ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 208 ขอบคุณ ไม่ต้องเกรงใจ

เวลาราวกับหยุดอยู่กับที่

เศษดาวที่แตกละเอียดราวแผ่นหิมะ ลอยล่องอยู่ในม่านฟ้ารัตติกาลหน้าสุสานเทียนซู

สวินเหมยและฮั่นชิงต่อสู้กันอย่างเงียบๆ

แผ่นหิมะแผ่นหนึ่ง ตกลงมาจากยอดชายคาของศาลา ตกลงบนชุดเกราะของฮั่นชิง ละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ต่อจากนั้นก็ระเหยกลายเป็นไอ

เวลาเริ่มต้นใหม่

สีหน้าโก่วหานสือเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ปล่อยมือของเฉินฉางเซิงอย่างไม่ลังเล จับปลอกกระบี่เหล็กหนึ่งชุ่นบริเวณข้างเอวของชีเจียนอย่างแน่น ชักกระบี่ออกมาราวกับฟ้าแลบ

ไหวพริบของเฉินฉางเซิงรวดเร็วอย่างยิ่ง เสียงเคร้งเสียงหนึ่งดังขึ้น ดึงกระบี่เวิ่นสุ่ยจากข้างเอวของถังซานสือลิ่วที่อยู่ข้างๆ ปรากฏตัวออกมา

กระบี่สองด้ามแทงทะลุหิมะอ่อนจางที่ล่องลอยอยู่ตรงหน้าของเหล่าเด็กหนุ่ม ป้องกันเอาไว้

เกิดเสียงระเบิดดังมากเสียงหนึ่ง ดังขึ้นมาหน้าถนนเสิน!

จากนั้นเป็นเสียงปริแตกจำนวนมากดังขึ้น น้ำแข็งจำนวนมากแตกกระจายออก และจากนั้นก็เป็นเสียงหวีดหวิวของลมหิมะ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ กลางสนามถึงกลับมาเงียบสงบใหม่

เศษดาวไม่ใช่หิมะที่แท้จริง บนถนนเสินหน้าศาลา แน่นอนว่าไม่มีการสะสมของหิมะ

สวินเหมยหลงเหลือรอยเท้านับสิบสายบนถนนเสิน ในรอยเท้าที่อยู่ด้านหน้าสุด กลับสะสมหิมะขึ้นมา

รอยเท้านั่นเดิมเปียกอยู่ ติดน้ำใสในคลองตื้น ตอนนี้กลับถูกแช่แข็งกลายเป็นเศษหิมะ

รอยเท้าเหล่านั้น เริ่มต้นที่ด้านหน้าสุด ค่อยๆ กลายเป็นสีของหิมะ

ทุกย่างก้าวกลายเป็นหิมะ รอยเท้าก็คล้อยตามเปลี่ยนเป็นพร่าเลือน

ราวกับว่าคนที่ก่อนหน้านี้เดินอยู่บนถนนเสิน เริ่มถอยหลัง

รอยเท้าเหล่านั้นกลายเป็นหิมะอย่างต่อเนื่อง หายไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถอยไปถึงสุดเส้นนั้น

ความตั้งใจแน่วแน่ของสวินเหมย ถอยกลับมา ถอยกลับมาในร่างกายของเขา

ร่างกายของเขาที่เอนไปข้างหน้า พอโดนโจมตีกลับอย่างแรง ก็กลายเป็นตั้งตรงมาก

ตูม! สวินเหมยกระดอนไปจากพื้นดิน ปลิวไปยังด้านหลังม่านฟ้ารัตติกาล ผมสีดำเริงร่ายเต้นระบำ ผมสีขาวสองสามกระจุกที่แทรกอยู่ในนั้นยังคงสะดุดตาภายใต้แสงดาว

แต่ที่ฉูดฉาดยิ่งกว่า กลับเป็นเลือดสดที่พ่นพรวดออกมาจากปากของเขา

เสียงตุบดังขึ้นเสียงหนึ่ง เขาล้มลงไปบนคลองตื้นเหล่านั้นอย่างรุนแรง น้ำกระเซ็นขึ้นมาจำนวนมาก

มองดูภาพนี้ เฉินฉางเซิงไม่สนใจร่องรอยไอพลังปราณที่ยังคงอันตราย วิ่งไปทางนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกคุ้นเคยกับสวินเหมยมาก

ม่านฟ้ารัตติกาลบนที่ราบหินเหมือนกับพื้นดิน มีรอยร้าวเต็มไปทั่วบริเวณ น่ากลัวอย่างยิ่ง ระยะห่างเพียงแค่หลายสิบจั้ง เสื้อผ้าของเฉินฉางเซิงก็ถูกตัดเป็นเศษเล็กละเอียดจำนวนมาก ในขณะเดียวกันผิวหนังก็ปรากฏรอยสีขาวจำนวนมาก หากไม่ใช่เป็นเพราะชำระกระดูกอย่างสมบูรณ์ ต้องเลือดตกยางออกแน่นอน กระทั่งอาจไม่มีปัญญาวิ่งไปที่ตัวของสวินเหมย

ลมราตรีค่อยๆ เงียบสงบ เศษหิมะกลายเป็นแสงสว่างดวงดาวเกือบทั้งหมด ความเงียบสงบของสุสานเทียนซูกลับคืนมา โก่วหานสือถึงจะปล่อยกระบี่เหล็กหนึ่งชุ่นที่อยู่ในมือลง

นาทีสุดท้ายก่อนหน้า กลางสนามเกิดเสียงแตกร้าวจำนวนมากขึ้นมา เป็นสายลมแหลมคมที่เกิดจากไอพลังปราณของผู้แข็งแกร่งทั้งสองปะทะกัน เสียงกวาดล้างสี่ทิศ ถ้าไม่ใช่โก่วหานสือและเฉินฉางเซิงเห็นสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ใช้กระบี่ต้าน เหล่าเด็กหนุ่มต้องบาดเจ็บแน่นอน ดีที่แม้สงครามสนามนี้จะน่าหวั่นเกรง แต่เหล่าไอพลังปราณที่โจมตีใส่ตัวพวกเขาเหลือเพียงแค่ร่องรอย และกระบี่เหล็กหนึ่งชุ่นเป็นวิชากระบี่ของโถงบทบัญญัติพรรคกระบี่หลีซาน บนการจัดลำดับร้อยศาสตราล้วนมีตำแหน่ง ไม่มีความเสียหายใดๆ เพียงแต่หลังมือของโก่วหานสือกลับมีรอยแผลถลอกจำนวนมากปรากฏขึ้นมา หยาดโลหิตกำลังไหลออกมาด้านนอก

เขาเอากระบี่เหล็กหนึ่งชุ่นส่งให้ชีเจียน และวิ่งไปที่กลางสนามเช่นกัน

เฉินฉางเซิงอุ้มสวินเหมยที่อยู่ในคลองตื้นออกมาแล้ว กำลังจับชีพจรให้เขาอยู่

สวินเหมยนอนราบอยู่กับพื้น เลือดที่พ่นอยู่บนเสื้อผ้าถูกน้ำคลองชำระทิ้ง ไม่เห็นรอยบาดแผลใดๆ

โก่วหานสือเหมือนเฉินฉางเซิง ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าคุ้นเคยกับสวินเหมย ก่อนหน้านี้ตอนที่สวินเหมยฝ่าถนนเสิน ล้วนแอบเข้าข้างสวินเหมยอย่างเงียบๆ แน่นอนว่าไม่อยากให้เขามีเรื่อง ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”

เฉินฉางเซิงเก็บนิ้วมือกลับมาจากบริเวณชีพจรของสวินเหมย หลังเงียบขรึมไปพักหนึ่ง ส่ายหัวไปมา

สองคนที่มากกว่าขั้นรวบรวมดวงดาว หรือกระทั่งสามารถพูดได้ว่าใกล้เข้าถึงสงครามระหว่างผู้แข็งแกร่งจากขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ น่ากลัวกว่าก่อนหน้านี้ที่ปรากฏความผิดปกติออกมาที่ถนนเสิน ภายนอกร่างกายของสวินเหมยไม่มีบาดแผล แต่ความจริงแล้วเส้นลมปราณในร่างกายล้วนฉีกขาดไปหมดแล้วโดยสิ้นเชิง แดนอเวจีเสียหาย แม้ว่าความทรงจำยังไม่เสียหาย แต่ความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปนั้นไม่มีแล้ว

นี่ต่างจากสภาพร่างกายของเฉินฉางเซิงโดยสิ้นเชิง

โก่วหานสือเงียบขรึมไร้คำพูด

ณ ตอนนี้ ถังซานสือลิ่วและพวกก็ตามมาเช่นกัน

ในศาลา ขุนพลเทพฮั่นชิงก้มหัว ใบหน้าที่แก่ชราถูกปิดบังโดยชุดเกราะอีกครั้ง อึมทึมไปทั่ว นอกจากฝุ่นที่ยังคงเริงร่ายเต้นระบำอยู่ ราวกับแทบจะไม่ได้ขยับเลย

ในตอนที่ไม่มีใครสนใจ เสียงถอนหายใจค่อยๆ ดังขึ้นอย่างเลือนราง

……

……

“รบกวนส่งข้าออกจากสุสาน”

สวินเหมยมองเหล่าเด็กหนุ่ม พูดด้วยความอ่อนเพลียว่า “ข้าอยู่ในนี้มาแล้วสามสิบเจ็ดปี รู้สึกเอียนนิดหน่อยจริงๆ ถึงแม้ไม่อยาก แต่สุดท้ายแล้วยังต้องตายในนี้”

แม้ว่าอ่อนเพลีย แต่สีหน้าเขาสงบมาก สำหรับผู้บำเพ็ญแล้ว ร้องขอความรู้แล้วได้ความรู้ ยังมีอะไรน่าเสียดายอีก

โก่วหานสือคิดแล้วคิดอีก ถามว่า “ท่าน…มีอะไรจะสั่งเสียไหม?”

“ข้ายังมีแรงพูดคำสั่งเสีย ไม่ต้องรีบในเวลานี้”

สวินเหมยยิ้มอย่างลำบาก จากนั้นมองดูพวกเขา พูดอย่างตั้งใจว่า “ขอบคุณพวกเจ้าเด็กๆ ทั้งหลาย”

นี่เป็นครั้งที่สองของเขาแล้วที่ขอบคุณอย่างหนัก

เจ๋อซิ่วพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “พวกข้าไม่ได้ทำอะไร”

สวินเหมยมองเขาแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวเองตายอย่างไร ล้วนเป็นเพราะประโยคที่ว่าตายอย่างกระจ่างของเจ้า จะไม่ขอบคุณเจ้าได้อย่างไร?”

เฉินฉางเซิงมองดูเขาแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วน

สวินเหมยยิ้มนิดๆ พลางพูดว่า “จะพูดเรื่องยืมที่พักขอค้างคืนใช่หรือไม่?”

เฉินฉางเซิงในใจคิดว่าท่านจะตายอยู่แล้ว ข้าจะถามคำถามประเภทนี้ได้อย่างไร

สวินเหมยพูดว่า “ก็แค่บ้านพังๆ หลังหนึ่ง พวกเจ้าอยากอยู่ก็อยู่ไปเถอะ ข้าอยู่ในนี้ไปแล้วสามสิบเจ็ดปี หลักการสอบใหญ่ของทุกปี จะมีเด็กบางคนที่นอนกลางดินกินกลางทรายหลายวันแล้วถึงนึกขึ้นได้เข้ามา หาที่พักไปทั่ว…แต่ข้าชอบความเงียบสงบ พวกเจ้าอยู่ก็อยู่ไป แต่คนอื่นก็ไม่เอาดีกว่า”

ประโยคนี้แฝงความหมายเป็นนัยไว้อย่างเลือนราง เพียงแต่ตอนนี้พวกเฉินฉางเซิงจะไปสังเกตจุดนี้ได้อย่างไร

……

……

โก่วหานสืออุ้มสวินเหมยขึ้นมา วางไว้บนหลังของกวนเฟยไป๋ เหล่าเด็กหนุ่มเดินส่งสวินเหมยไปยังนอกสุสานเทียนซู

เหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอะไร ตั้งแต่แรกจนจบมิได้ปรากฏออกมา

มาถึงประตูหลักของสุสานเทียนซู ไม่ได้รอถังซานสือลิ่วเปิดปากตะโกนหาคน ประตูหินค่อยๆ เปิดเอง

พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงไฟนอกสุสานก็วูบไหวเล็กน้อย ทหารที่เฝ้าสุสานรออยู่ข้างนอกแล้ว

สวินเหมยสะกิดให้กวนเฟยไป๋ปล่อยตัวเองลงมา เดินออกไปยังนอกสุสานเทียนซู

กลุ่มเฉินฉางเซิงมองเงาหลังของเขา อารมณ์ซับซ้อนผิดปกติ

ท่านนี้เคยเป็นศิษย์ที่รักของสำนักเทียนเต้า อ่านแผ่นป้ายในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปี ในที่สุดคืนนี้สามารถออกไปได้แล้ว

เพียงแต่ น่าจะมีเพียงคืนนี้

ตัวสวินเหมยเองก็เดินออกไปตามอำเภอใจประหนึ่งไม่มีความทอดถอนใจใดๆ

เข้าสุสานเทียนซู ออกสุสานเทียนซู สามสิบเจ็ดปีก็เป็นเพียงช่วงระหว่างหนึ่งปิดหนึ่งกะพริบตาของประตูหิน ความเป็นตายก็เป็นเพียงหนึ่งปิดหนึ่งกะพริบตาเช่นกัน

นอกสุสานเทียนซู มีสองคนที่รอสวินเหมยมาตลอด

เฉินฉางเซิงและคนอื่นรู้จักหัวหน้าสำนักของสำนักเทียนเต้าเหมาชิวอวี่ พากันทำความเคารพขณะยืนอยู่ในประตู ยังมีความสงสัยอยู่บ้างอีกด้วย อีกคนหนึ่งคือใคร?

ถ้าเป็นเวลาปกติ เหมาชิวอวี่เจอเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือเด็กหนุ่มเหล่านี้ แน่นอนว่าจะสั่งสอนสักคำสองคำ แต่ตอนนี้ในดวงตาเขานอกจากสวินเหมย ยังจะมีใครอีกได้ เขาเดินเร็วสองก้าว ไปข้างหน้าพยุงสวินเหมย ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คิดอยากจะพูดอะไรบางอย่าง สุดท้ายแล้วกลับไม่พูดอะไรเลย

สวินเหมยถอยหลังไปสองก้าว ทำความเคารพ จากนั้นพูดด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ข้าทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”

เหมาชิวอวี่ได้ยินเสียงเรียกศิษย์พี่นี้ น้ำตาไหลพรากอย่างกะทันหัน พูดว่า “นี่จะมาให้ลำบากทำไม นี่จะมาให้ลำบากทำไมอีก!”

เห็นศิษย์พี่น้ำตาไหล สวินเหมยไม่สามารถอดกลั้นได้อีก ขอบตาเปียกชื้น พูดว่า “ในที่สุดก็ตื่นมาได้ ถือว่าโชคดีแล้ว”

จากนั้นเขามองไปยังอีกคนหนึ่ง พูดว่า “ไม่คิดเลยว่า เจ้าจะมารอข้าที่นอกสุสาน”

อารมณ์ของคนผู้นั้นแลดูซับซ้อนมาก พูดว่า “ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าจะออกสุสานอยู่ตลอด กลับไม่คิดว่า เจ้าจะออกมาเช่นนี้”

สวินเหมยรู้สึกกระดากใจเล็กน้อย พลันกล่าว “ปีเหล่านี้ก็ทำให้เจ้าผิดหวังเช่นกัน”

สีหน้าคนผู้นั้นเคร่งเครียดอย่างกะทันหัน พูดอย่างไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า “มีคำว่าผิดหวังได้อย่างไร? การต่อสู้คืนนี้ เจ้าละลายดวงดาวเป็นหิมะ ล่วงล้ำถนนเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว ถ้าขุนพลเทพฮั่นชิงไม่ใช่ผู้เฝ้าสุสาน ไม่ได้ใส่ชุดเกราะนั้น ไม่แน่ว่าจะชนะเจ้าได้ ถ้าใช้ระดับขั้นของการบำเพ็ญมาพูด เจ้านำหน้าข้าไปแล้ว”

สวินเหมยได้ยินแล้วชะงักเล็กน้อย พูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเล็กน้อย พลางว่า “เจ้าบอกว่า ข้านำหน้าเจ้าไปแล้วหรือ?”

คนผู้นั้นกล่าว “เจ้ารู้ว่าข้าไม่เคยพูดโกหก แม้จะเป็นเวลานี้”

สวินเหมยเหม่อลอยเล็กน้อย แล้วพูดว่า “ตั้งแต่อายุสิบสองเป็นต้นมา ข้าประลองกับเจ้าหนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดครั้ง ข้าไม่เคยชนะเลย ไม่คิดว่า ในที่สุดกลับให้ข้าชนะรอบหนึ่ง”

พูดประโยคนี้จบ เขาหัวเราะอย่างมีความสุข มีความสุขอย่างยิ่ง เหมือนเด็กที่ไร้เดียงสา ความเย็นชาที่อยู่ระหว่างคิ้วนั้นแทบจะเลือนหายไปจนสิ้น

ได้ยินถึงตรงนี้ เฉินฉางเซิงและคนอื่นถึงรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร พลันตกตะลึง

เห็นเพียงอาภรณ์ของคนผู้นั้นสะอาดสะอ้านอย่างมาก ระยะห่างระหว่างคิ้วและตากลับมีความใกล้มากขึ้น แสดงออกถึงความเครียดกังวลอย่างยิ่ง เขาก็คือคนผู้นั้นจริงๆ หรือ?

ใช่ คนผู้นี้ แท้จริงมีทรัพย์สินครอบครองเกินครึ่งของสำนักต้นไหว กลับยังคงทำให้คนรู้สึกว่าเป็นผู้ชายที่ยากจนไร้ที่เปรียบ ก็คือหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่โด่งดังที่สุดในโลกในตอนนี้ เทียนเหลียงหวังผ้อ

หวังผ้อมองสวินเหมย พูดอย่างตั้งใจว่า “รออนาคต ข้าบำเพ็ญถึงบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ จะขึ้นถึงยอดไปชมแทนเจ้า”

สวินเหมยยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นก็เป็นเจ้า ไม่ใช่ข้า ถึงสุดท้ายแล้ว เจ้ายังจะทำให้ข้าโกรธอีกหรือ?”

หวังผ้อพูดว่า “แล้วสุดท้ายควรพูดอะไรบ้าง?”

สวินเหมยรู้สึกสนใจคำถามนี้มากอย่างเห็นได้ชัด ถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าอยากพูดอะไรกับข้ามากที่สุด?”

หวังผ้อคิดแล้วคิดอีกอย่างตั้งใจ จากนั้นพูดว่า “ขอบคุณเจ้า”

ตอนที่เขาพูดขอบคุณ สีหน้าจริงใจมาก ไม่มีความปลอมเท็จใดๆ และก็ไม่ใช่ปลอบใจเช่นกัน

ใช่ ไม่มีเทียนเหลียงหวังผ้อผู้ที่เยี่ยมยุทธ์ขั้นสุดในปีนั้น สวินเหมยจะขังตัวเองไว้ในสุสานเทียนซูสามสิบเจ็ดปีได้อย่างไร

ไม่มีย่ำหิมะเหมยกำจายที่แน่วแน่ดึงดันไม่ยอมแพ้กับการไล่ตามอย่างไม่หยุดหย่อนคนนั้น จะมีเทียนเหลียงหวังผ้อในตอนนี้ได้อย่างไร?

สวินเหมยมองเขาอย่างเงียบๆ พูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจ”

ประตูหินค่อยๆ ปิดลง

ภาพสุดท้ายที่เฉินฉางเซิงและคนอื่นเห็นคือสวินเหมยหลับตาลงอยู่ในอ้อมกอดของเหมาชิวอวี่

กลับไปในกระท่อม เหล่าเด็กหนุ่มบ้างนั่งอยู่บนธรณีประตู บ้างเหยียบรั้วไผ่ บ้างมองดูสุสานเทียนซู ล้วนเงียบขรึมไม่พูดจา

โก่วหานสืออายุมากสุด ระดับขั้นสูงที่สุด ตามเหตุผลแล้ว เวลานี้เขาควรพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มี

ได้รับชัยชนะในการสอบใหญ่ เข้าสุสานเทียนซู สำหรับเหล่าเด็กหนุ่มแล้ว นี่เป็นเวลาที่ควรจะจิตใจฮึกเหิมมากที่สุด ใครจะเคยไปคิดว่าคืนแรกก็เจอเรื่องแบบนี้

ในกลุ่มคนพวกเขาเหล่านี้ในอนาคต ใครจะพูดขอบคุณกับใคร และใครจะเป็นคนพูดไม่ต้องเกรงใจกับใคร?

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset