ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 238 ชาดแดงแต้มหว่างคิ้ว (ตอนต้น)

เหมยหลี่ซาเดินกลับเข้าไปในตำหนักแล้วถามใต้เท้าสังฆราชว่า “พวกเจ้าคุยอะไรไปบ้าง?”

ใต้เท้าสังฆราชคิดกลับไปแล้วตอบว่า “พูดคุยกันทุกเรื่อง แต่กลับเหมือนไม่ได้คุยอะไรเลย”

พอพูดประโยคนี้จบ เขาก็ส่ายหัวไปมาและพูดว่า “เด็กคนนั้นถามแต่เรื่องราวที่ล้วนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับตัวเอง คำถามที่เดิมทีข้าคิดว่าจะต้องได้ยินนั้นกลับไม่ได้ยิน เขาไม่ได้ถามถึงสิ่งที่เรียกว่าตามใจชอบ เช่นเรื่องนิกายหลวง เรื่องดวงดาว หรือเรื่องแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์”

ในต้าลู่ทั้งแผ่นดิน ผู้ที่อ่านแก้แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่ทรงอำนาจมากที่สุด ก็คือผู้เฒ่าที่ทั้งตัวทิ้งร่างในอาภรณ์ขุนนางไปแล้ว แม้จะเป็นเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพรรคสำนักทางใต้ก็ไม่สามารถล้ำหน้าเขาได้ เฉินฉางเซิงเกิดการบรรลุบางอย่างจากการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู บังเกิดความสงสัยจำนวนมาก แต่ในวันนี้ที่พระราชวังหลี เขากลับไม่พูดถึงมันสักคำ

“เขายังคงขาดความเชื่อใจ” เหมยหลี่ซาพูดอย่างช้าๆ

“เด็กคนนั้นแม้คำพูดจะน้อย แต่เขาก็ไม่โง่ จู่ๆ เผชิญหน้ากับเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะให้เชื่อใจเราอย่างหมดจดได้เสียที่ไหนกัน”

ใต้เท้าสังฆราชไม่คิดอย่างนั้น เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในอนาคตเขาก็จะรู้เอง ว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นล้วนเป็นความหวังดีต่อเขา”

พอได้ยินประโยคนี้ เหมยหลี่ซาเงียบขรึมไปสักพัก ก่อนจะขึ้นพูดว่า “แต่ก่อนข้ากังวลมากว่าเขาจะเติบใหญ่ช้าเกินไป แต่ตอนนี้ดูๆ แล้ว การเติบโตของเขาเร็วกว่าที่ทุกคนจินตนาการไว้ เราควรจะควบคุมสักหน่อยหรือไม่?”

ใต้เท้าสังฆราชไม่ได้พูดอะไรเมื่อเดินออกจากพระราชวังหลี เฉินฉางเซิงรู้สึกปวดเอวเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนถนนเสินมีนักบวชจำนวนนับร้อยทำความเคารพเขาตามลำดับ แม้เขาจะเพียงแค่ก้มตัวเล็กน้อยเป็นการตอบกลับตามมารยาท มันก็ลำบากพอควร

จากการอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คนนับหมื่นมายังที่ที่โดดเดี่ยวตามลำพัง เขากลับรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย เมื่อหันกายมองไปยังพระราชวังหลีภายใต้แสงค่ำคืน และมองดูเสาหินที่เงียบขรึมไร้วาจาเหล่านั้น เขาก็เงียบขรึมไร้วาจาเช่นกัน เขาได้สัมผัสถึงความมีหน้ามีตาอย่างเต็มที่ในตำหนักพระราชวังแห่งนี้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จนถึงขนาดรู้สึกหวาดกลัว

ถึงแม้เขาจะเดาว่าอาจารย์ของตัวเองไม่ใช่คนธรรมดามาได้นานแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับคิดว่าท่านจะพิเศษขนาดนี้ อีกทั้งหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาทุ่มเทแรงกายและใจไปกับการบำเพ็ญและการสอบใหญ่จนหมด ไม่มีเวลาว่างให้ไปคิดเรื่องพรรค์นี้อย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาที่พระราชวังหลีในค่ำคืนนี้ มันสะเทือนใจเขาอย่างรุนแรงจนร่างกายเยือกเย็นไร้ที่เปรียบ

ก็เหมือนกับบทสนทนาที่ใต้เท้าสังฆราชและเหมยหลี่ซาได้คุยกันหลังเขาจากไป เขามีเรื่องจำนวนมากที่ไม่ได้พูดและคำถามมากมายที่ไม่ได้ถามในพระราชวังหลี อย่างเช่นเขาไม่ได้พูดถึงว่าตัวเองยังมีศิษย์พี่อีกหนึ่งคน ถ้าจะพูดว่านิกายหลวงต้องการผู้สืบทอด ศิษย์พี่สมควรเป็นผู้สืบทอดมากกว่า เขาไม่ได้พูดถึงสภาพร่างกายที่พิเศษของตัวเอง ดวงตาของใต้เท้าสังฆราชลึกดั่งมหาสมุทร ราวกับมองทะลุได้ทุกสิ่งอย่าง สามารถรู้เรื่องราวทั้งหมดของเขาได้มากมาย อย่างเช่นรู้ว่าในวัดเก่าเมืองซีหนิงมีนักบวชชายหนุ่มสองคน อย่างเช่นความรู้เหล่านั้นที่เขาได้บรรลุจากการชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู อย่างเช่นเส้นลมปราณในร่างกายของเขาล้วนขาดสะบั้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไร

ใต้เท้าสังฆราชและเหมยหลี่ซาล้วนพูดว่าเมืองซีหนิงจะไม่มีเรื่องเกิดขึ้น แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร? จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์คงสั่งคนให้ไปฆ่าอาจารย์และศิษย์พี่อวี๋เหริน ไม่รู้ว่าอาจารย์กับศิษย์พี่จะสามารถหนีออกไปได้สำเร็จหรือไม่? อีกทั้งเมื่อสิบกว่าปีก่อน ใต้เท้าสังฆราชและจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เป็นคนทำลายสำนักฝึกหลวงให้พังพินาศย่อยยับ ทั้งๆ ที่ใต้เท้าสังฆราชเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง เหตุใดตอนนี้ถึงดูแลตัวเขาอย่างดี หรือเป็นเพราะว่าอายุมากขึ้น จึงเริ่มคิดถึงวันเก่าๆ หรือ? เหตุผลเช่นนี้ช่างยากที่จะให้ผู้คนทำใจเชื่อได้จริงๆ เขาไม่สามารถเชื่อใจใต้เท้าสังฆราชได้อย่างหมดจด แม้ดูแล้วใต้เท้าสังฆราชจะเมตตารักใคร่เขาหรือดูน่าเชื่อถือปานนั้นก็ตามที

ศัพท์วลีลอยว่อนไปมาในสมองของเขาราวกับการเล่นสัมผัสคำ จะเชื่อถือหรือไม่เชื่อ จะหาเหตุผลว่าทำไมได้หรือไม่ได้ ทำให้สีหน้าของเขาดูท้อแท้ ระหว่างนั้นก็คิดว่า ถ้าสิ่งที่ใต้เท้าสังฆราชพูดเป็นความจริง ฉะนั้นเริ่มตั้งแต่คืนนี้ ชีวิตของตนคงมาถึงจุดเปลี่ยน

ตั้งแต่เมืองซีหนิงถึงนครจิงตู ตั้งแต่วัดเก่าแก่ถึงสำนักฝึกหลวง ไม่ว่าจะด้วยเจตจำนงของตนหรือว่าผู้อื่น เงาสะท้อนแผ่นใหญ่ที่สุดบนเหนือศีรษะของเขา ก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เดิมตัวนางเองก็เป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งเดียวในใต้หล้าขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ พึ่งพาขุนพลเทพสามสิบกว่าคน ครอบครองขุนพลนับล้านของต้าโจว อีกทั้งยังได้รับความภักดีจากอวี้เหวินจิ้ง โจวทง ม่ออวี่รวมถึงคนของตระกูลเทียนไห่ นางยิ่งได้รับความเกรงกลัวและความเคารพศรัทธาของประชาชนทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย สรุปก็คือ นางเป็นคนเผ่ามนุษย์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในต้าลู่นั่นเอง

ถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในสถานการณ์เหมือนเช่นเฉินฉางเซิง คงฆ่าตัวตายให้จบๆ ไปนานแล้ว

แต่ก็อย่างที่ใต้เท้าสังฆราชได้พูดไป แม้จะเป็นถึงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ นางก็ไม่ยอมที่จะเผชิญหน้ากับนิกายหลวงตรงๆ เพราะว่าบนโลกใบนี้ หนึ่งเดียวที่มีกำลังต่อกรกับนางได้ ก็คือนิกายหลวง ซึ่งเป็นสถานศึกษาสร้างชาติของต้าโจว มีศิษย์ศรัทธานับถือจำนวนมากและนักบวชนับพันนับหมื่น ใต้เท้าสังฆราชถึงกล้าพูดอย่างมั่นใจเช่นนี้

ส่วนตอนนี้เขา… ก็เป็นผู้สืบทอดของนิกายหลวงเพียงหนึ่งเดียวไปแล้ว

ดั่งที่เหมยหลี่ซาได้พูดกับเขาบนนถนนเสิน เขาไม่ต้องก้มหัวให้ใครอีก

เพียงแต่โชคลาภนี้มากะทันหันเกินไป จะสามารถทำใจเชื่อได้อย่างไร?

ทำให้ท้ายที่สุดก็ต้องกลับไปที่เรื่องของความเชื่อใจและเหตุผล

เรื่องเหล่านี้ซับซ้อนเกินไป แม้เฉินฉางเซิงจะอ่านคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้อย่างแตกฉานไม่ว่าจะเป็นบทสวดที่ลึกลับเข้าใจยากปานใดก็สามารถท่องได้อย่างลื่นไหล แต่เขากลับไม่ถนัดพวกนี้อย่างยิ่ง

เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเจตจำนงคน

เขาอยากจะหาใครคนหนึ่งมาปรึกษา แต่แล้วถังซานสือลิ่วยังอยู่ในสุสานเทียนซู ถึงแม้เขาจะอยู่ตรงนี้ แน่นอนว่าเขาพูดอะไรถังซานสือลิ่วก็คงจะพูดกลับกัน ส่วนลั่วลั่วนั้น ขนาดไม่นับเรื่องสถานะที่อ่อนไหวเกินไป นางก็จะเชื่อฟังอะไรเขาหมด แล้วมันจะเรียกว่าเป็นการให้คำปรึกษาได้ที่ไหนกัน

ถึงนครจิงตูกว้างขวางปานนี้ เขาก็หาใครสักคนมาให้คำปรึกษาพูดคุยเรื่องราวที่เกิดขึ้นคืนนี้ไม่ได้เลย นั่นทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย

สีของยามค่ำคืนเข้มสนิท แสงไฟในพระราชวังหลียังคงสว่างไสว เฉินฉางเซิงเดินหันเข้าไปยังถนนตรอกซอยที่เงียบอึมทึม มือขวาตกอยู่บนปลอกกระบี่สั้นข้างเอว

ปราณแท้ในร่างกายของเขาหมุนเล็กน้อย ลมหายใจค่อยๆ สงบลง

ระหว่างนั้น ราวกับมีเสียงโช้งเช้งดังขึ้น กระบี่ของเขายังไม่ได้ชักออกจากฝัก มีเพียงกระบวนท่ากระบี่แสดงออกมาเท่านั้น

มันคือกระบวนท่าแรกของเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน

เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาตามกระบวนท่ากระบี่ท่ามกลางสายลมที่เย็นเล็กน้อย และเงาร่างของเขาก็หายไปกะทันหันหลังจากกะพริบวาบเล็กน้อยหลายที เขาได้หลบซ่อนเข้าไปในแสงค่ำคืน ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด

หลังจากนั้นสักพัก จตุรทิศตรอกซอยที่เงียบอึมทึม มีคนจำนวนหนึ่งทยอยออกมากัน

ในสายตาของคนเหล่านี้ยังหลงเหลือความตื่นตระหนก

พวกเขาจ้องมองซึ่งกันและกัน รู้ในทันทีว่าแต่ละคนทำงานรับใช้ใคร แต่ก็ไม่ได้ทักทายกัน ต่างคนต่างสลายตัวไป

กระบวนท่าที่เฉินฉางเซิงใช้หลบหนีดูเหมือนจะง่าย แต่จริงๆ แล้วไม่ง่ายเลยสักนิด

คนที่ถูกส่งมาจากพรรคพวกมากอิทธิพลต่างๆ ในจิงตูเหล่านี้ ไม่คิดว่าจะมีใครสามารถตามร่องรอยของเขาได้

ในที่สุดเฉินฉางเซิงในตอนนี้ ก็ได้เข้าสู่ขอบเขตผู้แข็งแกร่งขั้นต้นแล้ว

……

……

เสียงระฆังดังขึ้นมาจากในพระราชวังหลี ประกาศว่าเฉินฉางเซิงได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวงรุ่นใหม่ไปยังทั่วทั้งต้าลู่ ข่าวสารนี้ได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนอีกครั้ง

ตั้งแต่พระราชวังถึงบ้านตระกูลเทียนไห่จวบจนจวนขุนพลเทพตงอวี้ หลายคนข่มตานอนไม่หลับก็เพราะข่าวสารนี้ พวกเขาคิดวิเคราะห์กันอย่างไม่หยุดหย่อนว่าจริงๆ แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่

ในฐานะที่ตอนนี้ตกเป็นเป้าในการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เฉินฉางเซิงกลับมาเดินเล่นในตลาดกลางคืนที่เจริญรุ่งเรืองภายในเมืองทิศใต้ของจิงตู

เขาไปจองแกะย่างทั้งตัวตัวหนึ่งที่ร้านย่างแกะฉวี่หยวนที่มีชื่อเสียง จากนั้นก็ไปจับจ่ายซื้อของตามร้านข้างทางและตามตรอก

หลังครึ่งชั่วยามผ่านไป เขาปรากฏอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งนอกสะพานอุดรใหม่

คืนฤดูใบไม้ผลิมืดสนิทแล้ว แต่อุณหภูมิก็ไม่หนาวเหมือนวันก่อนๆ บนหญ้านั้นไม่ค่อยมีน้ำค้างอยู่เลย

บนพระราชวังที่อยู่ไกลออกไป มีแสงไฟบริเวณมุมหอตกทอดลงบนพื้นดิน ส่องแสงจนยอดอ่อนที่เพิ่งงอกใหม่บนต้นไม้ขึ้นสีเขียวขจีสว่างขึ้นมา มองดูแล้วเหมือนกับใบชาที่เพิ่งถูกเก็บ

ที่นี่มีระยะใกล้กับกำแพงพระราชวังมาก จึงมีกองกำลังรักษาความปลอดภัยรัดกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนกำแพงเมือง สายตาของพวกเขาส่องประกายดั่งไข่มุกในความมืด

เฉินฉางเซิงซ่อนร่างของตนอยู่ใต้เงาต้นไม้ใหญ่แล้วสัมผัสสิ่งแวดล้อมบริเวณสี่ทิศอย่างเงียบๆ พอทหารส่วนพระองค์เดินตระเวนห่างออกไป นกฮูกกลางคืนที่เกาะอยู่กำแพงมุมตะวันออกเฉียงใต้ตัวนั้นก็หันหัวไป ตรงกับเวลาที่เขาเริ่มขยับในทันใด ได้ยินเพียงเสียงที่ทุ้มต่ำดังขึ้นเสียงหนึ่ง ใต้ต้นไม้ก็สั่นเรียกฝุ่นธุลีคลุ้งขึ้นมา ถึงแม้จะเหลือเพียงรอยเท้าที่ชัดเจน เขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

หลังจากผ่านไปสักพัก ละอองฝุ่นก็ค่อยๆ ฟุ้งกระจายตกลงมาปิดทับรอยเท้าสองข้างพอดี

ร่างกายของเขาทอดเงาภาพหนึ่งบนท้องฟ้ายามวิกาลดั่งภูตผี และล่องลอยมาที่ปากของบ่อน้ำร้างบ่อหนึ่ง

เขาใช้เพียงแค่ย่างก้าวเดียวในการเดินทางจากต้นไม้มายังบ่อน้ำ

ในตอนนั้นเอง เขาก็มีเวลาได้คิด ถ้าใต้เท้าสังฆราชพูดโกหก ตัวเขาเองต้องล้มอย่างน่าอนาถแน่ๆ หรือว่านี่ถือเป็นบททดสอบความเชื่อใจแบบหนึ่ง?

ฟิ้ว

เขาร่อนลงมายังบ่อร้างได้อย่างแม่นยำ ขนาดเสื้อผ้ายังมิได้แตะโดนผิวของผนังบ่อเลยด้วยซ้ำ

ระดับความแม่นยำนี้มันช่างน่าตกตะลึง

ใต้บ่อร้างถูกขุดเปิดออกขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินฉางเซิงเริ่มลงไปยังช่องว่างใต้ดินที่ลึกราวกับเหว

ความมืดมิดเข้ามาห้อมล้อมเขาอย่างกะทันหัน เขาเห็นเพียงแค่แสงดวงดาวจางๆ และได้ยินเสียงลมที่พัดกระหน่ำแรงยิ่งขึ้น

เขาไม่รู้ว่าตกลงมานานแค่ไหนแล้ว แต่อากาศรอบข้างจู่ๆ ก็เข้มข้นขึ้นมาชะลอการตกของเขา

ในที่สุด เขาตกร่อนลงบนพื้นดินราวกับใบไม้ ใต้เท้าเกิดเสียงแตกดังเปรี๊ยะขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะเหยียบน้ำแข็งก้อนหนึ่งแตก

เขามีประสบการณ์มาที่นี่หลายครั้งแล้ว จึงไม่ลนลาน เมื่อนำไข่มุกราตรีออกมา รอบด้านสี่ทิศก็สว่างไสวขึ้น

ไข่มุกราตรีนับพันลูกที่ติดอยู่ยอดโดมช่องว่างใต้ดินค่อยๆ สว่างขึ้นมาตามไข่มุกในมือ โลกที่มืดมิดพลันกลายเป็นกลางวัน

เสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ ดังขึ้น นั่นเป็นเสียงความบิดเบือนของอากาศ

เฉินฉางเซิงเงยศีรษะมองตามไป และเห็นมังกรดำขนาดมหึมาดั่งภูเขา ค่อยๆ ลอยเข้ามา

ร่างกายของมังกรดำนั้นใหญ่เกินไปจริงๆ การเคลื่อนไหวของมันทำให้เสียงลมเย็นยะเยือกร้องอย่างโหยหวน

มังกรดำหยุดอยู่หน้าเขา หัวของมันใหญ่ดั่งตำหนักพระราชวัง ยึดเต็มพื้นที่ของสายตาเขา

เฉินฉางเซิงหัวเราะขึ้นมาอย่างมีความสุข แล้วโบกมือพูดว่า “จี๊ดจี๊ด ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว”

สายตาของมังกรดำดูไม่แยแสอะไร หนวดของมันขยับเล็กน้อย

ขณะที่มันเคลื่อนตัว หิมะจำนวนมากที่เกาะอยู่ก็ร่วงลงมา และพัดกระจายไปตามลมมาอยู่เต็มหน้าเขา

เฉินฉางเซิงยื่นมือปัดหิมะทิ้ง ท่าทีดูไม่โกรธอะไร

เขาเห็นความขี้เล่นในสายตาของมังกรดำ ถึงจะรู้ว่ามันกำลังแกล้งตัวเองที่ไม่ได้มาเยี่ยมมันเสียนาน

จากนั้น เขาก็เห็นรอยบาดแผลที่ระหว่างดวงตาของมังกรดำ

เทียบกับหัวกะโหลกที่ยักษ์ใหญ่ของมันแล้ว รอยแผลนี้เล็กเรียวมาก

แต่ในสายตาของเฉินฉางเซิงนั้น รอยบาดแผลนี้กลับฉกาจฉกรรจ์น่ากลัวยิ่งนัก

“ใครเป็นคนทำ?” สีหน้าของเขาจริงจังอย่างไม่เคยมีมาก่อน

แม้มังกรดำจะถูกกักขังที่ใต้ดินของพระราชวังต้าโจว ก็ไม่ใช่เป้าที่สามารถถูกสบประมาททำร้ายอย่างตามใจชอบได้

การที่ฝากรอยแผลอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้นั้น แสดงว่าคนผู้นี้มีความแข็งแกร่งอยู่พอสมควร

เฉินฉางเซิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย เขาคิดแต่จะไปเอาความเป็นธรรมคืนแก่มังกรดำ

เพราะว่าตอนนี้เขาโมโหมาก

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset