ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 241 หนูตัวใหญ่ในห้องเก็บของ

จากไปจากสะพานอุดรใหม่ แรดดำลากรถคันนั้นไปยังสวนส้ม

ผู้ใต้บังคับบัญชาของกรมอาญาเปิดประตูใหญ่ของสวนส้ม ม่ออวี่ที่กำลังเตรียมตัวนอนมองเห็นโจวทงที่ยืนอยู่กลางโถง ยักคิ้วเล็กน้อยพูดว่า “เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมประชุมราชสำนัก ข้าก็ต้องตื่นเช้า”

โจวทงมองภาพวาดที่มีชื่อเสียงที่สืบทอดต่อกันมาบนกำแพงภาพนั้น พูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากับฝ่าบาทอยู่สะพานอุดรใหม่”

คำพูดนี้พูดอย่างไร้ต้นไร้ปลาย กะทันหันมาก

สีหน้าของม่ออวี่กลับหนักแน่นขึ้นมา “เจ้าอยากพูดอะไร?”

“ข้าอยากพูดว่า ข้ากลัวมาก”

โจวทงพูดอย่างสงบ ใบหน้าที่ขาวซีดแฝงนัยหวาดกลัวสักครึ่งเสียที่ไหน แต่ไม่รู้ทำไม สิ่งก่อสร้างในสวนส้มที่เดิมทีมีเขตอาคมป้องกันควรจะอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทว่าจู่ๆ กลับเย็นลงมาบางส่วน

ม่ออวี่จ้องตาเขา สังเกตเห็นว่าดวงตาที่ขาวซีดของเขานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือด มองดูแล้วมีความน่ากลัวเล็กน้อย ถามว่า “จริงๆ แล้วเจ้ากลัวอะไรอยู่?”

โจวทงมองนางที่แอบหัวเราะขึ้นมา พูดว่า “แล้วเจ้าไม่กลัวหรือ?”

ม่ออวี่พูดอย่างไร้สีหน้าว่า “ข้าไม่มีเวลาบ้าเป็นเพื่อนกับใต้เท้า”

โจวทงเก็บรอยยิ้ม พูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ทั้งแผ่นดินต้าลู่ล้วนรู้ว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ตอนนี้โลกเผ่ามนุษย์กำลังเผชิญอยู่คืออะไร นั่นก็คือพระราชบัลลังก์ของต้าโจว แม้ฝ่าบาทอยากจะเอาบัลลังก์คืนให้กับเชื้อพระวงศ์ตระกูลเฉิน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนั้นก็ไม่สามารถตกลงตัดสินใจได้ เพราะว่าถึงตอนนั้นตระกูลเทียนไห่ต้องถูกตัดหัวทั้งตระกูลแน่ๆ แม้จะล้วนพูดว่าตระกูลเทียนไห่ไม่ได้รวมถึงฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทอย่างไรก็แซ่เทียนไห่ นางจะทนดูภาพนั้นได้อย่างไร?”

ม่ออวี่เลิกคิ้วกล่าว “เจ้าก็พูดแล้ว ทั้งต้าลู่ล้วนรู้เรื่องนี้”

โจวทงพูดว่า “ฉะนั้นฝ่าบาทจึงลังเลมาตลอด ตระกูลเทียนไห่คิดว่าการลังเลของนางเป็นโอกาส ในสายตาของเฉินหลิวอ๋องและองค์ชายในเมืองต่างๆ เหล่านั้น การลังเลนี้เป็นเงาสะท้อนของความตาย และที่ฝ่าบาทลังเลมาตลอด ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง คือพระราชวังหลีไม่แสดงท่าทีอะไรสักที”

ม่ออวี่เงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “จริงๆ แล้วเจ้าอยากพูดอะไรกันแน่?”

โจวทงพูดอย่างไร้สีหน้าว่า “สิ่งที่ข้าอยากพูดคือ ในที่สุดใต้เท้าสังฆราชก็แสดงท่าที เขาไม่เห็นด้วย นิกายหลวงไม่เห็นด้วย ฉะนั้นฝ่าบาทยังจะลังเลต่อหรือไม่?”

ม่ออวี่ไม่ได้ต่อคำ

หลังการสอบใหญ่ คนจำนวนมากรู้ประวัติสำนักอาจารย์ของเฉินฉางเซิง นั่นเป็นคำยอมรับด้วยปากของใต้เท้าสังฆราชเอง…อาจารย์ของเฉินฉางเซิงก็คือเจ้าสำนักรุ่นก่อนของสำนักฝึกหลวง ปกป้องฝั่งพระราชวงศ์ที่แน่วแน่ที่สุด สิบกว่าปีก่อนร่วมมือกับตระกูลเชื้อพระวงศ์พยายามล้มการปกครองของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

แต่คืนนี้ ใต้เท้าสังฆราชให้เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง

ท่าทีที่แสดงออกมาจากการตัดสินใจนี้ชัดเจนอย่างยิ่ง

ถ้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยืนยันให้ตระกูลเทียนไห่สืบทอดราชวงศ์ ใต้เท้าสังฆราชและพระราชวังหลีจะไม่อยู่ข้างนางเหมือนตอนนั้นอีก แต่จะกลายเป็นสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น

ม่ออวี่ถามว่า “เจ้าคิดว่า…เหนียงเหนียงตัดสินใจแล้ว?”

โจวทงเงียบขรึมสักพักแล้วพูดว่า “ฝ่าบาทสามารถถอนบัลลังก์เอง แลกกับการมีอยู่ต่อไปของตระกูลเทียนไห่”

“เหลวไหล!” ม่ออวี่พูดด้วยความโมโห “เหนียงเหนียงจะถอนบัลลังก์ได้อย่างไร? และถ้าคำสัญญาของตระกูลเชื้อพระวงศ์เชื่อได้ เหนียงเหนียงจะถึงกับลังเลตั้งหลายปีทำไม?”

“ถ้าเป็นใต้เท้าสังฆราชรับประกันให้เล่า?” โจวทงจ้องตานางพูดว่า “เจ้าคิดว่าแม้จะเป็นเฉินหลิวอ๋องขึ้นครองราชย์ จะกล้ามองข้ามนิกายหลวงจริงหรือ?”

ม่ออวี่ได้ยินก็ชะงักเล็กน้อย เงียบขรึมไปพักใหญ่ พูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง…”

จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา พูดว่า “ก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน”

“บัลลังก์ต้าโจวสืบทอดอย่างมั่นคง สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ถ้าตระกูลเทียนไห่ดำรงอยู่ได้ ถึงแม้จะไม่รุ่งโรจน์เหมือนแต่ก่อน ก็ถือว่าไม่เลว”

โจวทงมองนางแล้วเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มพูดว่า “แต่สำหรับเราสองคนแล้ว ดีตรงไหน?”

ม่ออวี่พูดอย่างสงบว่า “เหนียงเหนียงแน่นอนว่าต้องมีการวางแผนให้สำหรับพวกเรา”

โจวทงพูดว่า “พูดประโยคหนึ่งที่ไม่เคารพ อย่างไรก็ต้องมีสักวันที่ฝ่าบาทล่องแพสู่ทะเลดวงดาว ถ้าถึงวันนั้นจริง เจ้าและข้าจะจัดการตัวเองอย่างไร?”

ม่ออวี่เงียบขรึมไม่พูดจา

โจวทงจ้องตาของนางพูดต่อว่า “เจ้าเชื่อฟังคำพูดของใต้เท้าสังฆราชแล้วทำอะไรไปหลายเรื่อง เหตุใดเหนียงเหนียงถึงไม่โทษเจ้า? เพราะว่าเหนียงเหนียงเข้าใจความกังวลในใจของเจ้ามาก ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดว่าน่ากลัว…ผู้คนในพระราชวังหลีไม่เคยชอบข้า ฉะนั้นเจ้าจึงอยากจะประนีประนอมความสัมพันธ์ระหว่างฝั่งนั้น”

ม่ออวี่คล้อยตามสายตาของเขาพูดอย่างสงบว่า “แล้วอย่างไร? ถ้าถึงวันนั้นจริง แน่นอนว่าเจ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก คนที่อยากให้เจ้าตายมีมากเกิน แต่ข้า…เพียงแค่มีชีวิตอยู่ อย่างอื่นล้วนไม่สนใจ”

โจวทงมองนางพลางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มพูดว่า “ใช่หรือ? ถึงเวลานั้นไม่ว่าใครในตระกูลเฉินเป็นกษัตริย์ เจ้าตาย ไม่ก็เป็นผู้หญิงของเขา เจ้ายอมจริงๆ หรือ? เช่นนั้นข้าก็ไม่สนใจ”

สีหน้าม่ออวี่เปลี่ยนเล็กน้อย ตะคอกด้วยความรำคาญเล็กน้อย ว่า “ตกลงเจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่?”

โจวทงพูดว่า “ก่อนอื่น อย่างน้อยพวกเราต้องมั่นใจว่าฝ่าบาทจะไม่ตัดสินใจเร็วขนาดนี้”

ม่ออวี่ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่พลางพูดว่า “เจ้าอยากจะตีความรู้ใจระหว่างเหนียงเหนียงกับใต้เท้าสังฆราชแตก?”

โจวทงพูดว่า “มิกล้า ข้าเพียงแค่อยากให้การแสดงท่าทีของใต้เท้าสังฆราชนั้นไร้ประโยชน์”

ม่ออวี่ส่ายหัวพูดว่า “เจ้าห้ามฆ่าเขา เหนียงเหนียงก็ไม่เห็นด้วยแน่นอน เพราะว่าเขามีผลงานต่อต้าโจว อย่างน้อยตอนนี้ไม่ได้”

โจวทงพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “ขุนนางตงฉิน ข้าฆ่ามาเยอะแล้ว”

ม่ออวี่จ้องตาของเขาพลางพูดว่า “แต่ผลงานที่เขาสร้างเป็นผลงานใหญ่”

ตั้งแต่ขั้นถอดจิตถึงขั้นทะลวงอเวจี เป็นหนึ่งในสามด่านที่ยากที่สุดบนเส้นทางบำเพ็ญ เพราะว่านั่นเป็นบททดสอบความเป็นตายครั้งแรกของผู้บำเพ็ญ เพียงแค่ไม่ระมัดระวังนิดเดียว ถ้าสถานเบาก็ธาตุไฟเข้าแทรก สติไม่ดี ถ้าสถานหนักก็ตายคาที่ โอกาสที่ตายมากเกินไป ทำให้หลายปีที่ผ่านมา มีผู้บำเพ็ญจำนวนมากที่ทั้งๆ ที่เห็นธรณีประตูของขั้นทะลวงอเวจีแล้ว กลับไม่กล้าก้าวเข้าไปทางนั้น

เฉินฉางเซิงแก้สิบเจ็ดแผ่นป้ายอนุสรณ์หน้าสุสานในสุสานเทียนซู นำมาซึ่งปรากฏการณ์แสงดวงดาว ระหว่างนั้นก็ช่วยผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์หลายสิบคนทะลุขั้น เพียงแค่เวลาหนึ่งคืน โลกเผ่ามนุษย์ก็มีผู้บำเพ็ญเยาว์วัยขั้นทะลวงอเวจีจำนวนมากขนาดนี้เพิ่มขึ้นมา สำนักพรรคต่างๆ ของไม้เลื้อยบวกกับสำนักต้นไหว เขาหลีซาน และเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รวมทุกปีเข้าด้วยกันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีศิษย์ทะลวงอเวจีได้เยอะขนาดนี้

และในอนาคตคนเหล่านี้จะมีกี่คนที่สามารถรวบรวมดวงดาว กลายเป็นผู้แกร่งที่แท้จริง?

อย่างที่โก่วหานสือพูดไว้ ทุกคนล้วนต้องขอบคุณเฉินฉางเซิง ทุกพรรคสำนักล้วนต้องขอบคุณ ต้าโจวรวมถึงทั้งเผ่ามนุษย์บนโลกล้วนต้องขอบคุณเขา คืนนี้ใต้เท้าสังฆราชให้เขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงทันที ไม่คิดว่าส่วนในของนิกายหลวงจะไม่มีเสียงคัดค้านใดๆ คาดว่าพรุ่งนี้ส่วนนอกของนิกายหลวงก็น่าจะไม่มีใครคัดค้าน ก็เพราะว่าทุกคนล้วนชัดเจนว่า นี่เป็นผลตอบแทน

โจวทงเงียบขรึมไปพักใหญ่ จู่ๆ พูดว่า “เมื่อครู่ฝ่าบาทบอกว่าเขาเป็นคนจริง”

ม่ออวี่ได้ยินก็ตกใจเล็กน้อย ไม่คิดว่าเหนียงเหนียงจะให้คำติชมของเฉินฉางเซิงสูงขนาดนี้

“มีผลงาน ฆ่าไม่ได้ คนจริง ฆ่าไม่ได้ แต่ก็ต้องทำอะไรบางสิ่งสิ”

โจวทงส่ายหัวไปมา เดินไปยังนอกสวนส้ม บ่นพึมพำไม่หยุดหย่อน เหมือนกับป้าแก่ๆ ที่ขี้บ่น

ม่ออวี่มองเงาหลังของเขา รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ในเรือนเล็กของสำนักฝึกหลวง ผ้าห่มที่อบอุ่นผืนนั้นกลิ่นหอมยิ่งนัก

นางไม่หวังว่าวันข้างนั้นจะไม่มีให้สัมผัสอีก

……

……

ผ้าห่มจะอบอุ่นอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้เฉินฉางเซิงหยุดอยู่สักครู่

รุ่งอรุณยามห้า เขาตื่นขึ้นมาตรงเวลา ลืมตา ชำระล้าง จากนั้นไปสุสานเทียนซูกับเซวียนหยวนผ้อ

ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้าสุสานเทียนซู น่าจะยังไม่รู้คำสั่งใหม่ล่าสุดของนิกายหลวง ทุกอย่างเหมือนเดิม

มีคนเดินออกจากสุสานเทียนซูต่อเนื่องกัน มีผู้ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เก่าแก่ ที่มากคือผู้สอบสามขั้นแรกของการสอบใหญ่ปีนี้ คนเหล่านี้เหมือนกับเฉินฉางเซิง เตรียมตัวไปสวนโจว มองเฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่นอกประตูหิน ผู้คนเหมือนกับเหล่าทหาร ไม่รู้ว่าเขากลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงแล้ว แต่ล้วนทักทายกับเขาอย่างตั้งใจ แม้ว่าสีหน้าของคนบางคนจะไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง

โก่วหานสือส่งชีเจียนและเหลียงเสี้ยวเซียวออกมา เฉินฉางเซิงเพิ่งจะรู้ว่า ถังซานสือลิ่วยังอยู่ในสภาพที่จิตวิญญาณล่องลอยหลังการทะลุระดับขั้น เขาทำได้เพียงหันหลังจากไป แม้จะมีความผิดหวังเล็กน้อย

ในคืนนั้น เจ๋อซิ่วฝังเข็มเสร็จ ก็ไปนั่งสมาธิที่หอตำรา เฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อเริ่มจัดการเก็บกวาดห้องครัวด้วยกัน…ถังซานสือลิ่วไม่ออกจากสุสานเทียนซูสักพัก พวกเขาก็น่าจะหยุดอยู่ในสวนโจวเป็นเวลาประมาณร้อยกว่าวัน ไม่ได้ใช้ห้องครัวเป็นเวลานาน มีของจำนวนมากที่ต้องจัดการเก็บกวาดให้ดี

“ข้าก็ไปไม่ได้ ใช้ไม่ได้จริงๆ”

เซวียนหยวนผ้อหันหลังให้กับเขา นั่งล้างหม้ออยู่ข้างอ่าง พูดน้ำเสียงอู้อี้

สวนโจวมีเพียงผู้บำเพ็ญที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้นถึงจะเข้าได้

เฉินฉางเซิงมองเงาหลังรูปร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มเผ่าปีศาจ นึกถึงสภาพตอนที่พบเขาที่ตลาดนัดกลางคืนเมื่อปีก่อน พูดปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร เพียงแค่ต้องการเวลา”

ใช่ สายเลือดพรสวรรค์ของเซวียนหยวนผ้อจริงๆ แล้วดีมาก มิฉะนั้นตอนนั้นก็คงไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเลี้ยงดูเป็นพิเศษของสำนักเด็ดดารา เพียงแต่ว่าในคืนแรกที่ชุมนุมไม้เลื้อย เขาถูกเทียนไห่หยาเอ๋อร์ทำร้ายรุนแรงเกินไป ไหล่ขวาทั้งไหล่พังทั้งหมด แม้อยู่ภายใต้การรักษาของเฉินฉางเซิงนั้นค่อยๆ ฟื้นดีขึ้น แต่ต้องบำเพ็ญใหม่ แต่ว่าแค่มีเวลาที่เพียงพอ เขาจะสามารถฟื้นกลับไปอย่างตอนแรกได้อย่างแน่นอน บวกกับการศึกษาเส้นลมปราณเผ่าปีศาจบำเพ็ญวิทยายุทธ์เผ่ามนุษย์ของเฉินฉางเซิง เขาต้องนำมาซึ่งการระเบิดของพลังอันยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

ต่อจากนั้น เฉินฉางเซิงนึกถึงเทียนไห่หยาเอ๋อร์ตามจิตใต้สำนึก ตัวประหลาดน้อยที่เคยทำให้หลายคนรู้สึกถึงความตื่นเต้น ทนไม่ได้ส่ายหัวไปมา ไม่สามารถไล่ความรู้สึกขยะแขยงออกได้สักที ก็เหมือนกับสตรีที่ไม่สามารถลบล้างความหวาดกลัวต่อหนูได้ตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีความรู้รอบตัวกว้างขวางหรือเป็นผู้ที่อยู่ในห้องหอมาเป็นเวลานาน แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งหญิงขั้นรวบรวมดวงดาว ล้วนมีข่าวลือเกี่ยวกับการถูกหนูทำให้ตกใจจนกรีดร้อง

ที่มุมห้องครัวจู่ๆ มีเสียงซู่ๆ ซ่าๆ ดังขึ้น จากนั้นมีเสียงร้องจี๊ดๆ หลายเสียงดังขึ้นมา เสียงนั้นอ่อนแรงมาก ถ้าไม่ใช่ว่าเฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียร คงอาจจะยังไม่ได้ยิน

“เอ๊ะ? วันก่อนข้าเพิ่งจะทำความสะอาดไปรอบหนึ่ง ยังมีหนูอีกหรือ?”

เซวียนหยวนผ้อยืนขึ้นมา เอามือที่เปียกเช็ดไปบนเสื้อผ้า เอาฟืนแท่งหนึ่งที่เผาไปครึ่งหนึ่งออกมาจากเตาทำอาหารอย่างตามใจ แล้วเดินไปที่มุม

ในบริเวณมุมรกร้างมุมหนึ่ง เหมือนมีสิ่งของบางอย่างกำลังขยับอยู่

“ใหญ่จัง!”

เซวียนหยวนผ้อถ่างตากลม กำฟืนแน่น ใช้แรงเต็มที่ทุบลงไป

เฉินฉางเซิงคิดในใจว่าทำไมต้องใช้แรงขนาดนี้ด้วย หนูตัวใหญ่จะถูกตีตายก็จริง พื้นก็คงจะเกิดรอยร้าวหลายรอย…จู่ๆ เขารู้สึกว่ามีความผิดปกติเล็กน้อย ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นๆ เขาอ้าปากยื่นมือจะห้ามท่าทีของเซวียนหยวนผ้อ แต่จะทันเสียที่ไหน

เสียงปึงดังสนั่น สิ่งของในมุมรกร้างเกือบทั้งหมดถูกทุบเป็นเศษผง ฟืนไม้ที่ก่อนหน้านี้มีครึ่งหนึ่งก็หายไปในทันที ภายใต้การโจมตีของพลังที่น่ากลัว ทุกที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองฟุ้งเต้นระบำ

ฝุ่นควันค่อยๆ จางหาย เซวียนหยวนผ้อจ้องสิ่งมีชีวิตเรียวยาวสีดำชนิดนั้นที่ยังดีดขยับอยู่บนพื้น ตกตะลึงมาก พูดด้วยเสียงว่า “นี่เป็นตัวอะไรกัน? ยังไม่ตายอีกหรือ!”

สิ่งมีชีวิตร่างสีดำนั้นบินขึ้นมา มาถึงข้างหน้าตาของเซวียนหยวนผ้อ

เซวียนหยวนผ้อรู้สึกว่าน่าจะเป็นงู หรือไม่ก็เป็นจิ้งจกไร้แขนขา แต่…ทำไมมันบินได้?

เสียงเพี๊ยะดังขึ้นมาชัดเจน สิ่งมีชีวิตสีดำตัวนั้นใช้หางตบหน้าของเขา

เซวียนหยวนผ้อชะงัก มองภาพนี้ที่เกิดขึ้น ปากยิ่งอ้ากว้าง ลิ้นยิ่งมายิ่งโง่งม ตะโกนด้วยความตื่นตระหนกว่า “มังกร…มังกร…มังกร…มังกร…มังกร!”

จากนั้น เขาก็สลบไปทันที

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset