ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 221 ประตูพิศวงกลจักรวาล

หลังจากจงฮุ่ยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์สำเร็จก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือไว้เพียงแค่ประโยคที่บอกว่าไปก่อนและเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่บนเส้นทางภูเขา ในสายตาของผู้คน เงาหลังของเฉินฉางเซิงในตอนนี้พลันเงียบเหงา แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ ผู้คนมองดูเขาแล้วกลับเยาะเย้ย แผ่นป้ายหินอนุสรณ์ในสุสานเทียนซูเที่ยงธรรมโดยแท้ ไม่มีใครที่โชคดีไปตลอด

มีบางคน แค่นี้ยังไม่พอ ยังคิดจะโรยเกลือบนบาดแผลของเฉินฉางเซิง ศิษย์สำนักต้นไหวที่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์คนนั้นมองไปยังเขา พูดเยาะเย้ยว่า “คำพูดที่ศิษย์พี่ชายพูดก่อนจากไปนั้นไม่แยแส ในมุมมองของข้ากลับดูถ่อมตัวเกินไป แม้เพียงจะเดินไปก่อนก้าวหนึ่ง แต่หนึ่งก้าวนี้ที่ก้าวข้ามไป ต่างกันแค่พันลี้เสียที่ไหน?”

คำพูดนี้เป็นการหัวเราะเยาะเฉินฉางเซิง แต่ก็เข้าตัวโก่วหานสือเช่นกัน กวนเฟยไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย กำลังจะระเบิดอารมณ์ ไม่คิดว่าก็ยังคงไม่ทันถังซานสือลิ่ว เขามองสานุศิษย์สำนักต้นไหวคนนั้นแล้วเยาะเย้ยว่า “พูดไม่ได้ว่าขอไปก่อนก้าวหนึ่ง? เขาเตรียมจะไปไหน? ไปเกิดใหม่หรือ? รีบร้อนปานนี้”

ศิษย์ต้นไหวคนนั้นได้ยินเข้าก็โมโหอย่างยิ่ง สีหน้าของจี้จิ้นก็อึมครึมขึ้นมาทันที นิ้วมือแข็งชา เกือบจะทึ้งเคราเส้นหนึ่งลงมา

ท่านเหนียนกวงและผู้รับใช้แผ่นป้ายที่เหลือเดินเข้ามาจากกลุ่มคนรอบนอก มองถังซานสือลิ่วพลางตะคอกเสียงต่ำว่า “หยุดไร้มารยาทสักที! ถ้ายังเป็นเช่นนี้ ใครก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”

ถังซานสือลิ่วมองเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เมื่อคืนก็พูดไว้แล้ว ตีก็ตีไม่ได้ เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

ท่านเหนียนกวงพูดด้วยสีหน้าเข้มงวดว่า “พวกข้าเหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ มีหน้าที่ในการบำรุงรักษากฎเหล็กของการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ ถ้าเจ้ายังจะก่อกวน ข้าก็จะส่งหนังสือไปยังสำนัก ขอเชิญนิกายหลวงให้ไล่เจ้าออกจากสุสานเทียนซูไป!”

ถังซานสือลิ่วมองเขาเฉกเช่นมองคนโง่เง่าเบาปัญญา ชี้เฉินฉางเซิงที่อยู่ข้างกายพูดว่า “เป็นกลุ่มคนแก่ที่ดูแผ่นป้ายอนุสรณ์จนเลอะเลือนเหลวไหล เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? เบื้องบนพระราชวัง ต่อหน้าผู้คนนับหมื่น ใต้เท้าสังฆราชเคยจับมือเขา! ก่อนหน้านี้คนจำนวนมากในจิงตูสงสัยว่าเขาเป็นลูกนอกกฎหมายของใต้เท้ามุขนายก! ขอเชิญนิกายหลวง? หากพระราชวังหลีฟังเจ้า ข้าจะตัดหัวให้!”

ท่านเหนียนกวงได้ยินก็โมโหมาก ตะคอกว่า “ถ้าพระราชวังหลีจะเอนเอียงเพียงนี้ ข้าจะให้สำนักไปถามหาเหตุผลอย่างแน่นอน!”

ถังซานสือลิ่วก็โมโหเช่นกัน ตะคอกเสียงดังว่า “สำนักของพวกเจ้า? เจ้าน่าจะไปถามพวกสังฆราชดู เงินหนึ่งในสามทุกปีของหอจงซื่อนั้นใครเป็นคนให้! เจ้าสามารถมีอันจะกินรอตายในสุสานเทียนซูตั้งหลายปี ล้วนอิงอาศัยการเลี้ยงดูของบ้านข้า! เจ้าไม่ทำตามนิกายหลวงในการปกป้องเฉินฉางเซิง ไม่ทำตามผลประโยชน์หอจงซื่อในการปกป้องข้า กลับไปช่วยออกหน้าให้กับคนทางใต้ แล้วยังมาข่มขู่ข้า นี่เป็นเหตุผลจากไหนอีก!”

ท่านเหนียนกวงโมโหจนตัวสั่น ชี้เขาเหมือนจะสั่งสอนสักคำสองคำ สุดท้ายกลับแค่สะบัดชายเสื้อด้วยความโมโห แล้วก็จากไป

รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบ ไม่ว่าจะเป็นคนใหม่ที่ปีนี้เพิ่งเข้าสุสาน หรือว่าคนเก่าแก่ที่เข้าสุสานในปีก่อนๆ ล้วนชะงักมองถังซานสือลิ่ว ใจคิดว่านี่เป็นคนชนิดไหนกัน

เนื่องจากจงฮุ่ยนำแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ไปก่อน อารมณ์ของถังซานสือลิ่วไม่ดีอย่างยิ่ง มองผู้คนแล้วตะคอกว่า “มองอะไร! ไม่เคยเห็นคนรวยขนาดนี้เหรอ!”

……

……

“ตระกูลถังเวิ่นสุ่ย…มีเงินขนาดนี้จริงหรือ?”

พวกกวนเฟยไป๋สามคนมองซึ่งกันและกัน ไม่พูดจา พวกเขาล้วนเกิดมายากจน วันเวลาในการบำเพ็ญที่พรรคกระบี่หลีซานนั้นยากลำบากมาก แม้ชีเจียนจะเป็นศิษย์ก้นกุฏิที่ได้รับการประคบประหงมรักใคร่ ถูกหัวหน้าพรรคเลี้ยงดูตั้งแต่เด็ก ก็ไม่เคยมีชีวิตที่กินอยู่ฟุ้งเฟ้อ มันช่างยากที่จะจินตนาการถึงคนเช่นนี้ในโลก ในด้านเงินทอง เหล่าชายหนุ่มของพรรคกระบี่หลีซานนั้นไม่มีความรู้อย่างยิ่ง

“ว่าก็ว่าเถอะ ถังถังมีเงินขนาดนี้ และจองหองเย่อหยิ่งมากมาตลอด เพราะเหตุใดกลับไม่ค่อยให้ความรู้สึกว่าเกลียด?” ชีเจียนถามด้วยความไม่ค่อยเข้าใจ

กวนเฟยไป๋นึกถึงแต่ก่อนในพระราชวังหลี เหล่าสาวน้อยของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าและเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มองถังซานสือลิ่วอย่างอบอุ่นแบบนั้น อาจมีเหตุผล เพียงแต่ไม่พูดต่อหน้าศิษย์น้อง

ตอนนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเขา กวนเฟยไป๋สามคนทำความเคารพทักทาย บนใบหน้าประดับรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่ารู้จักสนิทสนมกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะเหลียงปั้นหู เขาผู้ซึ่งนิ่งขรึมมากในวันปกติ ไม่คิดว่าจะเข้าไปหาด้วยตัวเอง ยังตบไหล่ชายหนุ่มคนนั้นเบาๆ แสดงออกถึงความสนิทสนม

โก่วหานสือแนะนำให้กับเฉินฉางเซิงว่า “นี่คือศิษย์น้องสามข้า เหลียงเสี้ยวเซียว”

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่าคนนี้คือเหลียงเสี้ยวเซียวโคลงที่สามของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เหลียงเสี้ยวเซียวในประกาศชิงอวิ๋นอยู่ลำดับที่สามตลอด จนถึงปีนี้ถึงถูกลั่วลั่วดันลงไปอันดับสี่ และเฉินฉางเซิงรู้ชื่อของเขา ก็เป็นเพราะว่าคนนี้เป็นอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ปีที่แล้ว นึกถึงคนนี้ที่ยืนอยู่ในฝูงชน ไม่มีใครเห็นเขา เขายิ่งรู้สึกว่าคำพูดเมื่อคืนของจี้จิ้นและจงฮุ่ยนั้นมีเหตุผล ในสุสานเทียนซูที่เป็นจักรวาลแห่งปราชญ์เมธีเช่นนี้ อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ ยากที่จะเป็นคนพิเศษจริงๆ

เหลียงเสี้ยวเซียวและเฉินฉางเซิงเคารพทักทายกัน สีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ค่อยชอบพูดอะไร

จากนั้นเขามองไปยังโก่วหานสือพูดว่า “ศิษย์พี่ สองวันก่อนข้าเข้าไปอยู่ในหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา ฉะนั้นจึงมาหาพวกเจ้าไม่ทัน”

โก่วหานสือพูดว่า “แน่นอนว่าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์และการบำเพ็ญสำคัญกว่า ในเมื่อมาถึงสุสานเทียนซูแล้ว มีเวลาให้พบปะอยู่เสมอ”

เฉินฉางเซิงนึกขึ้นมาได้ เมื่อวานโก่วหานสือบอกว่า จะแนะนำบางคนให้รู้จัก ตอนนี้ดูๆ แล้ว ก็น่าจะเป็นชายหนุ่มผู้นี้

ชีเจียนอยู่ข้างๆ ได้ยินแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา พูดด้วยความตกตะลึงว่า “แผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพา นั่นเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่หกแล้ว ศิษย์พี่สาม เจ้าเก่งจริงๆ”

เหลียงเสี้ยวเซียวพยักหน้าเล็กน้อย แม้ว่าในชื่อของเขาจะมีเสี้ยว (หัวเราะ) คำนี้ หน้าเขากลับไม่มีแม้แต่ครึ่งหนึ่งของรอยยิ้ม ยิ่งสันโดษมากเสียยิ่งกว่ากว่ากวนเฟยไป๋

โก่วหานสือมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อดูมาถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์ศาลาบูรพาแล้ว คิดว่าการทะลุระดับขั้นไม่ใช่เรื่องเร็วๆ นี้”

เหลียงเสี้ยวเซียวพูดกับโก่วหานสือด้วยความเคารพว่า “ครึ่งปีก่อนทะลวงอเวจี จากนั้นก็ไม่มีการก้าวหน้าใดๆ รู้สึกกระดากอายอย่างยิ่ง จึงมิได้ส่งหนังสือกลับไป”

เหลียงปั้นหูอยู่ข้างๆ หัวเราะว่า “ใช้ได้แล้ว ใช้ได้แล้ว”

โก่วหานสือพูดกับเฉินฉางเซิงว่า “ศิษย์น้องสามและศิษย์น้องห้าเป็นพี่น้องแท้ๆ กัน”

สายตาของถังซานสือลิ่วอยู่บนใบหน้าของเหลียงเสี้ยวเซียวและเหลียงปั้นหูกลอกไปมาหลายครั้ง ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “เจ้าห้าทำไมดูแก่กว่าเจ้าสามอีก?”

เหลียงเสี้ยวเซียวได้ยินก็หันหัวไป มองเขาด้วยสายตาเย็นชา

ถังซานสือลิ่วจ้องกลับไป

ชีเจียนพูดว่า “ศิษย์พี่สาม เขาก็เป็นคนเช่นนี้ ไม่ต้องไปสนใจเขาก็พอ”

เหลียงเสี้ยวเซียวไม่สนใจถังซานสือลิ่วจริงๆ หันหลังกลับไป

เจ๋อซิ่วมองชีเจียนครั้งหนึ่ง สายตาแปลกพิกล

ชีเจียนรู้สึกถึงสายตาของเขา เหมือนกับแมงป่องจำศีล รีบหนีไปแอบอยู่หลังเหลียงปั้นหู

โก่วหานสืออธิบายไปสองประโยค เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่า จริงๆ แล้วโคลงห้าเหลียงปั้นหูเป็นพี่ชาย เหลียงเสี้ยวเซียวที่อันดับที่สูงกว่ากลับเป็นน้องชายเล็กของบ้าน จากนั้นเขานึกถึงที่เหลียงเสี้ยวเซียวพูดว่าครึ่งปีที่แล้วทะลุระดับขั้นในก่อนหน้านี้ ถึงจะเข้าใจว่าคนนี้ทะลวงอเวจีแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ ตอนเขาออกจากสุสานเทียนซู ก็จะจากไปจากประกาศชิงอวิ๋น เข้าสู่ประกาศเตี่ยนจิน?

“รบกวนฝากบอกลั่วลั่ว อันดับสี่ของประกาศชิงอวิ๋น ข้าจะไม่เป็น”

เหลียงเสี้ยวเซียวมองเฉินฉางเซิงแล้วพูดด้วยสีหน้าไม่แยแส จากนั้นไม่ได้รอการตอบสนองจากเฉินฉางเซิง และก็ไม่รอถังซานสือลิ่วเอ่ยปาก เขาหันหลังมองไปยังโก่วหานสือพูดว่า “ศิษย์พี่ แม้พวกเราจะมาจากทางใต้เช่นเดียวกับสำนักต้นไหว แต่เขาหลีซานอย่างไรก็คือเขาหลีซาน จะอยู่ท้ายผู้อื่นได้อย่างไร?”

โก่วหานสือพูดว่า “ข้ารู้อะไรควรอะไรไม่ควร เจ้าสงบจิตใจชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็พอ มีเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็จะออกจากสุสาน ต้องรักษาเวลา”

เหลียงเสี้ยวเซียวไม่พูดอะไรอีก

เหมือนกับที่เขาบอกไว้แบบนั้น แม้ประกาศลำดับขั้นบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ก้อนนั้นที่หน้าสุสานเทียนซู ถูกจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สั่งให้โจวทงทำลายไปแล้ว แต่แก่งแย่งชิงดีหรือเกียรติยศเหล่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกลบล้างอย่างเชิงบังคับออกจากใจคนได้ ความเร็วช้าของการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุรวมถึงจำนวนแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่บรรลุได้ ในใจผู้คนแล้วยังคงเป็นประกาศลำดับที่ไร้รูปร่าง

แม้ปีนี้ไม่มีนักปราชญ์ความสามารถล้ำเลิศที่วันแรกก็สามารถแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า และก็ไม่มีใครแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ได้สำเร็จในวันที่สอง แต่จงฮุ่ยแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ในตอนเช้าของวันที่สามได้สำเร็จ ถือว่าใช้ได้มากแล้ว ตอนนี้เหล่าผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่เข้าสุสานเทียนซูในปีก่อน รู้สถานะของเฉินฉางเซิงและโก่วหานสือแล้ว รู้ว่าพวกเขาก็คืออันดับหนึ่งและอันดับสองของการสอบใหญ่ในปีนี้ อีกทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนอกสุสานก็กระจายเข้ามาถึงในนี้นานแล้ว ชื่อเสียงการอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าก็โด่งดังมาก แน่นอนว่าเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนอย่างมาก สองคนจนถึงตอนนี้ยังไม่สามารถแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ถูกวิจารณ์บ้าง

“หลังหวังจือเช่อคนที่กล้าจะขนานนามว่าอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างถ่องแท้ก็มีแค่สองคนนี้ ไม่คิดว่าวันนี้กลับถูกศิษย์สำนักต้นไหวคนหนึ่งเหยียบลงไป”

“ข่าวลือส่วนใหญ่ไม่จริง อ่านเข้าใจคัมภีร์ลัทธิเต๋าอย่างถ่องแท้ ทะลวงอเวจีตอนเยาว์วัยอะไรทำนองนั้น ตอนนี้ดูๆ แล้ว สงสัยจะเป็นเพียงการคุยโวเท่านั้น”

เหล่าผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ต่างคนต่างแยกย้ายไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ เหลียงเสี้ยวเซียวก็จากไปแล้ว กลุ่มคนหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้าก็ค่อยๆ หายไป ภูเขาป่าไม้เริ่มเงียบสงบ เฉินฉางเซิงเดินถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ มองแผ่นป้ายหินสีดำแผ่นนั้น เงียบขรึมไปนานมาก จู่ๆ ถามว่า “ทำไมเขาจู่ๆ ก็หายไป? หรือว่าข้างหลังแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เป็นโลกใบเล็ก?”

พวกถังซานสือลิ่วเห็นเขาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่พูดจา นึกว่าเขากำลังคิดเรื่องสำคัญอะไรบางอย่าง คิดไม่ถึงว่าเขากำลังวิเคราะห์คำถามนี้ จึงรู้สึกพูดไม่ออก

โก่วหานสือพูดว่า “ได้ยินว่าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เป็นเศษเสี้ยวของโลกใบเล็กใบหนึ่ง ตอนนี้กระจายอยู่ในโลกความเป็นจริง ช่องว่างถูกทำลายไปแล้ว เศษเสี้ยวเหล่านี้กลับสามารถเชื่อมต่อระหว่างกัน ก็สามารถเข้าใจว่า แผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งหนึ่งก็เป็นประตูบานหนึ่ง แต่ประตูบานนี้ไม่สามารถทะลุผ่านไปยังสถานที่อื่น ทะลุผ่านได้เพียงประตูบานอื่น ก็คือแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แห่งอื่นเช่นกัน อีกทั้งลำดับของระหว่างแผ่นป้ายและแผ่นป้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “อย่างนี้นี่เอง มิน่าถึงพูดกันว่าสุสานเทียนซูมีเพียงเส้นทางเดียว แต่ว่า แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์จะรู้ได้อย่างไรว่ากุญแจในมือของผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้นถูกต้อง?”

ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าไม่ได้บันทึกว่าจะไปจากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แห่งหนึ่งถึงแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์อีกแห่งหนึ่งได้อย่างไร ตอนที่เหล่านักปราชญ์ผู้เคยบรรลุจากการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์บันทึกวันเวลาที่อยู่ในสุสานเทียนซู ก็ไม่เคยพูดถึงรายละเอียดเหล่านี้ เพราะว่าในมุมมองผู้บำเพ็ญแล้ว พวกนี้ล้วนเป็นความรู้ทั่วไป ไม่จำเป็นจะต้องอธิบายลงไปในนั้น

เฉินฉางเซิงรู้ว่าในคัมภีร์สามพันมหามรรคมีความรู้ที่หายากจำนวนมาก ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโลกและการบำเพ็ญกลับมีขาดแคลนไปบ้าง เพราะว่าเขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง

โก่วหานสือพูดว่า “คัมภีร์สวรรค์ไม่สามารถแก้ได้ ตัวแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ของมันเองก็มีจุดที่มหัศจรรย์หรือเข้าใจยากอยู่มาก จะตัดสินอย่างไรว่าการอ่านแก้อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้นถูกหรือไม่ จุดนี้ไม่สามารถอาศัยการตัดสินด้วยตัวเองของผู้ชมแผ่นป้ายได้ตลอดกาล ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หรือผู้ชมล้วนไม่สามารถ มีเพียงให้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ตัดสินเองเท่านั้น”

“ตัดสินเอง?” เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ พูดซ้ำอีกรอบ

โก่วหานสือพูดว่า “ผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สัมผัสกับแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ถ้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์คิดว่าเจ้าเข้าใจแล้ว เจ้าก็จะเข้าใจจริงๆ”

เฉินฉางเซิงนึกถึงคำอธิบายที่มีชื่อเสียงประโยคนั้นที่เกี่ยวกับกฎธรรมชาติในคัมภีร์ลัทธิเต๋า ‘ล้ำลึกหยั่งลึกล้ำ ประตูพิศวงกลจักรวาล’

ถ้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เป็นประตู หลังประตูจะมีโลกพิศวงกลจักรวาลใบหนึ่งได้อย่างไร?

เห็นท่าทีการคิดวิเคราะห์ของเขาที่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ กลุ่มคนและถังซานสือลิ่วไม่พูดจาอีกต่อไป

จงฮุ่ยแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกได้แล้ว สิ่งที่เขาสนใจกลับยังเป็นเรื่องไม่สำคัญเหล่านี้ เขาไม่เร่งรีบจริงๆ หรือ?

“อ๊ะ!” เฉินฉางเซิงจู่ๆ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา พูดว่า “ข้าต้องรีบกลับไป”

ถังซานสือลิ่วถามด้วยความตกตะลึงว่า “เรื่องอะไร?”

เฉินฉางเซิงรีบนิดหนึ่ง พูดว่า “เจ้าลากข้าออกมาอย่างรีบเร่ง ข้าลืมสนิทเลยว่าบนเตายังต้มน้ำอยู่ ถ้าต้มจนแห้งไปเลยจะทำอย่างไรเล่า?”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset