ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 22 ง่ายดายอย่างยิ่ง

อ่านตำราหนึ่งร้อยครา สัจธรรมพึงเห็นเอง มีผู้คนที่ต้องการเวลาสิบวัน มีผู้คนที่ต้องการเวลาครึ่งปี สำหรับเรื่องนี้ที่จริงแล้วไม่สิ่งใดสามารถกล่าวได้ ก็เหมือนกับสิ่งที่ถังซานสือลิ่วได้กล่าวไว้ หญิงสาวนางนั้นมักจะทำให้ผู้คนไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด เฉินฉางเซิงจึงทำได้เพียงไม่กล่าวสิ่งใด

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซวงเอ๋อร์จ้องมองเฉินฉางเซิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไม่ยินดี อาจจะเพราะนางคิดว่า ในเมื่อเจ้าและคุณหนูมีการหมั้นหมาย ถึงแม้ความสามารถจะต่างกันราวฟ้ากับดิน อย่างน้อยก็ควรจะแสดงออกว่ามีจิตใจที่แน่วแน่และมีปณิธานอันยิ่งใหญ่มิใช่หรือ

และจากที่นางดู ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าคุณหนูเขียนจดหมายส่งมาจากสถานศึกษาหนานซี เฉินฉางเซิงตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย จะเอาอะไรมาพูดว่ามีโอกาสเข้าไปยังสำนักฝึกหลวง นั่งอยู่บนพื้นที่สะอาดอ่านตำราฝึกบำเพ็ญเพียรเล่า แม้ไม่ต้องการให้เจ้าซาบซึ้งขอบคุณ แต่ก็ไม่ควรที่จะนิ่งเงียบเช่นนี้ ทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องราวเกิดขึ้น

ซวงเอ๋อร์จ้องมองเขาแล้วส่ายศีรษะ ล้วงเอาจดหมายแผ่นบางๆ หนึ่งแผ่นออกมาจากในอกแล้วยื่นออกไป

“ในเมื่อตอนนี้เจ้ามีโอกาสที่หายากยิ่งในการบำเพ็ญเพียร ก็ควรเห็นคุณค่าให้มาก เริ่มจากขั้นพื้นฐาน เท้าได้เหยียบลงไปในสนาม ไม่ต้องคิดที่จะละเลยหน้าที่แต่อย่างใด และก็ไม่ต้องนำความหวังไปโยนไว้ที่ร่างกายผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายของสตรี” นางมิรู้ว่าคิดไปถึงสิ่งใด กล่าวอย่างเฉียบขาดก่อนเดินออกไป “การบำเพ็ญเพียรก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีความคาดหวังใดๆ ก็ตาม ข้าคาดหวังว่าเจ้าจะไม่ทำลายหม้อที่แตกร้าวให้ชำรุดเสียหาย* เข้าใจความหมายของข้าหรือไม่”

เฉินฉางเซิงรับเอากระดาษแผ่นนั้นมา ตะลึงงันชั่วครู่ ไม่เข้าใจว่าประโยคของนางมีความหมายว่าอะไร ในใจใคร่ครวญว่าตนเองได้หลบเข้ามาในสำนักที่ประหนึ่งสุสานเพื่ออ่านตำราบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ จวนขุนพลเทพและคุณหนูสวียังจะคิดว่าตนขวางหูขวางตาอยู่อีกหรือ

ด้านนอกของหอตำราพระอาทิตย์ลอยอยู่กลางฟ้าสูง ใบไม้ส่งเสียงดังเกรียวกราว ลำแสงตกกระทบลงมาแตกกระจายแปรเปลี่ยนเป็นดวงแสงพร่าเลือนมากมาย โชคยังดีที่ยังคงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศไม่ค่อยร้อน บนกระดาษแผ่นนั้นมีกลิ่นหอมสดชื่นของหญิงสาว แต่กลับไม่มีเหงื่อใดๆ

เฉินฉางเซิงจ้องมองประโยคบนกระดาษ เงียบนิ่งเป็นเวลานาน

“กระทำตนให้ดีที่สุด”

ลายมือบนกระดาษค่อนข้างที่จะสวยสดงดงาม ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ตกตะลึงแต่อย่างใด โดยเฉพาะขีดตัวอักษรเป็นเส้นตรงอย่างยิ่ง มองแล้วไร้เดียงสาน่าเอ็นดู เขาคาดเดาว่าประโยคนี้คงจะเป็นคุณหนูตระกูลสวีเขียนจากดินแดนอันห่างไกลทางทิศใต้มาถึงตน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเชื่อมโยงหญิงสาวที่เขียนลายมืองุ่มง่ามไร้เดียงสาเช่นนี้กับหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ในตำนานคนนั้นได้เลย

เขาเข้าใจความหมายของประโยคนั้น ราวกับว่ามองเห็นท่าทางที่คุณหนูสวีกำลังเขียนประโยคนี้ออกมา เวลานั้นแววตาของนางน่าคงจะเย็นชาอย่างแน่นอน หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย มีบ้างที่จะทนไม่ได้ และมีบ้างที่จะไม่ยินดี มากกว่านั้นก็คืออย่างไรก็ได้

นางเขียนหนึ่งประโยคให้เขา ที่จริงแล้วกุญแจสำคัญก็คือตัวอักษร ‘ตน’

ตน ก็คือตนเอง

ดำเนินชีวิตด้วยตนเอง

อ่านตำราด้วยตนเอง

บำเพ็ญเพียรด้วยตนเอง

กินดื่มจนอิ่มด้วยตนเอง

เฉินฉางเซิงคิดใคร่ครวญสงบนิ่งชั่วครู่ จึงไม่ใคร่ครวญมากไปกว่านี้ นำกระดาษเก็บไว้ในแขนเสื้อ ยืดตัวลุกขึ้น เดินไปยังด้านหน้าของชั้นตำราเสาะหาตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มที่มีรายชื่ออยู่บนปกหลังของตำราชำระล้างกระดูก ด้านหนึ่งกำลังเสาะหา อีกด้านหนึ่งกำลังคิดทบทวนคำพูดของสาวใช้ซวงเอ๋อร์ หัวคิ้วอดไม่ได้ที่จะขมวดขึ้นมา ความเร็วของนิ้วมือที่ไล่ไปตามตำราค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเชื่องช้า

จริงหรือไม่ที่ใช้เวลาเพียงแค่สิบวันก็สามารถอ่านตำราเยอะแยะมากมายจนจบร้อยรอบ

แท้ที่จริงแล้วจะอ่านอย่างไร

‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ คือคัมภีร์บำเพ็ญเพียรแบบสรุป เป้าหมายของการฝึกฝนที่แท้จริงก็คือคัมภีร์สี่สิบเก้าเล่มที่อยู่หลังปกตำรา นักเรียนต้องใช้ความรู้กับความเฉลียวฉลาดในตำรา เพื่อที่จะชำระจิตให้บริสุทธิ์ รู้จักความแน่นอนของโลกใบนี้ มาจากจิตวิญญาณที่แข็งกล้าของตนเอง

นี่คือด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรของจิตใจที่บริสุทธิ์

คัมภีร์สวรรค์ได้ตกจากฟากฟ้าลงมายังโลกมนุษย์

ผู้คนเริ่มที่จะฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ขั้นแรกของการรวบรวมพลังจิตล้วนแต่ใช้วิธีการนี้ อาจจะเพราะว่าผู้อาวุโสจำนวนนับไม่ถ้วนได้สรุปออกมา วิธีการนี้เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด อาจจะเป็นเพราะว่าตัวอักษรคือตัวหน่วงนำความคิดเพียงหนึ่งเดียว อย่างนั้นอยากจะนำความคิดของคนรุ่นก่อนมาช่วยเหลือความคิดของตนเองให้เปลี่ยนเป็นพละกำลัง เป็นธรรมดาที่จะต้องให้ตัวอักษรเป็นตัวเชื่อมผ่าน

ในเมื่อใช้วิธีการนี้ คำอธิบายประกอบตำราชำระล้างกระดูกทั้งสี่สิบเก้าเล่ม เป็นธรรมดาที่ผู้คนมักจะยอมรับโดยทั่วไปว่าตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มสามารถช่วยให้รวบรวมพลังจิตได้มากที่สุด ตั้งแต่ปี 1582 หลังจากนิกายหลวงได้พิจารณากำหนดรายชื่อตำรา ก็ไม่เคยมีการแก้ไขอีกเลย

เฉินฉางเซิงอยู่บริเวณชั้นตำราเดินเสาะหา แม้เขาจะคุ้นเคยกับการเรียงตำราที่ผิดแปลก แต่ก็ยังใช้เวลาครึ่งชั่วยามถึงจะสามารถรวบรวมตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มได้ หลังจากนั้นจึงนำทั้งหมดย้ายมาไว้บนพื้นข้างหน้าต่าง เรียงตามลำดับให้เรียบร้อย

เขายังไม่ได้เริ่มอ่านในทันที แต่ไปที่ตรอกไป๋ฮวากินข้าวกับผักต้ม ยังไปนั่งพักผ่อนบนพื้นหญ้าริมทะเลสาบที่มีต้นไม้แน่นขนัดราวผ้าม่านอยู่ครึ่งชั่วยาม จนกระทั่งพึงพอใจ ถึงจะเดินไปยังหอตำราอีกครา หยิบตำราเล่มแรกขึ้นมาเริ่มอ่าน

ก่อนหน้าที่จะเสาะหาตำรา เขาแน่ใจว่าตำราเหล่านี้ตนเองไม่เคยอ่านมาก่อน รู้สึกเสียใจเล็กน้อย และประหลาดใจว่าตำราเหล่านี้แท้ที่จริงมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร ถึงสามารถช่วยมนุษย์ในการรวบรวมพลังจิต

หยิบตำราเล่มแรกที่มีชื่อว่า ‘เข้าใจอย่างบริสุทธิ์’ เขามั่นใจว่าตนเองไม่เคยอ่านตำราเล่มนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อเขาพลิกตำราออก หลังจากมองเห็นประโยคที่คุ้นตาเหล่านั้น เขาคิดว่าตนเองคงตาลายเสียแล้วกระมัง เหมือนกับตอนที่สอบของสำนักเทียนเต้าไม่มีผิด

ตำราเล่มนี้บางมาก แต่เขากลับรู้สึกว่าหนักเล็กน้อย เขาอ่านเนื้อหาในตำราอย่างเลื่อนลอย รู้สึกผิดหวังจิตใจห่อเหี่ยว เมื่อตนเองอายุสี่ขวบ ก็เคยอ่านเนื้อหาเหล่านี้มานานแล้ว หากจะพูดให้ชัดเจน เนื้อหาเหล่านี้เขาสามารถท่องจำจากข้างหลังมาข้างหน้าได้นานแล้ว

เพียงแค่ตอนอยู่ในวัดเก่าที่ซีหนิง ตำราเล่มนี้ชื่อว่า ‘คัมภีร์โอบอุ้มความบริสุทธิ์’

เขารู้สึกเกินความคาดหมาย เพราะว่าราวกับย้อนกลับไปตอนสอบของสำนักเทียนเต้า เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องที่ดีอย่างนั้นคงจะไม่ปรากฏมาอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะปรากฏออกมาอีกครา นี่ทำให้เขาใจลอย จนเวลาผ่านไประยะหนึ่งถึงจะรู้สึกตัว

หลังจากรู้สึกตัว เขาจึงเปิดตำราเล่มที่สองอย่างรวดเร็ว

ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า ‘รวบรวมกวีสรรเสริญสุสานเทียนซู’

ความเร็วในการพลิกหน้าตำราราวกับสายลมที่พัดเย็นสบาย ภายในเวลาอันรวดเร็วเขาก็แน่ใจว่าตำราเล่มนี้ตนเคยอ่านแล้ว ผู้อาวุโสเหล่านั้นหลังจากได้เยี่ยมชมสุสานเทียนซูจึงได้เขียนกวียกย่องสรรเสริญ ล้วนแต่อยู่ในสมองของตนเอง เพียงแต่ว่าตอนที่อ่านกวีเหล่านั้นเมื่ออายุห้าขวบในวัดเก่าเมืองซีหนิง ตำรานั้นมีชื่อว่า ‘บันทึกกวีชั้นยอด’

เฉินฉางเซิงสงบนิ่งชั่วครู่ พลิกตำราเล่มที่สาม

ยังคงเป็นเช่นเดิม

ตำราเล่มนี้เขาเคยอ่านแล้วเหมือนกัน เพียงแค่ตอนเยาว์วัยที่เคยอ่านชื่อไม่เหมือนกัน

ตำราเล่มที่สี่ ตำราเล่มที่ห้า…เขาเอาตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มดูคร่าวๆ หนึ่งรอบ เพื่อยืนยันว่าตำราเหล่านี้ตนเองล้วนแต่เคยอ่านมาทั้งสิ้น

แล้วจะเป็นเช่นนี้อีกหรือ

นี่ยังคงนับว่าดีใจหรือไม่ เฉินฉางเซิงหยิบ ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ ขึ้นมาอีกครั้ง นิ่งเงียบเป็นเวลานาน ใคร่ครวญในใจอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ามุมปากยกขึ้นเมื่อไหร่ ดวงตาหรี่ลงราวกับล่องลอยอยู่บนทางช้างเผือก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เขานึกประโยคที่แม่นางซวงเอ๋อร์กล่าวออกมาก่อนจะจากไป

‘การฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น’

เขาแหงนศีรษะมองขึ้นไป พบเพียงแค่เงาของแสงลายพร้อยอยู่ที่ประตูของหอตำรา สายลมเย็นสดชื่นพัดผ่านอย่างช้าๆ กลับไม่มีเงาผู้คน หยุดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ามีสิ่งที่ขาดหาย ถ้าหากแม่นางท่านนั้นยังอยู่ เขาอยากจะบอกนางเสียจริง ตัวเขาคล้ายกับจะรวบรวมพลังจิตได้เร็วกว่าคุณหนูของเจ้าจริงๆ

แต่ว่าทันใดนั้นเขาก็คิดไปถึงสวีโหยว่หรงที่อ่านตำราสี่สิบเก้าเล่มจบหนึ่งร้อยรอบ รวบรวมพลังจิตสำเร็จเมื่ออายุสี่ขวบ ความทระนงตนในจิตใจที่เพิ่งจะก่อเกิดพลันมลายหายไป แย้มรอยยิ้มเยาะเย้ยตนเอง ในใจใคร่ครวญไม่ได้มีความหมายอะไร

เรื่องต่อมา เขาใช้วิธีการที่อยู่ใน ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ นำตัวอักษรและข้อความของตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มที่อยู่ในหัวสมองมาเสริมสร้างจิตวิญญาณและเปลี่ยนแปลงเป็นความแข็งแกร่งของตน หลังจากนั้นรวบรวมพลังจิต

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เมื่ออยู่ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ คงจะดำเดินการทำในขั้นต่อไป แต่เฉินฉางเซิงกลับมองไปที่แสงฟากฟ้าแวบหนึ่ง พบว่าพระอาทิตย์ได้เคลื่อนไปยังทิศตะวันตก สีของท้องฟ้ายามสายัณห์ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น เขานำ ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ วางลง เก็บตำราที่อยู่บนพื้นเหล่านั้นให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากหอตำรา

เวลารับประทานอาหารเย็นมาถึงแล้ว

เพราะว่าต้องรับประทานอาหาร ดังนั้นจึงมองข้ามไม่สนใจโอกาสที่มือจะสัมผัสการเปลี่ยนโชคชะตา ถ้าหากกล่าวว่านี่คือการบังคับตนเอง ข้อบังคับนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่าช่างเคร่งครัดโหดเหี้ยมทารุณ เหมือนกับเป็นการทำร้ายตนเองอย่างโหดเหี้ยมอย่างหนึ่ง แต่ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นความมั่นใจอย่างหนึ่ง เพราะเขาเชื่อว่าโอกาสนั้นจะไม่จากไป

จากการสมัครสอบเข้าสำนักเทียนเต้า จนมาถึงวันนี้ตำราสี่สิบเก้าเล่มที่อยู่ในสมองได้ปรากฏออกมาอีกครา เฉินฉางเซิงสามารถยืนยันเรื่องราวบางอย่าง อาจารย์ได้คิดขั้นพื้นฐานของการฝึกบำเพ็ญเพียรทั้งหมดให้เขามานานแล้ว แท้จริงแล้วอาจารย์ไม่ใช่คนธรรมดา

หนทางการฝึกบำเพ็ญเพียรค่อยๆ ทอดยาว แต่เขาและศิษย์พี่ลำบากลำบนท่องตำราตั้งแต่เยาว์วัย ตำราหมื่นเล่มล้วนอยู่ในใจ เท่ากับว่าเขาออกเดินทางก่อนผู้อื่นมานานแล้ว เขาได้เดินทางหมื่นลี้แล้ว อย่างนั้นก็สมเหตุสมผลที่เขาจะถึงฝั่งก่อนผู้อื่น

แต่ไหนแต่ไรเฉินฉางเซิงเชื่อมั่นในตนเองอย่างยิ่ง ตอนนี้ยังแน่ใจในบางเรื่อง ยิ่งทำให้เพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง ขณะนี้แสงอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้มยิ่งขึ้น พระอาทิตย์ค่อยๆ จะใกล้ลับขอบฟ้า แต่ว่าจิตใจของเขายิ่งเบิกบาน ราวกับมีแสงอาทิตย์สีแดงดวงหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ แล้วจะกังวลกับทางข้างหน้าที่มืดมิดทำไมเล่า

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เขากลับไปยังหอตำราอีกคราหนึ่ง ต้มน้ำในกาให้เดือด ชงชาดอกไม้ที่ซื้อมาจากตรอกไป๋ฮวาหนึ่งแก้ว นั่งขัดสมาธิ ทำจิตใจให้สงบนิ่งชั่วครู่ สายตาค่อยๆ มองกวาดไปยังตำราทั้งสี่สิบเก้าเล่มที่วางอย่างเป็นระเบียบ สุดท้ายจึงมาหยุดอยู่ที่ ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’

ตัวอักษรในตำราเหล่านั้น ลอยขึ้นมาจากในสมองส่วนลึกของเขา ความทรงจำเมื่อครั้งเยาว์วัยได้หวนกลับมา แปรเปลี่ยนเป็นชัดเจนอย่างยิ่ง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ปล่อยออกมาเป็นกลิ่นอายพลังปราณชนิดหนึ่ง ตามวิธีในบทแรกของ ‘คัมภีร์ชำระล้างกระดูก’ ในความคิดของเขาโลกนี้ไม่หยุดที่จะผสมผสานกัน

อยู่ในวัดเก่าเมื่อหลายปีก่อน เขาสำเร็จการเปิดโลกปัญญา เวลานี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือตั้งจิตให้มั่น

เขากำลังหลับตา คิดใคร่ครวญอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นค่อยๆ ลืมเลือนการครุ่นคิด

สิ่งที่เรียกว่าการเข้าใจเนื้อแท้ของตน ที่จริงแล้วไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใด

เพียงแค่เข้าใจและพลิกแพลงคำเหล่านั้นได้เท่านั้นเอง

เวลาค่อยๆ ผ่านไปเหมือนสายน้ำ พื้นด้านนอกของหอตำราเปียกชื้น ไม่รู้ว่ามีกบส่งเสียงร้องเมื่อใด

ชัดเจนอย่างยิ่งว่ายังคือต้นฤดูใบไม้ผลิ

ความมืดยามราตรีค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดมิดยิ่งขึ้น ดวงดาวเต็มท้องฟ้าค่อยๆ ส่องแสงสว่างไสวชัดเจน ผู้คนในเมืองจิงตูส่งเสียงดังแซ่ซ้อง

อยู่ในสำนักฝึกหลวงเพียงลำพังยังคงสงบเงียบเช่นนี้

ตะเกียงน้ำมันในหอตำรามีแสงไฟริบหรี่ แต่คล้ายกลับว่าจะไม่มีวันมอดดับไปตลอดกาล

ทันใดนั้น ในหอตำราพลันเกิดเสียงทุ้มเบาดัง ‘หึ่ง’

เสียงนี้มาจากระหว่างแผ่นฟ้าและผืนดิน

สายลมพัดไหวระหว่างอาคาร

เฉินฉางเซิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาสับสนเล็กน้อย หลังจากนั้นค่อยๆ สงบ ท้ายที่สุดเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ

เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน เขารวบรวมพลังจิตสำเร็จ

การบำเพ็ญเพียร เดิมทีก็ง่ายดายอย่างยิ่ง

*ทำลายหม้อที่แตกร้าวให้ชำรุดเสียหาย หมายถึง ทำเรื่องเลวร้ายให้แย่ลงไปกว่าเดิม

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset