วหยาง เขาพ่ายแพ้แก่พี่ใหญ่อย่างอนาถ แต่ดูภาพรวมแล้ว ไม่ว่าราชามารหรือพี่ใหญ่ ล้วนสู้เขาไม่ได้ เขาเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งของยุคนั้นอย่างแท้จริง ดังนั้นแผ่นดินนี้ในที่สุดก็ตกอยู่ในมือของเขา ไม่ผิดไปตามที่ข้าคาดไว้ แน่นอนว่า มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในกระบวนการนี้ ช่างจนปัญญาที่ข้าจะยินดีกับเขาได้จริงๆ”

“เรื่องราวต่อมายังคงไม่ผิดคาด ฝ่าบาทเริ่มมุมานะดูแลการเมือง ตั้งใจปกครองแผ่นดิน ต้าลู่ค่อยๆ สงบ ขุมกำลังของต้าโจวค่อยๆ เจริญก้าวหน้า ไท่จู่ในที่สุดก็ทนไม่ได้กับการเป็นเพื่อนกับโต๊ะไพ่และนางในหน้าสวยอีกต่อไป ดวงตาทั้งสองข้างหลับลง ก็ขึ้นสู่ท้องฟ้าดวงดาว หรืออาจเป็นเพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่ได้ให้ข้าอยู่ในส่วนลึกของพระราชวังต่อ ให้ข้าไปสอนหนังสือที่สำนักเด็ดดารา ขณะสอนหนังสือก็อ่านหนังสือได้ สำหรับเรื่องนี้แล้วข้าไม่ได้มีความไม่เห็นด้วยใดๆ ขอบคุณเป็นอย่างมาก และข้าก็เข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของฝ่าบาทที่ให้ข้าไปสำนักเด็ดดาราดี วันเวลาในการยกทัพรบกับเผ่ามารทางเหนือน่าจะอีกไม่ไกลแล้ว”

“หลังคืนของสวนร้ายหญ้าคืนนั้น ข้าและฝ่าบาทก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกต่อไป แต่เป็นนายบ่าว แม้จะมีหลายเรื่องที่ข้าไม่เต็มใจทำ แต่กับเรื่องการสงครามกับเผ่ามาร ข้าเต็มใจเข้าร่วมอย่างยิ่ง ฝ่าบาทต้องการล้างแค้นสัญญาลั่วหลิ่วที่อัปยศ จักรพรรดิขุนนางทหารผองชนล้วนตั้งใจ ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เตรียมพร้อมกับการยกกองทัพโจมตีทางเหนือ ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ข้าเป็นรองแม่ทัพ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากราชสำนักมากมาย เจ้าอ้วนเฉิงโมโหที่สุด ทุกคนเป็นคนรู้จักกัน ล้วนคิดว่าข้าทำได้เพียงพูดการทหารบนกระดาษ ไม่เคยยกกองทัพออกไปอย่างแท้จริง ข้าคู่ควรอันใดที่สามารถรับบทบาทสำคัญถึงเพียงนี้?”

“สำหรับเรื่องนี้ข้าไม่ได้ออกมาอธิบายอะไร ข้าแจ่มแจ้งอย่างยิ่ง ฝ่าบาทให้ข้าเป็นรองแม่ทัพ นอกจากจะใช้การที่ข้าเตรียมพร้อมอยู่ในสำนักเด็ดดาราหลายปี ก็คิดอยากให้ข้าตัดสินใจทางออกของตัวเองในอนาคตอีกด้วย ตายที่สนามรบกับเผ่ามาร หรือว่าหนีห่างออกไปจากสนามรบ ไปหานางหรือไปหาพี่ใหญ่…แต่ข้าไม่ได้ทำ เพราะว่าการทำสงครามกับเผ่ามารไม่ใช่เป็นเรื่องปีสองปี ในเมื่อข้าตัดสินใจว่าจะทำเรื่องนี้ ฉะนั้นไม่ว่าตายหรือจากไป ล้วนต้องอยู่ในสภาวะที่โลกเผ่ามนุษย์พ้นจากการขู่เข็ญของเผ่ามารก่อนค่อยไปทำ”

“โชคดีมาก พวกเราชนะแล้ว”

พอเห็นการบันทึกถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงหายใจเข้าลึกๆ แม้ว่าเขาจะสนใจความลับของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา แต่มองดูคำบรรยายของทหารดังที่สู้รบกับเผ่ามารในปีนั้น ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกความรู้สึกตื้นตันกระทบจิตใจ คำพูดหนึ่งที่เขียนบรรยายของหวังจือเช่อ ไม่รู้ว่ามีการหลั่งเลือดและความยากลำบากมากขนาดไหน สิ่งที่โชคดีคือ เผ่ามนุษย์ในที่สุดก็ชนะ

“หลังจากชนะก็เป็นการคำนวณคุณงามความดี ฝ่าบาทตัดสินใจว่าจะสร้างหอหลิงเยียนหนึ่งแห่ง เอาภาพวาดของคนที่มีคุณงามความดีแขวนไว้ข้างบน ข้ารู้ว่าภาพวาดของตัวเองต้องถูกแขวนไว้ด้านบนแน่ๆ รู้สึกประหลาดใจ เพราะว่าข้ามักรู้สึกว่า เรื่องการแขวนภาพวาด เหมือนเป็นโถงไหว้บูชา สมควรเป็นเรื่องราวที่ทำหลังการตายมากกว่า”

เฉินฉางเซิงเห็นคำพูดนี้ของหวังจือเช่อ ก็มองไปรอบข้าง ยืมแสงสว่างจากไข่มุกราตรี มองดูภาพวาดหลายสิบภาพของขุนนางผู้มีคุณูปการต่อแผ่นดิน ในใจรู้สึกอย่างเดียวกัน แสงสว่างนุ่มนวล กอปรกับผู้คนในภาพวาดมองเขาอย่างเงียบๆ บันดาลให้เขารู้สึกหนาววาบขึ้นมานิดหนึ่ง

“หลังหอหลิงเยียนสร้างเสร็จ อู๋เต้าจื่อเริ่มวาดภาพวาดให้พวกเรา เวลาผ่านไปไม่มากนัก หลานคนโตก็ตายไป เจิ้งกั๋วกงก็ตาย เว่ยกั๋วกงก็ตายเช่นกัน…คนที่อยู่ในภาพวาดที่แขวนอยู่ในหอหลิงเยียน ค่อยๆ ตายไป เริ่มมีคำเล่าลือระหว่างกลุ่มผู้อาวุโสพวกเรากระจายออกไป เห็นบอกกันว่าฝ่าบาทต้องการชนะเผ่ามารในตอนนั้น เหมือนบิดาเขา ร่วมมือบูชาท้องฟ้าดวงดาวกับสังฆราช ในที่สุดท้าลิขิตพลิกโชคชะตาได้สำเร็จ ส่วนของเซ่นไหว้ที่ฝ่าบาทถวายให้กับท้องฟ้าดวงดาว ก็คือจิตวิญญาณของขุนนางทหารทั้งยี่สิบสี่ท่านในหอหลิงเยียน”

“หลังตู้หรูอวี่ฝังลงดินในวันที่หก นั่นเป็นวันที่ฝนโปรยปรายของฤดูใบไม้ผลิ อู๋เต้าจื่อออกจากพระราชวัง มาพบข้าอย่างลับๆ จิตรกรศักดิ์สิทธิ์ที่เร่าร้อนฮึกเหิมในเมืองลั่วหยางในตอนนั้น ตอนนี้ผมเขาขาวโพลนไปหมดทั้งศีรษะแล้ว ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาพูดกับข้าว่า พอหลังจากวาดรูปพวกเจ้าครบยี่สิบสี่รูป เขาก็จะตายเหมือนกัน ข้ารู้ว่าเขาก็ได้ยินเกี่ยวกับคำเล่าลือการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของฝ่าบาทเช่นกัน คงพอเดาอะไรได้บ้าง ข้าไม่ได้พูดอะไร คิดหาวิธีส่งเขาออกจากจิงตูอย่างลับๆ ได้ข่าวว่าตอนหลังเขาไปวัดมหายาน สาเหตุที่ข้าไม่พูดอะไร เพราะว่าข้าไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้วในเรื่องของการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา รวมถึงจักรพรรดิไท่จู่ที่พยักหน้าหลังเมามายที่ส่วนลึกของพระราชวังในตอนนั้น และคำพูดก่อนตาย ข้าคิดว่าเป็นคำพูดมั่วๆ ของคนแก่ที่ดื้อดึงและขี้เหงา ทดลองหาอำนาจและกำลังที่เป็นของตนเองกลับคืนมา เพื่อเพิ่มความลึกลับให้กับชีวประวัติของตนเอง”

“ข้าเริ่มเผชิญหน้ากับโชคชะตาคำนี้อย่างแท้จริง เริ่มคิดขบคิดว่าจักรพรรดิไท่จู่และฝ่าบาทใช้วิธีลับบางอย่างในการบูชาท้องฟ้าดวงดาวเพื่อท้าลิขิตพลิกโชคชะตาอย่างแท้จริงหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของหลายเดือนถัดไป ณ ตอนนั้น ฉินฉงเป็นเพราะบาดแผลเก่าจึงนอนป่วยบนเตียง ข้าอุตส่าห์ออกจากบ้านไปดูเขานานๆ ครั้ง พอดีเห็นนักพรตจี้รับพระบรมราชโองการในการรักษาโรคให้เขา มองดูสีหน้าของนักพรตจี้แล้ว ข้าถึงมั่นใจในที่สุดว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ”

เห็นคำพูดท่อนนี้แล้ว มือของเฉินฉางเซิงที่ถือบันทึกเริ่มสั่นนิดๆ

การพรรณนาของหวังจือเช่อถึงตรงนี้ ในที่สุดก็เริ่มเข้าใกล้จุดสำคัญของเรื่องนี้ สิ่งที่ทำให้เขาตอบสนองอย่างรุนแรงแบบนี้กลับไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ สมุดบันทึกเล่มนี้พูดถึงชื่อที่แปลกประหลาดมากเกินไป อย่างเช่นพี่ใหญ่ น่าจะเป็นโจวตู๋ฟูที่รบชนะจักรพรรดิไท่จงที่ลั่วหยาง ตอนนี้ไม่คิดว่ามีการปรากฏชื่ออาจารย์ของเขาอีกครั้ง

“ตอนที่ข้าเขียนตัวหนังสือเหล่านี้ลงบนกระดาษ ขุนนางที่มีคุณูปการต่อแผ่นดินทั้งยี่สิบสี่ท่านในหอหลิงเยียน ตายไปแล้วสิบเจ็ดคน อาจจะในอีกไม่ช้าก็ถึงตาข้า ปีที่ผ่านๆ มา ข้าทำตามความประสงค์ของฝ่าบาท ไม่ได้ดำรงตำแหน่งใดๆ ในราชสำนัก เพียงแต่สอนหนังสือที่สำนักเด็ดดารา คิดอยากจะสืบบางอย่างคงจะมีความลำบาก ทำได้เพียงแต่ถามฉินฉงตรงๆ ก่อนที่เขาตาย ข้าเชื่อ แม้ฝ่าบาทจะใช้ชีวิตของบ่าวไพร่ที่จงรักภักดีเหล่านี้ไปบูชาให้กับท้องฟ้าดวงดาวจริงๆ เขาก็ไม่ปกปิดบางคน อย่างเช่นฉินฉง ตามที่คาดไว้ ไม่เพียงแค่ฉินฉง กลุ่มพวกอวี่กงล้วนรู้เรื่องนี้”

“ในคืนนั้น ข้ามองฉินฉงที่ชรากว่าอายุจริงหลายเท่า เงียบขรึมไปพักใหญ่ ข้าไม่เข้าใจในเมื่อพวกเขารู้ ในเมื่อฝ่าบาทพูดกับพวกเขาอย่างเปิดเผยก่อนแล้ว ทำไมพวกเขายังสามารถยอมรับได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ฉินฉงพูดกับข้าว่า ฝ่าบาทปฏิบัติต่อข้าในฐานะขุนนางแห่งราชอาณาจักร ช่วยชีวิตข้าหลายรอบ เขาเอาชีวิตนี้คืนให้ฝ่าบาท ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

“คนอย่างฉินฉงและอวี่กงที่เต็มใจสละชีพเพื่อภารกิจแผ่นดินของฝ่าบาทมีจำนวนมาก แต่ไม่รวมข้า ข้าไม่เต็มใจ”

“กษัตริย์ให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อยากตาย”

“ฝ่าบาทสงสัยข้ามาหลายปี ข้าก็ยากที่ถือว่าเป็นผู้จงรักภักดี”

“คำพูดของฉินฉงก่อนตายในคืนนั้นพูดถูก ข้าไม่เคยวางตำแหน่งของตัวเองไว้ชัดเจน ข้าไม่เคยมองฝ่าบาทเป็นเจ้านายของข้า ข้ายังคงเป็นนักเรียนหนุ่มในเมืองลั่วหยางในปีนั้นที่ตะกละชื่นชมทิวทัศน์อันสวยสดงดงาม ลืมเป้าหมายของการเดินทาง แต่ไหนแต่ไรมาข้าคิดว่าฝ่าบาทยังคงเป็นคุณชายผู้สง่าผ่าเผยในปีนั้น คิดว่าเขายังคงเป็นเพื่อนกับข้า”

“ที่สำคัญสุดคือ ข้าสามารถตายเพื่อหลายๆ เรื่องได้ แม้กระทั่งตอนที่ชีวิตของฝ่าบาทถูกคุกคาม ข้าก็ยอมสละชีพเพื่อเขา เพื่อรบชนะเผ่ามาร เพื่อให้เผ่าของแผ่นดินมีความสงบหมื่นปี ข้าก็ยอมไปตาย ความจริงในตอนนั้นที่ที่ราบหิมะ ข้าก็เกือบตายหลายครั้ง แต่ข้าไม่ยอมตายเพราะเรื่องแบบนี้”

“เพราะว่าข้าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้”

“ข้าไม่เชื่อการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา”

“ต้าโจวสามารถ ตั้งมั่นแผ่นดิน ไท่จู่สามารถโจมตีเมืองลั่วหยางและจิงตูแตกได้ติดต่อกัน และสุดท้ายขึ้นครองราชย์หน้าสุสานเทียนซู ไม่ใช่เพราะเขาเอาชีวิตปราชญ์เมธีไปบูชาให้กับท้องฟ้าดวงดาวเพื่อจุดสว่างดาวจักรพรรดิของตนเองจริงๆ แต่เป็นเพราะเขาโชคดีอย่างมากที่มีบุตรชายทั้งหลายที่มีความสามารถ ภายใต้ความกดดันที่ยากจะกล่าว เหล่าบุตรชายที่มีความสามารถแข่งขันกันเอง ที่เปลี่ยวในเมืองเทียนเหลียงรวมถึงบนเวทีต้าลู่ในเวลาต่อมา ล้วนส่องแสงที่แสบตา ฉีอ๋องยิ่งเป็นคนที่โดดเด่นในนั้น อดทน โหดร้าย มีความสามารถในการสังเกตมุมมองโดยรวมอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าไร้ที่ติ ไม่มีบุตรชายเหล่านี้ ตระกูลเฉินเมืองเทียนเหลียงจะสามารถรุ่งเรืองในวันนี้ได้อย่างไร?”

“ส่วนเรื่องของดวงนั้น ยิ่งเป็นเรื่องคาดเดามั่วซั่วของเหล่าประชาชนไม่รู้ความ ไท่จู่นำพากองทัพสามหมื่นคนออกจากเส้นทางภูเขาทิศบูรพา โจมตีชนะสิบเจ็ดเมืองติดต่อกัน สามสนามรบแรกที่ต่อสู้รุนแรงสุด และอันตรายที่สุด แต่เขาสามารถรอดในสถานะเกือบตาย ไม่เคยอาศัยโชคชะตาใดทั้งนั้น แต่เป็นเพราะฉู่อ๋องและฉีอ๋องยืมพลหมาป่าสามพันจากเผ่ามาร เพื่อการทลายวงล้อมของลั่วหยาง ไม่ว่าเขาใช้วิธีใดก็ตามสามารถปกปิดความลับศัตรูได้ ทว่าไหนเลยสามารถปกปิดคนทั้งแผ่นดิน แล้วจะไปปกปิดขุนนางที่ใกล้ชิดได้อย่างไร คืนนั้นที่ลั่วหยางพี่ใหญ่ตระเวนฆ่าคนครั้งใหญ่ คนอื่นไม่รู้ แล้วข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?”

“สาเหตุที่เผ่ามนุษย์รบชนะเผ่ามาร เป็นเพราะกำลังแผ่นดิน เป็นเพราะมหาจักรพรรดิ เป็นเพราะการเตรียมตัว เป็นเพราะพลังของการรวมตัว เป็นเพราะการเป็นพันธมิตรกับเผ่าปีศาจ เป็นเพราะการใช้ชีวิตจิตวิญญาณของฝูงชน และเป็นเพราะหิมะตกหนักติดต่อกันหกปีในทางเหนือ แล้วก็เป็นเพราะความวุ่นวายภายในของเผ่ามาร ราชามารต้องการปราบปรามพื้นที่ที่เกิดความวุ่นวาย พลหมาป่าบาดเจ็บสาหัส นี่เกี่ยวข้องอะไรกับการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาอีกด้วย? ยี่สิบสี่ขุนนางในหอหลิงเยียนถวายบูชาให้กับท้องฟ้าดวงดาว? การตายของพวกเขาดูมีปัญหาก็จริง แต่ในความคิดของข้าแล้ว เป็นเพียงวิธีของฝ่าบาท ปลดข้าราชการไปกับกษัตริย์ ตายไปพร้อมกันก็แค่นั้น…”

หน้าสุดท้ายของการบันทึกนี้ หวังจือเช่อพูดเช่นนี้

“โลกมนุษย์เดิมไม่มีเส้นทาง เพียงแต่ทางมันอยู่ใต้เท้าของพวกเรา ดูว่าจะเดินอย่างไร จะเลือกตำแหน่งของตัวเองอย่างไร”

“ตำแหน่งมันถูกต้องอยู่แล้ว ข้ามองกษัตริย์เป็นกษัตริย์ ข้าก็จะเป็นขุนนาง ในสายตาข้าไม่มีกษัตริย์ ข้าก็จะไม่ใช่ขุนนาง”

“ดังนั้น ไม่มีโชคชะตา มีเพียงแค่ตัวเลือก”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset