ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 233 ออกสุสาน

เผชิญหน้ากับตะวันสีแดงฉาน เฉินฉางเซิงแบมือออก ทำพฤติกรรมที่ผิดกฎระเบียบของการบำเพ็ญอย่างสิ้นเชิง ภายหลังนึกย้อนขึ้นมา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนั้นเพราะอะไรตัวเองถึงทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับความซาบซึ้งที่ไม่มีเหตุผลใดๆ เขาอยากทำ ฉะนั้นก็เลยทำ…เขาแบมือสองข้างออก กำลังหาดาวโชคชะตาในท้องฟ้าที่จากมืดทึมกลายเป็นสีฟ้าคราม จากนั้นเริ่มดึงแสงดวงดาว

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองนำแสงดาวชำระกระดูกในเวลากลางวัน

หรือว่า นี่ก็หลายปีที่ผ่านมา เป็นครั้งแรกที่มีผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาลองนำแสงดวงดาวชำระกระดูกในเวลากลางวัน

อาจเป็นเพราะว่าโชคดี เขาไม่ได้ตาย และก็ไม่ได้ถูกแผดเผาจนสิ้นเป็นเถ้าธุลี กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจน หลังประตูส่วนลึกเปิดออกอย่างเต็มที่ ความเร็วในการนำดวงดาวเข้าชำระกระดูกเร็วกว่าแต่ก่อนหลายร้อยเท่า

ใช่ เส้นลมปราณของเขายังคงมีจุดที่แตกหักจำนวนมาก โดยเฉพาะส่วนตรงกลางของเส้นลมปราณเจ็ดสายที่สำคัญที่สุด หน้าผาหมื่นจั้งยังคงมีอยู่ แต่ภายในเส้นชีพจรที่ตัดขาดออกจากกันจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะอวัยวะกลวงและตันบริเวณรอบแดนอเวจี กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณแท้ที่แปรเปลี่ยนมาจากแสงดาวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงขนาดที่ว่าคล้ายกับได้ซ่อมแซมความเสียหายของเส้นชีพจรไปแล้วบ้างบางส่วน

หรือว่านี่คือปาฏิหาริย์ของแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู? เขาหมุนกายมองไปยังแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้นใต้กระท่อมแผ่นนั้นพร้อมครุ่นคิดอยู่เงียบๆ

ตอนนี้เขายืนอยู่ข้างหน้าผา ผาสองแห่งห่างกันระยะหนึ่ง เห็นไม่ชัดเจน แต่เขารู้สึกได้ว่าตัวเองมองเห็นแผ่นป้ายหินอนุสรณ์ที่หายไปแผ่นนั้น และไม่ใช่เพราะตาลาย

ถึงตอนนี้ เฉินฉางเซิงแก้แผ่นป้ายคัมภีร์ของสุสานหน้าออกทั้งหมดอย่างแท้จริง ทำสิ่งที่โจวตู๋ฟูทำได้ในปีนั้น

ถ้าเขาเดินหน้าต่อ ก็น่าจะเข้าภูเขาสุสานอื่น ได้เห็นแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่น่ามหัศจรรย์กว่านี้ แต่เขามองสีท้องฟ้าปราดหนึ่ง ไม่ไปต่อ และออกจากตรงนี้

……

……

รุ่งอรุณของสุสานเทียนซูเงียบสงบมาก พลุทิวทัศน์งดงามเมื่อคืนวานไม่อยู่แล้ว หน้ากระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ไม่มีคน เส้นทางภูเขาที่เชื่อมต่อไปยังใต้สุสานก็ไม่มีคน

หลายคนยังหลับสนิท ไม่ได้ตื่นขึ้นมา อาจต้องใช้เวลาอีกหลายวันถึงจะตื่น

ทะลุระดับขั้น ไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายดาย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเหมือนอย่างเฉินฉางเซิง ที่มองดูแล้วราวกับก้าวข้ามประตูธรณีได้อย่างง่ายดาย ไม่รู้สึกถึงความอิดโรยเหนื่อยล้าแม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่า สำหรับบางคนแล้ว ทะลุระดับขั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไร อย่างเช่นโก่วหานสือ

โก่วหานสือยืนอยู่ปลายทางของเส้นทางภูเขา รอคอยเขาอย่างเงียบๆ

เฉินฉางเซิงเดินมาถึงหน้าเขา ประกบมือเป็นการทักทาย มองตาที่วาววับของเขา รู้ว่าระดับขั้นของเขาก้าวหน้า

ตั้งแต่การชุมนุมไม้เลื้อยจนถึงการสอบใหญ่และมาจนถึงสุสานเทียนซู ระดับขั้นของพวกเขาสองคน ในที่สุดก็เหมือนกัน ล้วนมาถึงขั้นทะลวงอเวจีขั้นปลาย

เฉินฉางเซิงอำลาเขา พูดว่า “ข้าต้องไปแล้ว”

โก่วหานสือพูดว่า “ห่างจากการเปิดสวนโจวยังมีอีกไม่กี่วัน เวลาน่าจะพอ”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “อยู่ในจิงตู ยังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องเตรียมตัว”

โก่วหานสือเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ข้าไม่เตรียมที่จะไปสวนโจว บนทางเดินระวังด้วย”

เฉินฉางเซิงไม่ค่อยเข้าใจ ถามว่า “เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อทำไม?”

“อย่างน้อยก็ต้องชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานสิบเจ็ดแผ่นให้หมด” โก่วหานสือพูดพลางยิ้มเล็กน้อย

เฉินฉางเซิงพูดอย่างจริงใจว่า “ขอให้เจ้าโชคดี”

โก่วหานสือมองเขาแล้วพูดว่า “ผู้สอบของการสอบใหญ่ในรุ่นนี้ทั้งหมด ล้วนต้องขอบคุณเจ้า”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ โก่วหานสือเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมดให้ฟัง

เขาคิดแล้วคิดอีกพูดว่า “ไม่ต้องขอบคุณ ข้าเพียงทำในสิ่งที่ข้าอยากทำ”

โก่วหานสือรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังถ่อมตัว เพราะว่าเขาก็แค่อยากแก้แผ่นป้ายอนุสรณ์ของตัวเองจริงๆ ส่วนแสงดวงดาวที่ส่องสว่างจิงตูและสุสานเทียนซู ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะความมุ่งมั่นของเขา

สองคนไหล่ชนไหล่เดินไปยังกระท่อม

ข้ามผ่านรั้วไผ่ที่เพิ่งซ่อมเสร็จไม่กี่วัน เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปในห้องแล้วเริ่มเก็บสัมภาระ มองถังซานสือลิ่วที่เสียงกรนดังดั่งฟ้าผ่าแล้วส่ายหัวไปมา กลับสังเกตเห็นว่าเจ๋อซิ่วไม่ได้อยู่ในห้อง รู้สึกใจหายเล็กน้อย

แบกสัมภาระเดินออกไปที่นอกประตู เขาพูดกับโก่วหานสือว่า “รบกวนเจ้าช่วยดูแลถังถังให้หน่อย”

โก่วหานสือพูดว่า “ไม่มีปัญหา เพียงแต่เจ้าต้องเข้าใจ ออกจากสุสานเทียนซู พวกเรายังคงเป็นคู่แข่ง”

เฉินฉางเซิงพูดว่า “เข้าใจ”

โก่วหานสือถอนหายใจพูดว่า “ศิษย์น้องสามและศิษย์น้องเล็กจะไปสวนโจว ถึงเวลานั้นอยู่ข้างใน เจ้าช่วยดูแลหน่อย”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจเล็กน้อย พูดว่า “เจ้าเพิ่งจะพูด พวกเราเป็นคู่แข่ง”

โก่วหานสือพูดว่า “คู่แข่งไม่ได้แปลว่าดูแลซึ่งกันและกันไม่ได้”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีกพูดว่า “มีเหตุผล…แต่ข้ากลับไม่คิดว่าตัวเองมีความสามารถที่จะดูแลพวกเขาได้”

เหลียงเสี้ยวเซียวและชีเจียนอยู่ในรายชื่อเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ เป็นศิษย์ของพรรคกระบี่หลีซานที่วิชากระบี่สะท้านขวัญผู้คน แม้ตอนนี้เฉินฉางเซิงเป็นขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจี ปราณแท้เต็มเปี่ยม แต่เป็นเพราะสาเหตุของเส้นลมปราณ ปราณแท้ที่นำมาใช้ได้นั้นยังคงมีน้อยมาก ถ้าสู้กันเอาเป็นเอาตายจริงๆ เขาก็มิอาจชนะฝ่ายตรงข้ามได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการดูแล

โก่วหานสือยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “สิ่งที่ข้าเห็นเป็นสำคัญนั้นเป็นความสามารถด้านอื่นของเจ้า”

ออกจากกระท่อม มาถึงหน้าประตูหินของสุสานเทียนซู โก่วหานสือมาส่งตลอดทาง

พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย ประตูหินค่อยๆ เปิดออก

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว สุสานเทียนซูเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเดียวที่สูงส่ง ไม่ว่าเป็นใคร ตอนจากไปจากสุสานเทียนซู คิดว่าคงมีความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย หรือไม่ก็มีอารมณ์ที่ซับซ้อนกว่านี้ แต่สีหน้าของเฉินฉางเซิงกลับสงบมาก เดินออกจากประตูหินอย่างตามใจชอบเช่นนี้ ขนาดหันหลังกลับไปมองสักปราดหนึ่งก็ยังไม่มี

โก่วหานสือและเหล่าผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์ที่ได้ยินข่าวแล้วตามมา เห็นภาพนี้เข้าก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

ก็เหมือนกับที่หลายคนเคยพูดไว้เช่นนั้น เฉินฉางเซิงเผชิญหน้ากับเรื่องใดๆ ล้วนแสดงออกมาเงียบสงบหนักแน่นเกินไป ไม่เหมือนชายหนุ่มที่มีอายุสิบห้าปีอย่างสิ้นเชิง

นั่นเป็นเพราะว่า เขารักษาเวลา อีกทั้งตอนนี้เขาเจอเส้นทางของเขาแล้ว แน่นอนว่ายิ่งรักษาทะนุถนอมกว่าเดิม และเขาเชื่อมั่นในตนเองว่าสักวันจะต้องถึงขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน ถึงวันนั้นเขาจะกลับมาที่สุสานเทียนซูอีกครั้ง ไม่ว่าจะฝ่าถนนเสิน หรือว่าเดินเส้นทางเดิม ล้วนไม่มีปัญหา ฉะนั้นตอนนี้จะอาลัยอาวรณ์ไปทำไม ถ้าไม่มีวันนั้น ฉะนั้นในอีกหลายปีข้างหน้าเขาก็จะกลับไปบนท้องฟ้าดวงดาว ไม่ว่าจะอาลัยอาวรณ์ขนาดไหนก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งสิ้น

ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ยี่สิบกว่าวัน โดยเฉพาะตั้งแต่วันก่อน ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์อย่างไม่หลับไม่นอน ในที่สุดก็ทำให้เขาทะลุไปยังขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจี นอกจากนี้ ยังมีประโยชน์ที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขาเข้าใจประโยคสุดท้ายในสมุดจดบันทึกของหวังจือเช่อแล้ว…ไม่มีโชคชะตา

ในเมื่อดวงดาวสามารถขยับได้ แน่นอนว่าไม่มีโชคชะตาที่คงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือว่า อาจารย์ของเขานักพรตจี้ให้เขาเข้าหอหลิงเยียนแล้วหาสมุดบันทึกของหวังจือเช่อเจอ คิดอยากให้เขาเรียนรู้วิธีลับในการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของจักรพรรดิไท่จู่และจักรพรรดิไท่จง เพียงแต่นักพรตจี้ไม่คิดว่า เขาบรรลุสิ่งเหล่านี้ในหอหลิงเยียน ทำให้เขาเดินไปบนเส้นทางอีกเส้นหนึ่ง

ความเชื่อมั่นของเขาที่ไม่เคยมีมาก่อน ตัวเองสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้โดยไม่ต้องทำการเปลี่ยนโชคชะตาของผู้อื่น

เขาต้องเข้าสู่ขั้นอำพรางเทพก่อนอายุยี่สิบ

ใช่ บนโลกไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

แต่ไหนใครบอกว่าเขาจะทำไม่ได้อย่างแน่นอน?

ในป่า เหมาชิวอวี่และหัวหน้าสำนักของสำนักเด็ดดารา มองเงาหลังของเฉินฉางเซิง อารมณ์ซับซ้อนเล็กน้อย

หัวหน้าสำนักของสำนักเด็ดดาราพูดว่า “เขาน่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจีที่เยาว์วัยที่สุดในประวัติศาสตร์”

เหมาชิวอวี่พยักหน้า พูดว่า “ก่อนม่ออวี่ตั้งสองปี”

หลังการสอบใหญ่ เฉินฉางเซิงกลายเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในขั้นทะลวงอเวจีที่เยาว์วัยที่สุด

หลังการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู เขากลายเป็นผู้ที่อยู่ในขั้นปลายของขั้นทะลวงอเวจีที่เยาว์วัยมากที่สุด ไม่ใช่หนึ่งใน

ถ้ามองดูเช่นนี้ราวกับว่าเขาถนัดเปลี่ยนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปได้อย่างมาก

เดินเข้าป่ายามเช้าอันเงียบสงบ มองเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ เฉินฉางเซิงชะงักเล็กน้อย

ไม่คิดว่ามีคนออกจากสุสานเทียนซูก่อนเขาอีก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset