ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 239 ชาดแดงแต้มหว่างคิ้ว (ตอนปลาย)

เฉินฉางเซิงโกรธมากจริงๆ

ก่อนการสอบใหญ่เขาจู่ๆ ก็ชำระกระดูกสำเร็จ กระทั่งชำระกระดูกสมบูรณ์ แม้ทั้งกระบวนการนั้นเขาล้วนอยู่ในภาวะสลบไสล ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดเรื่องอะไร แต่เขารู้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับมังกรดำแน่ๆ

ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ สามารถได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่และได้เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุในสุสานเทียนซู แสงดวงดาวอาบนครจิงตู ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากการมอบให้ของมังกรดำ

สำหรับเขาแล้ว มังกรดำเป็นการมีอยู่ที่สำคัญกว่าผู้มีพระคุณ ตอนนี้เห็นรอยบากระหว่างตาของมังกรดำ รอยนั้นยังคงมีเลือดไหลอยู่ เห็นส่วนลึกของรอยแผลที่แทบจะเฉียดกระดูกขาวได้ สามารถจินตนาการได้ว่ามันได้รับความเจ็บปวดขนาดไหน จะไม่เปลี่ยนสีหน้าได้อย่างไร

ใช่ มังกรดำในตำนานเป็นมังกรร้ายตัวหนึ่ง ใต้เท้าสังฆราชก่อนหน้านี้ก็พูดเช่นนี้ที่พระราชวังหลี แต่ถึงแม้มันจะเคยทำเรื่องร้ายแรงบาปหนาในจิงตู ถูกหวังจือเช่อหลอกกักขังที่ใต้ดินนับร้อยปีก็ไม่สามารถทดแทนสิ่งไม่ดีที่ทำไป แต่เพราะเหตุใดจึงถูกทรมานเช่นนี้ได้อีก?

มังกรดำลอยในอากาศเงียบๆ ฟังเสียงไต่ถามด้วยความโมโหของเฉินฉางเซิง อารมณ์ในดวงตาคู่นั้นสงบมาก ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีอารมณ์โมโหคล้อยตามเขา ยิ่งไม่มีความซาบซึ้งใดๆ มีเพียงแต่ความเย็นชา และสีหน้าไร้อารมณ์

ภายใต้สายตาที่จืดจางของมัน เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนเขลา เขาไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนี้ จึงรู้สึกประดักประเดิดมาก คิดในใจหรือว่าตัวเองเข้าใจอะไรผิด?

ผ่านไปเวลานาน เขารู้สึกว่าต้องตีความเงียบขรึมให้แตก ถามด้วยความลังเลเล็กน้อย “…หลังจากวันนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามาพบเจ้า เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

มังกรดำไม่ได้ตอบคำ อีกทั้งไม่ได้ตอบสนองใดๆ

ตามที่ก่อนหน้านี้ได้พูดไว้ แม้เฉินฉางเซิงไม่แน่ใจว่าวันนั้นตอนถอดจิตครั้งแรกที่ใต้ดินเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่รู้ว่าต้องได้รับความช่วยเหลือจากมังกรดำแน่นอน ถึงจะสามารถหลีกลี้หนีภัยครั้งนั้นไปได้

“ข้าก็ไม่รู้ว่าจะขอบคุณเจ้าอย่างไร ทำได้เพียงพกของที่เจ้าชอบกินในวันปกติมาให้”

เขาเอาแกะย่างทั้งตัวที่จองไว้กับบริเวณย่างแกะอวี่หยวนออกมา วางอยู่บนพื้นหน้ามังกรดำ กลิ่นหอมฉุยฉุนจมูกคล้อยตามไอร้อนกระจายออกมา เพียงแต่ถูกแช่แข็งด้วยความเย็นของใต้ดินอีกครั้ง

“เจ้ารีบกินแกะก่อน อย่างอื่นไม่ต้องรีบ”

เขาเห็นไขมันบนน่องแกะค่อยๆ แข็งตัว พูดเตือน

จากนั้นเขาขนของออกมาอย่างต่อเนื่อง ไก่เผา หางกวางเผา ห่านเผา วัวติดมันผักกาดดองหม้อไฟ ซุปเต้าหู้อบโอ่งไม้ ผลไม้หงส์เพลิง…ใช้เวลาไปไม่นาน บนพื้นดินปูเต็มไปด้วยอาหารนับสิบอย่างแน่นขนัด

ในรูม่านตาของมังกรดำกะพริบแสงสว่างสายหนึ่ง แต่ยังคงไม่มีปฏิกิริยา และก็ไม่ได้พูดจา

เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดแปลกเล็กน้อย ครั้งก่อนๆ ตอนมาพื้นที่ใต้ดิน นอกจากมังกรดำสอนภาษามังกรให้กับเขา โดยรวมแล้วก็สนทนากับเขาน้อยมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร้ค่าหรือว่ามังกรเปล่งเสียงใช้พลังมากเกินไป แต่ก็ไม่เหมือนวันนี้ที่เงียบสงบขนาดนี้

“เป็นอะไรหรือ? โกรธที่ข้านานขนาดนี้ไม่ได้มาหาเจ้า?”

เขามองมังกรดำพลางกล่าวอธิบายว่า “วันนั้นข้าตื่นขึ้นมาก็อยู่ที่สำนักฝึกหลวง ไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งข้ากลับไป หลังสังเกตเห็นว่าชำระกระดูกสำเร็จ ข้าก็คิดอยากจะมาหาเจ้า แต่ไม่รู้ว่าใครถมบ่อ…ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคนที่ส่งข้ากลับไปที่สำนักฝึกหลวง หลังจากนั้นข้าเตรียมไปการสอบใหญ่ วันคืนเหล่านั้นก็ชมแผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ในสุสานเทียนซู ไม่มีเวลามาหาจริงๆ”

ที่จริงแล้วเขาไม่ต้องอธิบายมากขนาดนี้ แต่เขาก็ยังอธิบาย

สายตาของเขาใสกระจ่างบริสุทธิ์ยิ่ง สีหน้าจริงจังมาก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ หนวดมังกรของมังกรดำค่อยๆ ลอยเข้ามา เต้นรำสองทีภายใต้การส่องสว่างของแสงไข่มุกราตรี ชี้ให้เห็นว่าอีกสักพักจะกินของที่เขาเอามาให้

ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็สบายใจลงได้ เริ่มพูดคุยกับมังกรดำ

“ต้องของคุณเจ้าจริงๆ มิเช่นนั้นอย่างไรข้าก็ไม่อาจได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่”

เขาเล่าการสอบใหญ่อย่างละเอียดให้ฟังรอบหนึ่ง จากนั้นตอนที่พูดถึงการมอบรางวัลการสอบใหญ่ ใต้เท้าสังฆราชสวมมงกุฎดอกไม้หนามให้ตนกับมือ

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอหลิงเยียน แต่ทิวทัศน์เหล่านั้นในสุสานเทียนซูและนิทานเหล่านั้นในกระท่อมแผ่นป้ายอนุสรณ์ สามารถเล่าได้อย่างจัดเจน

“ข้าได้เห็นอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาแกะสลัก แต่ก่อนเข้าสุสานเทียนซู ที่จริงแล้วมีภาพความฝันบางอย่างอยู่เสมอ แผ่นป้ายคัมภีร์สวรรค์ที่เข้าใจยากที่สุดแผ่นนั้นใช้ภาษามังกรเขียนหรือเปล่า?”

เฉินฉางเซิงมองมังกรดำพลางยิ้มพูดว่า “ตอนเด็กข้าเคยเรียนภาษามังกร อีกทั้งยังถูกเจ้าสอนหลายวัน ถ้าอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เป็นภาษามังกรจริง ข้าอ่านแล้วต้องเข้าใจง่ายกว่าคนอื่นเยอะ”

สายตาที่มังกรดำมองเขานั้นเต็มไปด้วยการกลั่นแกล้งและดูถูก

เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ขำแห้งๆ ไปสองเสียง พูดว่า “จนถึงหลังเข้าสุสานเทียนซูแล้วเห็นอักษรแผ่นป้ายอนุสรณ์เหล่านั้น ข้าถึงรู้ว่าตัวเองคิดมากไปแล้ว”

นี่เดิมเป็นเรื่องที่ประดักประเดิดเล็กน้อย แต่เขาหัวเราะอย่างมีความสุข

เสียงหัวเราะค่อยๆ สงบลง เขามองมังกรดำพูดอย่างตั้งใจประโยคหนึ่ง ตอนพูดประโยคนี้ สีหน้าของเขาเข้มงวดอย่างยิ่ง กระทั่งแสดงออกถึงความคร่ำเครียดเล็กน้อย

“ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซูยี่สิบกว่าวัน วันสุดท้ายข้าอ่านสิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์สุสานหน้าจนหมด สุดท้ายสังเกตเห็นความลับอย่างหนึ่ง…ดวงดาวนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้”

ก่อนหน้านี้เผชิญหน้ากับใต้เท้าสังฆราชในพระราชวังหลี เขาก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้

แต่แล้วมังกรดำก็ไม่ได้ไยดีต่อความเชื่อใจของเขาสักเล็กน้อย กระทั่งยังรู้สึกน่าขำขันเนื่องด้วยความเข้มงวดและคร่ำเครียดของเขา อารมณ์ความเยาะเย้ยและดูถูกในตามังกรยิ่งเข้มข้น

เฉินฉางเซิงชะงัก ผ่านไปสักพักถึงจะตอบสนองกลับมา

มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่บินได้สูงที่สุดในโลก สามารถทะลุเมฆ สามารถไปถึงวิมานเก้าชั้นฟ้า ตระกูลราชามังกรขั้นสูงสุดอย่างมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง ในคำเล่าลือนั้นหลังโตเต็มวัยแล้วสามารถบินเล่นอย่างอิสระได้ในสายธารดวงดาว แม้มังกรดำจะไม่เคยบินอย่างอิสระในท้องฟ้าดวงดาวมาก่อน แต่เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าดวงดาวนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้?

ในสายตาของเขาเป็นความรู้ที่สามารถโค่นล้มได้อย่างสิ้นเชิง กระทั่งเป็นการค้นพบใหม่ทั้งรูปแบบที่ขัดแย้งเหตุผลที่แท้จริง สำหรับมังกรดำแล้วกลับเป็นแค่เรื่องที่ปกติมาก เขาบอกมังกรดำอย่างเข้มงวดคร่ำเครียดขนาดนี้ว่าดวงดาวสามารถเคลื่อนที่ได้ ก็เหมือนการบอกกับปลาที่ว่ายน้ำว่าใต้น้ำนั้นเงียบสงบอย่างจริงจังไร้ที่เปรียบ บอกกับนกที่โฉบบินว่าจริงๆ แล้วก้อนเมฆเป็นหมอกไอน้ำ…

“เหมือนกับว่าข้าจะคิดมากอีกแล้ว”

เขามองมังกรดำแล้วพูดด้วยความทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย อีกทั้งยังมีความงงงวยเล็กน้อย “ถ้าอย่างนี้แล้ว น่าจะมีคนจำนวนมากที่รู้ถึงจะถูก แต่ทำไมตั้งแต่ต้นจนจบถึงไม่มีใครพูดถึง?”

มังกรดำยังคงไม่สนใจเขา

เฉินฉางเซิงทำได้เพียงไม่ไปคิดเรื่องพวกนี้ ไปคิดเรื่องที่มีค่าแก่ความสุขมากกว่า พูดอย่างดีใจว่า “เจ้ารู้ไหม? ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับทะลวงอเวจีขั้นปลายแล้ว”

ในความคิดของเขา อย่างน้อยมังกรดำมีอายุนับร้อยปีแล้ว แน่นอนว่าเป็นผู้อาวุโสที่แก่จนไม่รู้จะแก่อย่างไรแล้ว…ภายใต้การช่วยเหลือและรักใคร่ของผู้อาวุโสได้รับผลลัพธ์บางอย่าง แน่นอนว่าต้องรายงานอย่างทันท่วงที

มังกรดำมองเขาสองตา สีหน้าดูถูกเยาะเย้ยยังคงเป็นแบบเดิม

เฉินฉางเซิงมัวแต่สนใจตัวเองพูดต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้าไปพระราชวังหลี ถึงจะรู้ว่า…ที่จริงแล้วใต้เท้าสังฆราชเป็นอาจารย์อาของข้า อืม เขาบอกว่าข้าเป็นผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวของพรรคสำนักพวกเขา ฉะนั้นในอนาคตข้าจะเป็นคนสืบทอดนิกายหลวง แม้ข้ารู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระมาก แต่ก็รู้สึกว่าใต้เท้าสังฆราชนั้นจริงจัง”

ได้ยินถึงคำพูดนี้ ความดูถูกและเยาะเย้ยในสายตาของมังกรดำในที่สุดก็ปลาสนาการ แม้ว่ามันจะเป็นเผ่ามังกรที่สูงส่งยิ่งใหญ่ที่สุด เผชิญหน้ากับผู้สืบทอดของนิกายหลวงก็ต้องแสดงท่าทีที่เคารพเหมาะสม

“แน่นอน ความจริงแล้ว…”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วคิดอีก เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น พูดว่า “ข้าต้องไปไกลจากบ้านครั้งหนึ่ง ไปสวนโจว อาจจะเป็นเวลานานอีกครั้งที่ข้าไม่สามารถมาเยี่ยมท่านได้”

“อืม…คู่หมั้นของข้า ก็คือสวีโหย่วหรง ก็น่าจะไปสวนโจวเช่นกัน ข้าคิดว่าถ้าสามารถพบกับนาง ก็จะเอาหนังสือหมั้นคืนให้นาง นี่เป็นข้อเรียกร้องของบิดานาง”

“ข้ารู้ว่านางไม่อยากสมรสกับข้า แต่ข้าเอาหนังสือหมั้นคืนให้กับนาง นางก็ไม่ได้แปลว่าจะดีใจ สาวใช้ซวงเอ๋อร์เคยไปหาข้าที่สำนักฝึกหลวง ข้าเดาความหมายของนางได้ นางอยากจะยืมกระดาษหนังสือหมั้นนี้ ยืมนามของข้าคนนี้ซึ่งเป็นคู่หมั้น ใช้ฐานะสามีภรรยาปลอมๆ เพื่อสะดวกในการบำเพ็ญเพียรอย่างมีสมาธิ”

“เรื่องนี้มองดูแล้วเหมือนไม่ได้มีอะไรเสียหายต่อข้า แต่ข้าไม่ชอบที่เป็นเช่นนี้ ฉะนั้นข้าจึงไม่ชอบนางที่เป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าจะถอนการหมั้นกับนางโดยตรง”

เฉินฉางเซิงพูดการตัดสินใจในใจที่สำคัญที่สุดเรื่องนี้ออกมา จู่ๆ รู้สึกว่าผ่อนคลายมากขึ้น ยืนขึ้นมา ลามังกรดำ “กลับมาจากสวนโจว ข้าค่อยมาเยี่ยมท่าน”

มังกรดำมองเขาพลางเงียบขรึมไม่พูดจา สายตาชัดเจนเล็กน้อย ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าอยากให้เขาอยู่ต่ออีกสักพักหรือเปล่า

……

……

ออกมาจากในพื้นที่ใต้ดิน สถานที่ที่ออกมายังคงเป็นพระราชวังร้างที่เงียบเหงาแห่งนั้น มีคนน้อยมากที่เข้าใกล้สระน้ำ เฉินฉางเซิงมีประสบการณ์แล้ว เดินไปถึงข้างสระน้ำ เอาผ้าเช็ดตัวออกมาเช็ดร่างกายที่เปียกให้แห้ง จากนั้นเปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่สะอาด

หลังทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ด้านข้างพุ่มหญ้ามีดวงตาสีดำคู่หนึ่งจ้องมองตัวเองอยู่ตลอดเวลา มือทาบอกตกใจเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุม หัวเราะพลางส่ายหัวพูดว่า “ดีที่ถูกเจ้าเห็น”

แพะดำก้าวช้าๆ เดินออกมาจากพุ่มไม้ สีหน้าเย็นชาภาคภูมิ ความหมายชัดเจนมาก ก็แค่สารรูปแค่นั้นของเจ้ามีค่าอะไรให้ดู?

เฉินฉางเซิงรีบตามเข้าไป

ช่วงลำคอของแพะดำไม่มีกุญแจ กุญแจดอกนั้นอยู่ในมือเขาตลอด มันแค่รับผิดชอบในการนำทาง

ทะลุผ่านพระราชวังลึกหลายชั้น หลบหลีกทหารขันทีเหล่านั้น มาถึงหน้าประตูลับของพระราชวังที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อย เฉินฉางเซิงเอากุญแจไขปลดประตูออกมา เดินเข้าไป

เขาหันหัวมองไปยังพระราชวังในแสงค่ำคืน คิดอย่างเงียบขรึม จริงๆ แล้วเป็นใครที่คอยช่วยเหลือตัวเอง เป็นสตรีวัยกลางคนผู้นั้นหรือ? หรือว่าใต้เท้าสังฆราช?

ในพื้นที่ใต้ดิน คำพูดจำนวนมากที่เขาไม่เคยพูดกับใคร เขาล้วนพูดกับมังกรดำออกมาทั้งหมด แต่เขาไม่ได้พูดถึงศิษย์พี่อวี๋เหริน และก็ไม่ได้พูดถึงสักครึ่งคำเกี่ยวกับวัดเก่าเมืองซีหนิง เพราะว่าใต้เท้าสังฆราชยอมรับแล้ว ว่าตั้งใจให้เขาเจอมังกรดำตัวนี้ ฉะนั้นนี่หมายถึงอะไร? ระมัดระวังหน่อยนั้นไม่ผิดเสมอ

เฉินฉางเซิงกลับมายังสำนักฝึกหลวง

มังกรดำยังอยู่ที่ใต้ดินที่เหน็บหนาว มันกลับไปที่ไหนไม่ได้ บ้านก็กลับไม่ได้ หลายร้อยปีแล้ว

แน่นอนว่ามันไม่ได้ร้องจี๊ดๆ ชื่อเผ่ามังกรของมันก็ยาวมาก ถ้าใช้ภาษาเผ่ามนุษย์มาเขียน น่าจะต้องใช้กระดาษนับสิบหน้า อีกทั้งเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ไม่มีเผ่าเดียวกันเรียกขานมัน ฉะนั้นมันก็ลืมไปบ้างแล้ว

แสงของไข่มุกราตรีค่อยๆ มืดทึมซึมเซาไป

พลังอันศักดิ์สิทธิ์ในอากาศที่เหน็บหนาวค่อยๆ หายไป นั่นเป็นความมหัศจรรย์ที่คล้ายคลึงกับวิชาอำพรางตา

มังกรดำที่ล่องลอยราวกับแนวเขาในอากาศหดลดตัวเล็กลงอย่างเร่งรีบ ตามเศษแสงระยิบระยับที่กระจัดกระจาย ในที่สุดก็หายไป

สาวน้อยที่ใส่ชุดสีดำคุกเข่าอยู่บนพื้นดิน

บนพื้นดินเต็มไปด้วยหิมะน้ำแข็ง สีหน้าของนางก็เย็นชาดั่งหิมะน้ำแข็ง

นัยน์ตาของนางเป็นม่านตาแนวดิ่ง เย้ายวนดั่งค่ำคืน เส้นสีแดงระหว่างคิ้ว ราวกับไฝชาดแดง

มองดูแกะย่างทั้งตัวที่เต็มไปด้วยไขมันแข็งตัวที่อยู่ตรงด้านหน้า นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยดีใจเท่าไร

นางอ้าปาก พูดภาษาของเผ่ามนุษย์ว่า “เจ้างั่ง จะทำให้ข้าจุกตายหรือ?”

เพราะว่าเส้นรอยเลือดระหว่างคิ้วในวันนั้น ถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ฟื้นฟู ไม่สามารถเปลี่ยนกลับเป็นรูปร่างมังกร แกะย่างทั้งตัวสำหรับเด็กผู้หญิงแล้ว สามารถได้แค่ดูจริงๆ ไม่มีปัญญากิน

จากนั้นนางเห็นปีกไก่เผาซอสแดงที่ใช้กระดาษมันห่อไว้อย่างดี

นางเอาชิ้นหนึ่งขึ้นมาแล้ววางเข้าไปในปาก ดูดอย่างละเอียด คิ้วบาน ตายิ้ม ราวกับดอกไม้

ปีกไก่เผาซอสแดง นางชอบกินมากที่สุด

เฉินฉางเซิงยังพกชาอู่หลงไอหมอกที่ดีหน่อยมาให้นาง

นางชงไปแก้วหนึ่ง อุ้มอยู่ในมือเล็กๆ ดื่มอย่างอบอุ่น

ไม่รู้ทำไม สีหน้าของนางแสดงท่าทีที่เศร้าเล็กน้อย

และในเวลานี้ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในพื้นที่ใต้ดิน

“ชาดี”

ได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของสาวน้อยเปลี่ยนไปเล็กน้อย เกลียดเล็กน้อย แต่ที่มากกว่าคือความหวาดกลัว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset