ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 229 ครั้งแรกที่เห็นความจริง

สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์ เส้นสายนับพันหมื่น จุดนับไม่ถ้วน ไร้ซึ่งแบบแผน มองดูแล้วเหมือนหยดหมึก ราวกับฝนหยดลงบนกระดาษขาว เป็นรูปร่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนแน่ๆ แต่แล้วเพราะเหตุใดถึงรู้สึกว่าคุ้นตา เฉินฉางเซิงคิดอย่างเงียบขรึม รู้สึกอยู่เสมอว่าความรู้สึกที่ภาพนี้ให้กับตัวเองนั้น เหมือนจะเห็นอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่เคยดูอย่างละเอียด จริงๆ แล้วเป็นอะไรกันแน่?

อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ถูกทำให้ง่ายขึ้นจนเหลือแค่จุดจำนวนนับไม่ถ้วน บนกระดาษไร้รูปร่างที่อยู่ในสมองมีเพียงจุดจำนวนมหาศาล ดูอย่างไรก็มีแค่จุด

จุด จุด จุดจุด…ดวงดาวเป็นจุดๆ?

แม้จะมองเห็นด้วยตนเอง เขาราวกับรู้สึกว่าริมฝีปากของตนแห้งเล็กน้อย

เพราะตื่นเต้น

รูปภาพนี้ที่รวมตัวจากแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หน้าสุสาน…เป็นไปได้ที่จะเป็นท้องฟ้าดวงดาวหรือไม่?

เค่อต่อไป เขาเกิดความไม่มั่นใจในตัวเองและสงสัยในสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์ออกมาอย่างรุนแรง เพราะว่าตอนนี้จำนวนจุดที่อยู่ตรงหน้าของเขามีมากเกินไป กระทั่งมากกว่าจำนวนดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืนเสียอีก ถ้าจะพูดว่า ระหว่างหน้าสุสานของสุสานเทียนซูกับท้องฟ้าดวงดาวมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง ฉะนั้นกลับกลายเป็นว่าท้องฟ้าดวงดาวนั้นเรียบง่ายกว่ารูปภาพบนแผ่นป้ายอนุสรณ์

วิเคราะห์ตามตรรกะที่ง่ายที่สุด ไม่มีเหตุผลที่จะเอารูปภาพที่ซับซ้อนกว่าไปอธิบายเรื่องราวที่เรียบง่ายกว่า สาเหตุที่สำคัญกว่านี้คือ ถ้าแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์หน้าสุสานเป็นการอธิบายท้องฟ้าดวงดาวจริง ไม่สามารถที่จะทำให้ง่ายลงกว่านี้ได้ นอกจาก สิ่งที่แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์เหล่านี้อธิบายเป็นท้องฟ้าดวงดาวหลายแห่งมาก

แต่ว่า ในจักรวาลมีเพียงท้องฟ้าดวงดาวแห่งเดียว

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไปเป็นเวลานาน จากนั้นเอาความคิดดันกลับไปยังข้างหน้าสักพัก เส้นสายบางเส้นค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาใหม่ในระหว่างจุดเหล่านั้น ถ้าเส้นสายเหล่านั้นถูกนำมาใช้อธิบายการร่องรอยการเคลื่อนไหวของจุด ในรูปร่างมองดูเหมือนจะมีจุดจำนวนมาก ความจริงแล้วจุดเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งเวลาที่แตกต่างกัน ฉะนั้นทุกอย่างก็สามารถแก้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ใช่ น่าจะเป็นเช่นนี้

แต่ตอนนี้เขาเผชิญหน้ากับอีกหนึ่งปัญหา ปัญหานั้นมันช่างยากที่จะแก้ถึงเพียงนี้ ถึงขนาดที่ว่าทำให้สถานการณ์ยิ่งอันตรายอีกครั้ง

เพราะว่า ดวงดาวนั้นมันไม่ขยับ!

……

……

ความมืดสว่างของดวงดาวอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่ตำแหน่งของมันในท้องฟ้าดวงดาวไม่มีวันเปลี่ยนชั่วนิรันดร์ นี่เป็นความจริงที่ถูกยืนยันมาเป็นเวลาหลายปี หอชมดวงดาวจำนวนมากในต้าลู่ ภาพดวงดาวที่วาดออกมาโดยรวมแล้วแทบจะไม่ต่างกัน จุดสำคัญในการสังเกตก็คือศูนย์รวมในเรื่องของความมืดสว่าง

ไม่เคยมีใครกล้าสงสัยความคิดเห็นนี้ เพราะว่านี่เป็นความจริงที่คนจำนวนมากในหลายปีมาแล้วมองเห็นด้วยตา ก็เหมือนกับที่พระอาทิตย์จะตกทิศตะวันตกเสมอ ก็เหมือนกับพระจันทร์ที่อยู่ในที่อันไกลโพ้นอยู่เสมอ มีแต่มารปีศาจที่จะเห็น ก็เหมือนกับน้ำที่จะไหลลงจุดที่ต่ำเสมอ นี่เป็นเหตุผลที่แท้จริง ไม่สามารถถูกโค่นล้มได้อย่างแน่นอน

ตอนที่เห็นสมุดบันทึกของหวังจือเช่อในหอหลิงเยียน เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจและสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาโดยการเปลี่ยนตำแหน่งดวงดาว ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ แม้จะอยู่ในโลกแห่งความฝันในเวลาต่อมา ดวงดาวจักรพรรดิสีม่วงอ่อนราศีดวงนั้นที่เขาเห็นกับตาว่าทำให้ดวงดาวสองสามดวงที่อยู่ข้างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง เขายังคงไม่เชื่อ เพราะว่านั่นเป็นโลกแห่งความฝัน ไม่ใช่ความจริงที่เห็นกับตา

เพียงแต่…ในสมุดบันทึกของสวินเหมยเคยพูดถึงหลายครั้ง ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เห็นความจริง แต่เขาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ในสุสานเทียนซูหลายสิบปีตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยเห็น สุดท้ายเพื่อการปีนยอดเขาเห็นความจริง กระทั่งทุ่มเทคุณค่าชีวิตออกไป ฉะนั้นจริงๆ แล้วเขาอยากเห็นความจริงอะไร? อะไรถึงจะเป็นความจริง? สิ่งที่เห็นด้วยตาของตนเอง ก็คือความจริงหรือ?

เฉินฉางเซิงไม่ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ด้วยตัวเองอีก

เขาลืมตาขึ้น มองไปยังแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่มีอยู่อย่างแท้จริง

ฟ้ามืดสนิทแล้ว กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยังมีคนจำนวนมาก ต่างกับที่เฉินฉางเซิงคิดไว้ ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่ว พวกโก่วหานสือ ไม่ได้จากเขาไปไหน พวกเขาสังเกตกระบวนการแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของเฉินฉางเซิงอยู่ที่นี่ตลอด ตั้งแต่รุ่งอรุณยันรุ่งสาง จนกระทั่งตอนนี้ฟ้ามืดดาวปรากฏ

เวลาพลบค่ำ พวกเขาเห็นเฉินฉางเซิงพ่นโลหิตออกมาคำหนึ่ง เป็นห่วงมาก

จากนั้น พวกเขาเห็นเฉินฉางเซิงกำมือสองข้างอย่างแน่น เลิกคิ้ว ราวกับเหมือนสังเกตอะไรบางอย่าง แสดงเห็นถึงความตื่นเต้นเล็กน้อย

ตอนนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เห็นเฉินฉางเซิงลืมตา ตื่นขึ้นมา

ถังซานสือลิ่วระบายลมหายใจ เตรียมตัวจะเข้าไปหา เค่อต่อไปกลับหยุดการก้าวเท้าลง

เพราะว่าเขาสังเกตได้ว่าเฉินฉางเซิงไม่ได้มองตัวเอง

เฉินฉางเซิงยังคงดูแผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ ยังคงแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์อยู่ สีหน้าที่ตั้งใจแน่วแน่จนทำให้คนใจสั่นได้ ทำให้คนไม่อยากไปรบกวน

แผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้ เฉินฉางเซิงดูไปแล้วยี่สิบกว่าวัน

แสงอรุณและแสงสายัณห์ ฝนเล็กน้อยและฟ้าโปร่งใส ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน การเปลี่ยนแปลงอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้ ล้วนอยู่ในใจเขาทั้งหมด

เขาก็เคยดูแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นนี้ใต้แสงดวงดาว ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ

คืนนี้แสงดวงดาวยังคงสว่างไสว แทบจะไม่ต่างกันกับวันก่อนๆ

แต่ นัยน์ตาของเขา จู่ๆ กลับสว่างขึ้นมา

แสงลำนั่น มาจากเส้นสายที่ละเอียดเรียวตรงมุมซ้ายล่างของแผ่นป้ายหินอนุสรณ์และไม่โดดเด่นเห็นได้ง่ายอย่างมาก

เส้นสายเส้นนี้ไม่ได้มีความผิดปกติอะไร เพียงแต่ตำแหน่งและองศาพอดีเหมาะสมกัน นำเอาแสงดวงดาวในท้องฟ้าค่ำคืนที่ตกลงมา สะท้อนเข้าไปในตาของเขา

ดังนั้นดวงตาของเขาจึงสว่าง

การเฝ้าสังเกตและคิดวิเคราะห์ยี่สิบกว่าวัน ทำให้เขาเกือบเข้าใกล้ความจริงแล้ว ลำแสงนั้นในคืนนี้ ทำให้ในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว

ถ้าเส้นสายบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์บ้างสว่างบ้างมืดตามแสงธรรมชาติ สามารถเปลี่ยนเป็นตัวอักษรหรือรูปภาพจำนวนมาก ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงมืดสว่างของดวงดาวมาจากไหนอีก? นั่นเป็นเพราะว่า ดวงดาวกำลังขยับ เพียงแต่ ถ้าตำแหน่งของดวงดาวขยับได้ ทำไมถึงไม่เคยมีใครสังเกตได้มาก่อน?

สิบเจ็ดแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ ปรากฏอยู่ในตาของเขาอีกครั้ง

อักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้นทับซ้อนรวมกัน เส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นสุดท้าย และเส้นสายบนแผ่นป้ายอนุสรณ์แผ่นแรก มีหลายอย่างที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

อย่างน้อยในสายตาของเขาเป็นเช่นนี้

แต่ความจริงแล้ว ระหว่างเส้นสายเหล่านั้น ยังมีระยะห่างที่ยาวระดับหนึ่ง

แต่เหตุที่สิ่งที่เขาเห็นในตานั้นไม่ได้เป็นเช่นนี้ นั่นเพราะว่าสายตาของเขาและหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์นั้นเป็นแนวตั้ง

หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ก็คือท้องฟ้าดวงดาว

ผู้คนยืนอยู่บนพื้นดินเงยหัวไปมองท้องฟ้าดวงดาว เพราะว่าดวงดาวและพื้นดินห่างกันไกลเกินไป สามารถคิดได้ว่า สายตาตอนสังเกตดวงดาวนั้นเป็นแนวตั้งกับแนวราบของตำแหน่งดวงดาวเสมอ ฉะนั้นตอนดวงดาวขยับไปข้างหน้า หรือว่าเคลื่อนที่ไปข้างหลัง คนที่ยืนอยู่บนพื้นดินแน่นอนว่าไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เพียงแต่บางครั้งสามารถสังเกตเห็นการสว่างขึ้นหรือมืดลงของดวงดาว

ใช่ ก็คือเช่นนี้

เฉินฉางเซิงเก็บสายตากลับมาจากบนแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ จากนั้นถึงจะสังเกตเห็นว่ารอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์มีคนจำนวนมาก

ถังซานสือลิ่วมองเขา พูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วพูดว่า “ตำแหน่งมันตรงกัน”

นี่คือสิ่งที่เขาเห็นเป็นประโยคแรกในตอนที่เขาเปิดสมุดบันทึกของหวังจือเช่อในหอหลิงเยียน จนถึงตอนนี้เขาถึงเข้าใจว่านั่นหมายความว่าอะไร

ถังซานสือลิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมเขาเพ้อเจ้อเพี้ยนพิลึกพูดประโยคนี้ขึ้นมา ตอบสนองด้วยจิตใต้สำนึกว่า “แล้วเป็นอย่างไรต่อ?”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก ชี้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนสุสานเทียนซู พูดว่า “เจ้ารู้ไหม? ดวงดาวมันขยับได้”

รอบๆ กระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์เงียบสงบ นกไม่มีเสียง ทุกคนคิดว่าเฉินฉางเซิงชมแผ่นป้ายอนุสรณ์นานเกินไป จิตวิญญาณสูญเสียหนักเกินไป สติตอนนี้พร่าเบลอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เห็นสีหน้าตอนเขาพูดนั้นตั้งใจ ผู้คนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย รู้สึกอยู่เสมอว่ามีเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น

จี้จิ้นตะคอกด้วยเสียงรุนแรงต่อเข้าว่า “เจ้าพูดบ้าอะไร!”

“แต่ว่า พวกมันกำลังขยับอยู่จริงๆ นี่”

เฉินฉางเซิงพูดอย่างสงบ น้ำเสียงและสีหน้ามั่นใจอย่างเทียบมิได้

เพราะว่านี่ก็คือความจริง

นี่ถึงจะเป็นความจริง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset