ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 219 เรื่องราวแต่ก่อนรู้เท่าใด (ตอนปลาย)

คำพูดท่อนนี้หยาบมาก เหตุผลก็หยาบมาก เหมือนกับก้อนหิน ทว่ากลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อับจนปัญญาที่จะไม่เห็นด้วย สุสานเทียนซูก็เป็นสถานที่ที่พิเศษเช่นนี้ ถ้าเจ้าไม่ไปสนใจเรื่องลำดับรุ่น ไม่เกรงกลัวใครสักคน ฉะนั้นอยู่ในนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใคร เพราะว่าอยู่หน้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ทุกคนล้วนเสมอภาคกัน

จี้จิ้นโกรธจนตัวสั่น พูดเสียงสั่น ว่า “ดีมาก ดีมาก เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักใด ไม่คิดว่าจะกล้า…”

“คิดอยากจะสอบถามประวัติของข้า แล้วให้คนนอกสุสานเทียนซูมาจัดการข้าหรือ?”

ถังซานสือลิ่วพูดด้วยใบหน้าที่ไม่แยแสใครว่า “ข้าเป็นหลานเพียงผู้เดียวของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย ถ้าสำนักต้นไหวยอมล่วงเกินท่านปู่ของบ้านข้า ก็เชิญ”

ไม่มีใครยอมล่วงเกินตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ย แม้ขนาดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังประนีประนอมต่อผู้ชราที่โดดเดี่ยวคนนั้น อย่างมากก็แค่ว่ากล่าวเขาสักประโยคสองประโยคว่าหัวโบราณ หัวแข็งดื้อรั้น เพราะว่าตระกูลถังมีฐานข้อมูลที่ยาวนาน ตระกูลถังมีวิชาจักรกลที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา ที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลถังมีเงิน มีเงินจำนวนมาก

จี้จิ้นเพิ่งจะรู้สถานะของถังซานสือลิ่ว สีหน้าเขียวคล้ำ ชายเสื้อสั่นระรัว กลับไม่ทำการใดๆ แน่นอนว่า เขาก็สามารถไม่สนใจกฎเกณฑ์ของสุสานเทียนซูเช่นกัน อาจลงมือสั่งสอนถังซานสือลิ่วสักรอบโดยตรง แต่อย่างนั้นเขาก็จะไม่สามารถอยู่ในสุสานเทียนซูต่อไปได้ และเนื่องจากเป็นสถานะของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ยิ่งต้องได้รับบทลงโทษที่เข้มงวดมากขึ้น

หลังจากเข้าสำนักฝึกหลวงมา ถังซานสือลิ่วแสดงท่าทีหยาบคายบ่อยๆ คำหยาบเต็มปาก ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพียงความดื้อรั้นแบบหนึ่งของผู้เยาว์วัย และก็เป็นการเสริมบางอย่างให้กับเฉินฉางเซิงที่เงียบขรึมเกินไป เขามาถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ก็มิได้หยุดลงมา ยื่นมือลากเฉินฉางเซิงเสร็จก็เดินลงไปยังข้างล่างสุสานเทียนซู ระหว่างทางขาก็เดินไปพลางปากก็บ่นไปพลาง “ดูอนาคตที่ริบหรี่ของเจ้าสิ แค่ถกเถียงยังเถียงไม่ชนะคนหนึ่ง ช่างอับอายขายขี้หน้าสำนักฝึกหลวงจริงๆ”

โก่วหานสือฝืนยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ทำความเคารพลาท่านเหนียนกวง เดินลงเขาตามชายหนุ่มสองคนนั้น

ผู้คนรอบกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์มองหน้ากันและกัน ไฟตะเกียงน้ำมันดวงนั้นที่แขวนอยู่บนต้นไม้ยิ่งมายิ่งมืด ราวกับที่นี่ในก่อนหน้านี้ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย

……

……

เดินออกจากป่าเทียนซูโดยผ่านเส้นทางภูเขา กระโดดข้ามคลองที่อยู่ข้างเส้นทางหลัก ก็เข้าไปยังสวนส้ม ป่าไม้ภายใต้แสงม่านฟ้ารัตติกาลคล้ายอึมครึมเล็กน้อย ดีที่คืนนี้ดวงดาวสุกใสเป็นอย่างมาก ไหลซัดความรู้สึกเหล่านี้ให้เบาบางลง เฉินฉางเซิงมองสายคาดเอวที่เฉิดฉายแสงระยิบระยับเส้นนั้นของถังซานสือลิ่ว ถามว่า “ทำไมคืนนี้ถึงโอ่อ่าลำพองขนาดนี้?”

“ลำพองในเวิ่นสุ่ยเป็นคำด่า ทีหลังขออย่าได้พรรณนาข้าเช่นนี้” ถังซานสือลิ่วพูดอย่างจริงจัง จากนั้นอธิบายว่า “กลางดึกตื่นขึ้นมาสังเกตว่าพวกเจ้าสองคนไม่อยู่ ก็เลยออกตามหาพวกเจ้า รีบเดินไปหน่อย สุ่มหยิบสายคาดเอวจากในถุงหนัง ทันดูว่าอะไรเป็นแบบไหนเสียที่ไหน”

เฉินฉางเซิงพูดอย่างตั้งใจว่า “ดีที่เจ้าไม่มั่วหยิบสายคาดเอวหนังชิ้นนั้นออกมา ไม่อย่างนั้นตอนเข้ามาในสนามจะถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นหมีตัวหนึ่ง”

ถังซานสือลิ่วเดาะลิ้นสองที พูดว่า “เจ้าก็เยาะเย้ยเสียดสีเป็นเหมือนกันนี่นา ก่อนหน้านี้ทำไมเหมือนนกกระทาตัวหนึ่ง? หรือว่าจะออกท่าวางก้ามแค่กับคนกันเอง?”

เฉินฉางเซิงส่ายหัวไปมา ไม่สามารถโต้ต่อได้จริงๆ คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เช้าตรู่ยันกลางคืน ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เหตุใดผู้อาวุโสจี้จิ้นถึงกระทำเช่นนี้?”

“แต่ก่อนผู้คนคิดว่าคนแก่อย่างใต้เท้ามุขนายกอยากยืมเจ้ามาฟื้นฟูสำนักฝึกหลวง หลังจากการสอบใหญ่ถึงรู้ว่าใต้เท้าสังฆราชก็เห็นเจ้าสำคัญมากเช่นกัน เหล่าคนที่ภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แน่นอนว่าเริ่มกดดันขึ้นมา พรรคทางใต้ไม่ยอมลงต่อพระราชวังหลีมาตลอด ถูกพวกเขากล่อมให้มากดดันเจ้า ก็เป็นเรื่องที่ปกติมากเช่นกัน”

ตอนที่ถังซานสือลิ่วพูดถึงสำนักพรรคทางใต้ มองโก่วหานสือปราดหนึ่ง

โก่วหานสือแย้มยิ้มเล็กน้อย มิได้กล่าวคำ

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดเล็กน้อย พูดว่า “เหตุผลนี้อาจมีส่วน แต่อารมณ์ของผู้อาวุโสจี้จิ้นนั้นผิดปกติอย่างชัดเจน”

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “เช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ไม่ใช่ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ทุกคนล้วนสามารถกระทำถึงขั้นสงบจิตใจดั่งสายน้ำได้ แม้ว่าตอนแรกสุดที่เข้าสุสานเทียนซูนั้นทำได้ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ความเร็วในการบำเพ็ญหยุดนิ่งไม่ขยับ ผู้รับใช้แผ่นป้ายบางคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการสำนึกเสียใจ แต่แล้วกลับถูกกักขังตามกฎระเบียบสุสานเทียนซูและการสาบานโลหิตทั้งหมดในปีนั้น ไม่กล้าจากไป ในจิตใจอาจเกิดปัญหาได้ง่ายจริงๆ”

โก่วหานสือพูดอยู่ข้างๆ ว่า “และในมุมมองของข้า จี้จิ้นอาจคิดว่าผู้อาวุโสสวินเหมยอาจมีโอกาสมากที่จะเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ไม่คาดว่าเมื่อคืนกลับมีการกระทำที่กล้าหาญแน่วแน่ วิญญาณกลับสู่ทะเลดวงดาว ก็ถือว่าจากไปจากสุสานเทียนซู แม้ว่าไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพวกเรา เขากลับคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับพวกเรา หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะใส่อารมณ์โมโหไปบนตัวข้าและเจ้า”

เฉินฉางเซิงเดิมอยากจะถาม จี้จิ้นไม่อยากเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ต่อในสุสานเทียนซู แล้วผู้อาวุโสสวินเหมยจากไปจากสุสานเทียนซู ไม่สามารถกลายเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ เขาน่าจะดีใจมิใช่หรือ เพราะอะไรถึงเกิดความโกรธแค้นที่เข้มข้นขนาดนี้ จู่ๆ ก็เข้าใจ ยังคงเป็นปัญหาสันดานเดิมของมนุษย์เหล่านั้นที่ทำให้ผู้คนรู้สึกทอดถอนใจ ทนไม่ได้ส่ายหัวไปมา

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “มีเสียงเล่าลือมาตลอด ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูล้วนวิปริตเล็กน้อย ไม่ค่อยได้รับความชอบใจจากผู้คนสักเท่าไร แต่ถ้าขบคิดอย่างละเอียดรอบคอบ กฎระเบียบชนิดนี้เดิมก็วิปริตมากอยู่แล้ว”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ไม่ค่อยมีมนุษยธรรมจริงๆ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่”

โก่วหานสือพูดว่า “ความยั่วยวนของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่มีต่อผู้บำเพ็ญมันมากเกินไปจริงๆ อีกทั้งสถานะของผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูนั้นมีความพิเศษ ลูกศิษย์พรรคสำนักที่เข้าสุสานมาใหม่ในแต่ละปี สามารถได้รับการดูแลจากพวกเขา ท่านเหนียนกวงท่านนั้น ชัดเจนมากว่าก็ได้รับการขอร้องและการไว้วางใจจากผู้มีอิทธิพลในนิกายหลวง ก่อนหน้านี้ถึงได้ออกมาพูดจาไกล่เกลี่ยเล็กน้อย”

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “น่าจะเป็นเช่นนี้ แต่ข้าไม่ไว้วางใจเหนียนกวง”

เฉินฉางเซิงนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ให้เกียรติอย่างยิ่งกับผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมบารมีสูงส่งท่านนั้น ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไม?”

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ท่านเหนียนกวงมาจากหงจงซื่อ ในปีนั้นถูกนักปราชญ์กลุ่มนั้นในสำนักฝึกหลวงกดดันอย่างอนาถยิ่ง เขาโมโหอย่างมากจึงสาบานโลหิตเป็นผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่เจ้าเป็นความหวังของการฟื้นฟูสำนักฝึกหลวง เขาจะดูแลปกป้องเจ้าอย่างจริงใจได้อย่างไร?”

สำหรับเฉินฉางเซิงแล้ว สำนักฝึกหลวงเป็นสวนเก่าที่เสื่อมโทรม พื้นที่รกร้างที่วังเวง ไม่สามารถจินตนาการภาพประวัติศาสตร์ชนิดนี้ได้โดยสิ้นเชิง

“สำนักฝึกหลวงในปีนั้นเย่อหยิ่งมากนะรู้ไหม?”

ถังซานสือลิ่วมองโก่วหานสือทีหนึ่ง พูดว่า “เย่อหยิ่งกว่าพรรคกระบี่หลีซานในตอนนี้อีก”

โก่วหานสือมิได้กล่าววาจา เขาไม่คิดว่าพรรคกระบี่หลีซานเย่อหยิ่ง แต่ก็แสดงท่าทียอมรับในใจต่อความหมายที่ใกล้เคียง

ถังซานสือลิ่วเงียบขรึมสักพัก พูดอีกว่า “แต่เหล่านักปราชญ์ที่เย่อหยิ่งอย่างไร้ที่เปรียบล้วนตายไปหมดแล้ว”

ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าเฉินฉางเซิงทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย หลังจากนั้นสักพักก็นึกเรื่องหนึ่งออก มองไปยังโก่วหานสือถามว่า “ในสุสานเทียนซูไม่มีผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่มาจากหลีซานหรือ?”

“แต่ก่อนเคยมี” โก่วหานสือพูดว่า “ตอนหลังอาจารย์ปู่ฝ่าสุสานเทียนซูครั้งหนึ่ง ด่ากราดใส่ผู้อาวุโสสองท่านนั้นชุดใหญ่ แล้วพากลับหลีซาน”

เฉินฉางเซิงตกตะลึงมาก ใจนึกคิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้ามองข้ามกฎระเบียบของสุสานเทียนซู อาจารย์ปู่ที่เขาพูดถึงก็คืออาจารย์อาเล็กของพรรคกระบี่หลีซานในตำนานท่านนั้น?

สีหน้าถังซานสือลิ่วไม่เปลี่ยน เห็นได้ชัดว่าเคยได้ยินเรื่องราวแต่เก่าก่อนเรื่องนี้มาแล้ว

เฉินฉางเซิงถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วผู้อาวุโสสองท่านนั้นในตอนนี้ล่ะ? ไม่ได้รับบทลงโทษใดๆ หรือ?”

โก่วหานสือพูดว่า “ผู้อาวุโสสองท่านนั้นเป็นเจ้าอาวาสของโถงบทบัญญัติพรรคกระบี่หลีซาน”

ถังซานสือลิ่วพูดว่า “ได้ยินไหม กระบี่ของใครเร็วสุด คนนั้นก็คือกฎระเบียบ”

สิ่งที่เฉินฉางเซิงยิ่งให้ความสนใจคือ อาจารย์อาเล็กของพรรคกระบี่หลีซานท่านนั้นด่ากราดคนสำนักเดียวกันในสุสานเทียนซูอย่างไร

โก่วหานสือพูดว่า “อาจารย์ปู่บอกว่า ห้ามเอาชีวิตที่มีจำกัดไปสิ้นเปลืองบนเรื่องไร้สาระที่ไม่มีจำกัด”

เฉินฉางเซิงพูดด้วยความสงสัยว่า “เรื่องไร้สาระ?”

โก่วหานสือพูดว่า “ใช่ อาจารย์ปู่คิดเห็นมาตลอดว่า การบำเพ็ญเป็นเรื่องไร้สาระ”

เฉินฉางเซิงเงียบขรึมไม่พูดจา

นึกถึงอาจารย์อาเล็กพรรคกระบี่หลีซานที่มหัศจรรย์ท่านนั้น เขาจู่ๆ รู้สึกว่าบนไหล่ของเขาหนักกว่าเดิมอย่างยิ่ง ราวกับท้องฟ้าดวงดาวถูกคลุมด้วยเงาสะท้อน

พวกเขาและพรรคกระบี่หลีซานอยู่ชายคาเดียวกันในสุสานเทียนซู แต่ทั้งสองฝั่งเป็นไม่ได้ที่จะสลายศัตรูให้กลายเป็นมิตร ความสงบอ่อนโยนของโก่วหานสือไม่สามารถสื่ออะไรได้ อย่างกวนเฟยไป๋และชีเจียนที่มีความเป็นศัตรูกับสำนักฝึกหลวงอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะชิวซานจวินชื่อนี้ ยังคงขวางกั้นอยู่ระหว่างสองฝ่าย มองไม่เห็นความหวังในการประนีประนอม

มาถึงกระท่อม ตอนที่เดินผ่านรั้วไผ่ โก่วหานสือจู่ๆ พูดกับถังซานสือลิ่วว่า “ข้าไม่ใช่สัตบุรุษ”

เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย ถังซานสือลิ่วเลิกคิ้ว แบมือพูดว่า “นี่เจ้ายอมรับเองนะ”

โก่วหานสือพูดด้วยความสงบและแน่วแน่ว่า “ฉะนั้น ข้าเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นสัตบุรุษจอมปลอม”

ถังซานสือลิ่วเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “แล้ว?”

โก่วหานสือพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “ถ้าภายหลังเจ้ายังตะโกนเรียกข้าว่าสัตบุรุษจอมปลอม ข้าจะตีเจ้า”

……

……

ยามห้าเช้าตรู่ในวันที่สอง เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นมาตรงเวลา ต้มข้าวต้มหม้อใหญ่ในห้องครัว กินไปสองชาม กลับไม่ได้ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ แต่กลับเอาสมุดจดบันทึกของสวินเหมยออกมา ยืมแสงรุ่งสางเริ่มอ่าน มือขวาจับพู่กัน เขียนๆ วาดๆ อยู่บนกระดาษอย่างไม่หยุดหย่อน กลับไม่รู้ว่าเขียนอะไรอยู่ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ตัวอักษร

เหล่าชายหนุ่มในกระท่อมค่อยๆ ตื่นขึ้นตามกันมา หลังกินข้าวต้มเสร็จก็เดินไปยังสุสานเทียนซู ตอนโก่วหานสือจากไปได้ทักทายเขา ตอนกวนเฟยไป๋จากไปพูดไว้ว่า อย่าคิดว่าเจ้าทำอาหารให้พวกข้ากินทุกวัน ข้าก็จะเห็นน้ำใจเจ้า ชีเจียนพูดด้วยความตื่นเต้นนิดๆ ว่า ข้าเห็นน้ำใจเจ้า แต่ข้าจะไม่เป็นเพื่อนกับเจ้า เฉินฉางเซิงยิ้มพลางถามว่าเพราะเหตุใด ชีเจียนบอกว่าเพราะว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่ชอบเจ้า ถังซานสือลิ่วจริงๆ ตื่นแล้ว กลับอู้จนจากไปคนสุดท้าย ตามสายตาที่ไม่เข้าใจของเฉินฉางเซิง เขาตอบคำถามอย่างเข้มงวดว่า ไม่ใช่เพราะว่ากลัวโก่วหานสือตีตัวเองอย่างแน่นอน

สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงคาดไม่ถึงเล็กน้อยคือ เวลาผ่านไปไม่นาน ถังซานสือลิ่วกลับมายังกระท่อม สีหน้าเข้มงวด พอลากเขา ก็เดินออกไปยังข้างนอก

“เกิดอะไรขึ้น?”

“จงฮุ่ย…กำลังทะลวงขั้น”

หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ล้อมรอบเต็มไปด้วยคน มืดหม่นอึมครึมไปทั่ว เฉินฉางเซิงกวาดตามองก็รู้ว่าอย่างน้อยมีร้อยคน ในนั้นสี่สิบกว่าคนเป็นผู้สอบที่ได้ขั้นสามของการสอบใหญ่ปีนี้ ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในชุดสีขาวห้าคนยืนล้อมอยู่นอกรอบ ที่เหลืออีกนับสิบคนน่าจะเป็นผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ตั้งแต่กาลก่อน อยู่ในสุสานเทียนซูตลอดไม่ได้ออกไปไหน สองวันก่อน ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์รุ่นก่อนเหล่านี้ต่างคนต่างบำเพ็ญอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ต่างกัน ไม่ได้เจอหน้ากับคนมาใหม่ของปีนี้ ตอนนี้กลับมาถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าทั้งหมด ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าต้องมีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน

จงฮุ่ยนั่งขัดสมาธิบนพื้นที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สองตาปิดสนิท รอบกายเต็มไปด้วยหมอกไอ

จี้จิ้นยืนอย่างไร้สีหน้าอยู่ด้านหลังเขา กำลังปกป้องวิชาให้เขาอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้อาวุโสสำนักต้นไหวที่ระดับขั้นสูงส่งท่านนี้ วันนี้มีสีหน้าขาวซีดผิดปกติ ราวกับสูญเสียปราณแท้ไปมากโข

คิ้วของเฉินฉางเซิงเลิกขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะเดาความเป็นไปได้ในบางอย่าง

หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์จู่ๆ มีเสียงน้ำซู่ๆ ดังขึ้นมา

ที่นี่ไม่มีน้ำตก รวมถึงไม่มีสายธารน้ำแร่ เสียงเสียงนี้มาจากร่างกายของจงฮุ่ย

เสียงน้ำยิ่งมายิ่งดัง ประหนึ่งใกล้ทะลุจุดเดือด

ตอนการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงเคยมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันในหอชำระธุลี รู้ว่านี่คือลางบอกเหตุก่อนทะลุขั้นทะลวงอเวจี

เขาไม่ได้ดูจงฮุ่ย แต่มองไปยังจี้จิ้น

เวลาคืนเดียว จงฮุ่ยก็จะข้ามธรณีประตูของขั้นทะลวงอเวจี ในนั้นต้องมีสาเหตุบางอย่าง สีหน้าจี้จิ้นขาวซีด อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้

และในเวลานี้ จี้จิ้นก็มองมายังเขา สายตาเย็นชายิ่งนัก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset