ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 226 แผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น

“สิบสี่ปีไม่บำเพ็ญ เพียงอ่านหนังสือ หนึ่งปีทะลวงอเวจี ยี่สิบวันไม่แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ เพียงนั่งนิ่งๆ…วันเดียวดูแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานจนหมด”

หลังใต้เท้าสังฆราชรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่สุสานเทียนซู เอ่ยปากวิจารณ์สองประโยคเช่นนี้ให้กับเฉินฉางเซิง ตามการกระจายข่าวโดยตั้งใจของผู้มีอิทธิพลบางคนของนิกายหลวง สองประโยคนี้ราวกับพลบค่ำ กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในจิงตู ผู้คนที่อยู่ในภาวะตกตะลึง มองไปยังสุสานเทียนซูที่อยู่ทางใต้แห่งนั้นอีกครั้ง เกิดอารมณ์ร้อยแปด

หลายปีผ่านมา วันเดียวชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานเทียนจนหมด มีเพียงโจวตู๋ฟูเท่านั้นที่เคยทำได้ วันนี้เฉินฉางเซิงก็ทำได้ หรือว่าเขาจะเป็นโจวตู๋ฟูคนที่สอง? และแล้วก็มีบางคนสังเกตเห็นบางจุดที่เข้าใจยาก ตามข่าวสารที่ส่งออกมาจากในสุสานเทียนซู ระดับขั้นของเฉินฉางเซิงไม่ได้เปลี่ยนไปตามการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ ยังคงเป็นขั้นต้นของขั้นทะลวงอเวจี ต้องรู้ว่าโจวตู๋ฟูในปีนั้นเดินก้าวเข้าในสุสานเทียนซู สายตาตกลงที่อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ ก้าวเท้าเหยียบในกระท่อม ลมหายใจระดับขั้นไม่เปลี่ยนตลอดเวลา ถ้านำคนเหล่านั้นที่เพิ่งเข้าสุสานเทียนซูในปีนี้มาพูด จงฮุ่ยของสำนักต้นไหวทะลุผ่านไปยังขั้นทะลวงอเวจีแล้ว และยังมีคนจำนวนมากอย่างถังซานสือลิ่วก็เห็นความเป็นไปได้ที่จะทะลุระดับขั้น ตามเหตุผลแล้ว เฉินฉางเซิงดูแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ครบสิบเจ็ดแผ่น ควรจะมีการบรรลุบางอย่างสมเหตุสมผล แม้จะไม่ทะลุระดับขั้นทันที ก็น่าจะมีการเพิ่มพูนบ้างถึงจะถูก

อาจารย์ซินพยุงใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซามายังพระราชวังหลี หลังทำความเคารพใต้เท้าสังฆราช เขาก็พูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในตอนนี้ที่จิงตู หลังลังเลสักพักพลันพูดอีกว่า “หลายคนล้วนสงสัย เฉินฉางเซิงใช้เคล็ดลับอะไรหรือเปล่า กระทั่งหรือว่านิกายหลวงของพวกเราแอบทำบางสิ่งในสุสานเทียนซู”

“บำเพ็ญบรรลุก็คือบำเพ็ญบรรลุ การแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แต่ไหนแต่ไรก็เป็นที่การบำเพ็ญเพียรของผู้บำเพ็ญเอง ใครก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้จริงๆ”

ใต้เท้าสังฆราชถือกระบวยไม้ รดใส่กระถางใบไม้เขียว พูดว่า “ข้าไม่คิดว่าเด็กคนนั้นจะมีโอกาสไล่ตามโจวตู๋ฟูในปีนั้น เพราะนั่นต้องการกำลังมหาศาล อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับลักษณะนิสัย เขาแสดงออกอย่างโดดเด่นขนาดนี้ ทำให้ข้าพอใจระดับหนึ่งแล้ว กระทั่งสามารถพูดได้ว่าตื่นตาระดับหนึ่ง”

เหมยหลี่ซาพูดว่า “ตอนนี้สิ่งที่ข้าอยากรู้มากที่สุดคือตอนที่เขาเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นสุดท้ายจะมีการตอบสนองอย่างไร จะเหมือนอย่างเดียวกันกับที่วันนี้เราถูกเขาทรมานจนตื่นตาและตกตะลึงขนาดนี้หรือไม่”

กระบวยไม้ของใต้เท้าสังฆราชหยุดอยู่ด้านบนของใบไม้สีเขียว สั่นเล็กน้อยราวกับนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาจนสติหลุด แต่ที่มหัศจรรย์คือ น้ำใสในกระบวยกลับมิได้หยดหล่น

อาจารย์ซินชะงักอยู่ข้างๆ ไม่เข้าใจจึงอยากพูด สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซูแนวหน้า ถูกเฉินฉางเซิงแก้จนหมดแล้ว เหตุใดยังมีแผ่นป้ายอนุสรณ์สุดท้ายอีกแผ่น?

ใต้เท้าสังฆราชส่ายหัวไปมา รดน้ำต่อไป พูดว่า “ถึงจะเห็น ยังจะสามารถแก้ได้จริงหรือ?”

เหมยหลี่ซาหัวเราะพลางกล่าวว่า “เด็กคนนั้นนำมาซึ่งความตกตะลึงจำนวนมาก เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง ก็เหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่น่าเข้าใจยากอะไร”

……

……

แท่นกานลู่แผดเผาอยู่ใต้แสงสนธยาที่เข้มข้นที่สุด ก็เหมือนกับคบไฟขนาดมโหฬาร จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไขว้มือไว้ด้านหลัง มองไปยังทิศของสุสานเทียนซู หว่างคิ้วที่เย็นชาแสดงออกถึงสีหน้าเยาะเย้ยเล็กน้อย “วันเดียวอ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานจนหมดเช่นกัน แต่โจวตู๋ฟูในปีนั้นอ่านเข้าใจจริงๆ เฉินฉางเซิงยังห่างอีกไกล”

ท่ามกลางผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในต้าลู่ทุกวันนี้ นางและใต้เท้าสังฆราชถือว่าเป็นคนจำนวนน้อยมากที่เคยสัมผัสกับโจวตู๋ฟู กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นคนรู้จัก มีเพียงพวกเขาถึงรู้ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดผู้นั้นของต้าลู่จริงๆ แล้วร้ายกาจจนน่าสะพรึงระดับไหน ฉะนั้นพวกเขาไม่เห็นว่าเฉินฉางเซิงสามารถเอามาพูดเทียบเคียงกับคนผู้นั้นได้อย่างสิ้นเชิง

ม่ออวี่ยืนอยู่ข้างหลังนาง ในชั่วขณะหนึ่งทนไม่ไหว พูดว่า “แต่เวลาหนึ่งวันก็สามารถดูแผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่น ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว อย่างน้อยก็เก่งกว่าข้าในปีนั้นมาก”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หันหลังกลับ มองสุสานเทียนซู คิดว่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เหล่าผู้บำเพ็ญผมขาวที่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู สีหน้าเยาะเย้ยระหว่างคิ้วยิ่งมายิ่งเข้มข้น “การชมแผ่นป้ายอนุสรณ์จริงๆ แล้วเพื่ออะไร? เหตุใดบางคนถึงไม่เคยเข้าใจ การชมแผ่นป้ายอนุสรณ์แต่ไหนแต่ไรไม่ควรเป็นเป้าหมายของการบำเพ็ญ แต่เป็นวิธีการขั้นตอนของการบำเพ็ญ”

“เหนียงเหนียงปีนั้นทำลายประกาศลำดับชื่อ ก็คิดอยากจะสั่งสอนมนุษย์บนโลก ไม่ให้เดินเข้าทางผิด แต่น่าเสียดาย ไม่มีใครรู้ถึงเจตนารมณ์ของเหนียงเหนียง” ม่ออวี่พูดเสียงเบา

“ไม่เลว ถ้าไม่มีการช่วยเหลือใดๆ ต่อความหมายที่แท้จริงในการบำเพ็ญเพียร แม้จะอ่านแผ่นป้ายหินเหล่านั้นบนสุสานให้หมด จะมีประโยชน์อะไร? ปีนั้นข้าให้โจวทงไปทำลายแผ่นป้ายใต้สุสานนั้นทิ้ง เหล่าคนเก่าแก่ของนิกายหลวงร้องห่มร้องไห้ใหญ่ หาว่าข้าไม่เคารพกฎบรรพบุรุษ ตอนนี้คิดๆ ดูแล้ว น่าจะจับตาแก่เลอะเลือนเหล่านี้ฆ่าทั้งหมดจริงๆ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างไม่แยแสว่า “แม้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องถูกนำมาใช้โดยมนุษย์ ถึงจะมีความหมาย ความเร็วในการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของเฉินฉางเซิงเร็วกว่าเจ้าเยอะก็จริง แต่ในปีนั้นเจ้ารวบรวมดวงดาวสำเร็จในสุสานเทียนซู แล้วเขาล่ะ? แม้เขาจะอ่านแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เข้าใจจนหมด แต่ไม่ได้เพิ่มระดับขั้นการบำเพ็ญใดๆ…มีประโยชน์กับผีน่ะสิ”

ความหมายที่เหมือนกัน ปรากฏขึ้นในสองครั้งในสองประโยค ประโยคแรกเจาะจงผู้บำเพ็ญทั้งหมดบนโลก ประโยคหลังกลับชี้เฉพาะไปที่ตัวเฉินฉางเซิงโดยตรง

ม่ออวี่ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา ไม่คิดว่าเหนียงเหนียงก็พูดคำหยาบเป็นเหมือนกัน ดูท่าทางแล้วการแสดงออกของเฉินฉางเซิงในสุสานเทียนซู ทำให้เหนียงเหนียงหวาดระแวงเช่นกัน

แน่นอนว่า สิ่งที่นางระมัดระวังนั้นไม่ใช่เฉินฉางเซิงเจ้าตัว แต่เป็นนิกายหลวงที่อยู่เบื้องหลังเขา

ม่ออวี่ไม่ได้ซ่อนอารมณ์ของตัวเอง นี่ก็เป็นสาเหตุพื้นฐานที่นางได้รับความรักใคร่และความเชื่อใจจากเหนียงเหนียงมาตลอดในปีเหล่านี้

นางถ่างตากว้างมาก ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านคิดว่า…เฉินฉางเซิงมีโอกาสไหม?”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองไปยังทิศของสุสานเทียนซู เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “เขาอาจจะสามารถดูถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นสุดท้าย เพียงแต่…เขาหนักแน่นเกินไป อายุน้อยเยาว์วัย กลับมีกลิ่นเต้าหู้เน่าที่ทำให้ทุกคนไม่ชอบใจอยู่เต็มตัว จะไปเหมือนโจวตู๋ฟูในปีนั้นได้อย่างไร ร่าเริงดั่งแสงตะวัน พลังท่าทีรุนแรง ชี้ฟ้าด่าดิน ก็จะเอาให้ถึงที่สุด”

ม่ออวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว รู้สึกอยู่เสมอว่าทุกครั้งที่เหนียงเหนียงพูดถึงผู้แข็งแกร่งหนึ่งในใต้หล้าผู้นั้น อารมณ์เหมือนจะมีความผันผวนเล็กน้อย

“การบำเพ็ญ สิ่งที่บำเพ็ญก็คือจิตใจ นิสัยใจคอกำหนดโชคชะตา และก็กำหนดว่าผู้บำเพ็ญจะสามารถเดินไปได้ไกลแค่ไหน”

สุดท้ายจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์พิพากษา “เฉินฉางเซิง…ไม่สามารถ”

……

……

แก้แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นที่สิบเจ็ดออก เฉินฉางเซิงมาถึงทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งหนึ่ง

ในแสงพลบค่ำ สุสานเทียนซูทั้งแห่งเหมือนกำลังมอดไหม้ แน่นอนว่าทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ไฟป่าที่ไร้รูปร่างกระจายกลิ้งอยู่บนใบ้ไม้ดอกหญ้า งดงามตระการตา

มีเสียงน้ำส่งมาจากกลางหน้าผาทางใต้ของทุ่งหญ้า เขาเพิ่งจะรู้ว่า จริงๆ มาถึงด้านบนของน้ำตกแห่งนั้นที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเชิงเขาสุสานเทียนซูแล้ว

ลมหน้าผาพัดม้วนฟองน้ำที่ชนกระแทกจากน้ำตกขึ้นมา ตกลงบนใบหน้าของเขา ชุ่มฉ่ำและเย็นเล็กน้อย ชะล้างความอิดโรยอ่อนล้าออกไป

เขานึกถึงขั้นตอนกระบวนการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์วันนี้ แม้จะยังมีความไม่พอใจบ้าง แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดีใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าตัวเองยังพอใช้ได้

เขาหันหัวกลับไปมอง เห็นเพียงใต้หน้าผาขาวทางด้านบนของทุ่งหญ้านั้น ตามการบันทึกของคัมภีร์ลัทธิเต๋า ตอนนี้เขาน่าจะปรากฏตัวอยู่ในสุสานแห่งต่อไป

แต่ที่นี่ยังเป็นหน้าสุสาน

กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนั้น กับกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ต้นชลธาร ไม่มีความแตกต่างใดๆ

เฉินฉางเซิงตกใจมาก ใจนึกคิดว่าหรือว่าหน้าสุสานยังมีแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์อีกแผ่นหนึ่ง

……

……

แผ่นป้ายอนุสรณ์สิบเจ็ดแผ่นหน้าสุสานเทียนซู นี่เป็นความจริงที่ทุกคนล้วนรับรู้กันหมด นอกจากจะมีคนปิดบังความจริงนี้ แต่ใครจะสามารถปิดบังได้? เฉินฉางเซิงจู่ๆ นึกขึ้นมาได้ว่า ในคัมภีร์ลัทธิเต๋าที่อ่านที่เมืองซีหนิง รวมถึงบันทึกที่ส่งต่อในโลกมนุษย์ จริงๆ แล้วตอนเริ่มแรกที่สุด สุสานเทียนซูไม่มีบันทึกเกี่ยวกับสุสานหน้าและสุสานหลัง บันทึกนี้น่าจะปรากฏหลังเมื่อแปดร้อยปีก่อน นี่หมายถึงอะไร?

ยืนอยู่ในทุ่งหญ้าที่มอดไหม้ เขาไม่ได้ลังเลนานเกินไป ยกเท้าเดินไปยังกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนั้น ปัดหญ้าป่าออกไปตลอดทาง เหมือนกับย่ำไฟเดินผ่าน อีกทั้งเหมือนเรือประมงที่วาดเส้นแสงเกล็ดหมื่นสายบนพื้นผิวแม่น้ำ

เดินไปถึงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนั้น เขาหยุดการก้าวเท้าลง มองไปยังใต้กระท่อม มองเห็นภาพที่คิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง ชะงักอย่างไม่อาจควบคุม

ในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนี้ไม่มีแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ พูดให้แม่นยำกว่านี้ก็คือ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์แห่งนี้เคยมีแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นหนึ่ง แต่ตอนนี้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงฐานแผ่นป้ายอนุสรณ์ บนฐานแผ่นป้ายอนุสรณ์มีหินพิการที่นูนออกมาและกว้างประมาณครึ่งฝ่ามือ หินพิการนี้เหลือเพียงแผ่นหินเล็กบางท่อนหนึ่ง หรือว่าเป็นเศษซากของแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นนั้น?

ร่างกายของเฉินฉางเซิงแข็งค้างจนเทียบไม่ได้ ความดีใจและความผ่อนคลายในก่อนหน้าถูกความสะเทือนใจเข้าครอบงำ

ไม่คิดว่าสุสานหน้าของสุสานเทียนซูจะมีแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สิบแปดแผ่น นี่ก็พอที่จะทำให้เขาตกตะลึงแล้ว และแล้วสิ่งที่เขายิ่งคาดไม่ถึงก็คือ แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นสุดท้ายที่แท้จริง ไม่คิดว่าเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นแผ่นหนึ่ง!

เขายืนชะงักอยู่หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เป็นเวลานานมาก ถึงจะค่อยๆ สงบลงมา สะกดความสะเทือนใจและความไม่สบายใจที่รุนแรงไว้ในใจ ก่อนที่จะเดินถึงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น สังเกตเห็นว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นเหลือเพียงแท่งหินเล็กมากแท่งหนึ่ง ด้านบนไม่มีตัวอักษรและเส้นสายใดๆ ถ้าอย่างนี้แล้ว อักษรทั้งหมดแผ่นป้ายอนุสรณ์น่าจะอยู่บนแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่หักไป

เขายื่นมาลูบหน้าตัดของแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นไปมา รู้สึกถึงความแข็งแกร่งของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เทียบกับเหล่าหินแร่ที่ไม่รู้ว่าผ่านฝนผ่านหนาวมากี่ปีแล้วกลับยังคงแหลมคม สีหน้ายิ่งมายิ่งอ้างว้าง

แผ่นป้ายหินอนุสรณ์แห่งนี้ เหมือนกับถูกพลังที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งตีขาดอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต

ปีไท่สื่อหยวน แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ตกลงบนพื้นดิน ใต้แผ่นป้ายอนุสรณ์งอกรากด้วยตนเอง เชื่อมโยงกับส่วนที่ลึกที่สุดของแผ่นดินใหญ่

คัมภีร์เต๋าสามพันมหามรรค ในนิทานพื้นบ้านจำนวนอันล้นหลาม ไม่เคยได้ยินมาก่อน แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์สามารถถูกตัดขาด สามารถนำออกจากสุสานเทียนซู

เป็นกำลังจากไหนที่ตีแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้แตก?

ถ้าเป็นคน คนนั้นคือใคร?

เขาทำได้อย่างไร?

แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ก้อนนั้น ถูกเขาเอาไปไหน?

เฉินฉางเซิงมองไปรอบทิศของกระท่อมที่แผดเผา มองไปยังรอบๆ อย่างมึนงง

สีพลบค่ำค่อยๆ เข้ม เป็นเวลาที่สีค่ำคืนกำลังจะมาถึง ลมภูเขาค่อยๆ เย็นลง

เขารู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย

ความดีใจและความพึงพอใจในก่อนหน้าหายไปนานแล้ว ความสะเทือนใจหลังเห็นแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วเช่นกัน

ความคิดของเขากระด้างชามากขึ้น

ในใจเขาเกิดความเกรงกลัวกระทั่งความหวาดกลัวที่ไม่สิ้นสุด

นี่ก็คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงหรือ?

……

……

สีค่ำคืนครอบสุสานเทียนซู

ตามการหายไปของพลบค่ำจุดสุดท้ายที่ขอบฟ้า หมู่ดาวยึดครองท้องฟ้าและสายตาของเหล่ามนุษย์อีกครั้ง

เฉินฉางเซิงยืนอยู่นอกกระท่อมแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ เงยหัวมองดูท้องฟ้าดวงดาว ไม่ขยับเลย

เขารักษาท่านี้มาเป็นเวลานานแล้ว

เคียงข้างกับเงาสะท้อนนั้นหลายปี ก็เขาไม่ใช่ชายหนุ่มธรรมดา

แม้ว่าไม่สามารถทำได้ก่อนตาย ยังมีการพูดคุยสนุกสนาน แต่ใช้เวลานานขนาดนี้ พลังที่จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ล้วนไม่สามารถที่จะมีผลกระทบต่อจิตวิญญาณของเขา

เขาหันหลังเดินเข้าไปในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์อีกครั้ง ยืนอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset