ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 242 เดินไปด้วยกัน

เมื่อเซวียนหยวนผ้อพบว่าด้านหน้าเป็นมังกรตัวหนึ่งจริงๆ จึงตกตะลึง แต่ก็ไม่เพียงพอให้เขาตกตะลึงจนสลบไสล สาเหตุที่ทำให้เขาสลบไสลจริงๆ นั่นก็คือ เมื่อมังกรดำโกรธเคืองแล้วปลดปล่อยอิทธิฤทธิ์ของมังกรออกมา สำหรับเซวียนหยวนผ้อที่มีร่างกายเป็นเผ่าปีศาจ เดิมทีก็ไม่อาจต้านทานพลังปราณที่น่าหวาดกลัวและเก่าแก่ชนิดนี้ได้

สายลมพัดขึ้น จินอวี้ลวี่ปรากฏในสนาม เสียงเสื้อผ้าปลิวสะบัดในอากาศ จ้องมองรอบๆ อย่างระมัดระวัง เขารับรู้ถึงพลังปราณที่น่ากลัวอยู่ในห้อง จึงใช้ความเร็วที่สุดเพื่อออกมา พระราชวังหลีแต่งตั้งให้เฉินฉางเซิงเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง หรือว่าจะดึงดูดผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาจริงๆ?

ถึงอย่างไรก็ตามหลังจากเขามาถึงยังห้องครัว กลับมิได้พบกับสิ่งใดทั้งสิ้น พบเพียงแค่เซวียนหยวนผ้อที่สลบไสลอยู่บนพื้น เอ่ยเสียงต่ำว่า “เป็นอะไร?”

“ไม่มีอะไร” เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “เมื่อครู่ข้าได้ปรับเส้นปราณ พลังปราณแท้จึงย้อนเข้ามา พักชั่วครู่ก็คงจะดีขึ้น”

จินอวี้ลวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าทางของเขาแปลกพิกล แต่แท้จริงแล้วก็มิได้รับรู้ถึงลมปราณที่น่าหวาดกลัวนั้น เมื่อตรวจสอบดูอีกทีก็จากไป

เฉินฉางเซิงใช้มือลูบหน้าอก ถอนหายใจออกมา นั่งยองๆ ข้างเซวียนหยวนผ้อเรียกให้เขาตื่น

ใบหน้าของเซวียนหยวนผ้อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองไปยังบริเวณรอบๆ สีหน้าขาวซีด

อยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย เผชิญหน้ากับเทียนไห่หย่าเอ๋อร์ที่มีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยม หนุ่มน้อยเผ่าปีศาจผู้นี้กลับแสดงความองอาจกล้าหาญเหนือผู้คน ทว่าภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ เกินกว่าที่จินตนาการเขาคาดคิดไว้

สำหรับเผ่าปีศาจแล้ว อานุภาพของมังกรเดิมทีก็มีความน่ากลัวราวกับบดขยี้ได้อยู่แล้ว

“เจ้าเห็น…มังกรดำ…หรือไม่?”

เซวียนหยวนผ้อมิได้เห็นสิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวยังคงอยู่ ยิ่งทำให้ไม่สงบ น้ำเสียงจึงสั่นเทาอย่างรุนแรง

เฉินฉางเซิงเดิมทีอยากจะบอกว่าเขาตาลาย แต่รู้ดีว่าเหตุผลนี้ไม่อาจโน้มน้าวฝ่ายตรงข้ามได้ หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา “นั่นมาหาข้า เจ้าอย่าได้พูดออกไป”

เซวียนหยวนผ้อชี้ที่เขา ริมฝีปากสั่นไม่หยุด เดิมทีก็เอ่ยสิ่งใดไม่ออก ผ่านไปเป็นเวลานาน สุดท้ายแล้วก็ข่มใจเอ่ยออกมา “ให้ตายเถอะ! แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันนี่!”

……

……

มีผู้คนจำนวนมากต่างก็ปรารถนาจะรู้ เฉินฉางเซิงแท้จริงแล้วเป็นใคร เดิมทีเขาคิดไม่ถึงในจุดนี้

เพราะว่าจุดนี้เดิมทีก็มิใช่ปัญหา เขาเป็นนักพรตเต๋าของวัดเก่าในเมืองซีหนิง อาจารย์จี้เต้าเหรินของเขาอาจจะมีความลับมากมาย แต่มิได้หมายความว่าเขามีความลับมากมายเช่นกัน

แน่นอนว่า ขณะนี้เขามีความลับหนึ่งอย่าง นั่นก็คือมังกรดำตัวหนึ่ง

กลับไปยังเรือนหลังเล็ก เขานำกระบี่วางไว้บนแท่นวางสิ่งของ หันกายเดินไปข้างโต๊ะ มองไปยังมังกรดำตัวเล็กๆ ใช้เวลาเนิ่นนานก็ไร้หนทางจะโน้มน้าวตนเองได้ว่านี่มิใช่ภาพความฝัน จนกระทั่งใช้ความกล้าหาญ ยื่นมือไปลูบคลำร่างกายของมังกรดำ ปลายนิ้วสัมผัสได้ถึงความเยียบเย็น ถึงรับรู้ได้ว่านี่เป็นเรื่องจริง

ชัดเจนยิ่งนักว่ามังกรดำไม่ชื่นชอบการสัมผัสของเขา ร้องเสียงหลงออกมา นำมือของเขาให้กางออก

“นี่…แท้จริงแล้วคือเรื่องอะไร?” เฉินฉางเซิงเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

มังกรดำตัวเล็กมิได้เอ่ยสิ่งใด บินไปยังข้างโต๊ะ จุ่มลงไปในแท่นฝนหมึก ใช้ร่างกายตนเองเป็นพู่กัน เขียนตัวอักษรลงในกระดาษ

ภาพนี้น่ารักอย่างยิ่ง ทว่าเวลานี้เฉินฉางเซิงไหนเลยจะสนใจสิ่งเหล่านี้

เขาหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู ถึงรู้ว่า เดิมทีนี่เป็นเคล็ดวิชาที่เรียกว่าจากวิญญาณ

เคล็ดลับวิชานี้สามารถทำให้จิตวิญญาณของมังกรออกจากร่างกายเดิมได้ชั่วครู่ เปลี่ยนเป็นลักษณะอย่างอื่น แรกเริ่มเผ่ามังกรได้เปลี่ยนเป็นมนุษย์ เพียงแค่ยิ่งยากลำบากมากกว่า

แต่ใช้วิธีนี้ จิตวิญญาณของมังกรไม่อาจออกจากร่างกายได้ไกลเกินไป เวลาก็มีขีดจำกัด อีกทั้งจะต้องกลับเข้าไปยังร่างกายเดิม มิเช่นนั้นแล้วก็จะค่อยๆ สูญสลาย

เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์นี้เผ่ามังกรจึงอ่อนแออย่างยิ่ง มิได้มีพละกำลังเหมือนดังแรกเริ่ม จนถึงขนาดว่าต้องการการปกป้องจากมนุษย์

มองมังกรดำตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจนำมันและมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่ประหนึ่งเทือกเขามาเชื่อมโยงกัน

“เมื่อวานเจ้าเพิ่งจะเป็นเคล็ดวิชานี้ วันนี้จึงอยากออกมาเที่ยวเมืองจิงตูกับข้า?”

เขาจ้องมองมังกรดำตัวเล็ก ตกตะลึงไร้สิ่งใดเปรียบเอ่ยว่า “หรือว่าต้องการให้ข้าคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเจ้า?”

มังกรดำตัวเล็กบินมายังด้านหน้าเขา ผงกศีรษะ

เฉินฉางเซิงลูบคลำหน้าผาก ผ่านไปเพียงชั่วครู่เอ่ยด้วยความยากเย็น “ข้าต้องการไปสวนโจว ไม่รู้ว่าจะพบเจอกับความยุ่งยากอันใด หากเกิดสิ่งใดขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า?”

มังกรดำตัวเล็กมิได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่จ้องมองเขาเงียบๆ

สายตาของเฉินฉางเซิงและสายตาของมันสบกัน สังเกตเห็นความรู้สึกในนัยน์ตาดำของมังกรดำตัวเล็กคล้ายกับว่าเฉยเมย ด้านในส่วนลึกกลับมีความร้อนแผดเผาเบาบาง

เขาเพิ่งจะรู้ มังกรดำตัวนี้ได้ถูกจองจำอยู่ข้างใต้จิงตูมาเป็นเวลาหลายร้อยปี และยังเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมายังพื้นดิน

ถึงแม้มิใช่การออกมาจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการออกมา

อีกทั้งมันออกมาจากพื้นข้างใต้ ตั้งแต่ตอนแรกก็ตรงมาหาเขา

เขาคิดเป็นเวลานาน จึงเอ่ยว่า “ดีแล้ว จี๊ดจี๊ด”

ได้ยินประโยคของเขา สายตาของมังกรดำยังคงเยือกเย็นสูงส่งดังเดิม กลับมีเสียงร้องจี๊ดๆ ออกมา

เฉินฉางเซิงรู้ดี นี่เป็นเสียงหัวเราะของมัน จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา

……

……

บรรดาผู้เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ทยอยออกจากสุสานเทียนซู บวกกับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นทะลวงอเวจีของสำนักต่างๆ และคณาจารย์ รวมเป็นคนร้อยกว่าคนที่รวมกันอยู่ด้านหน้าเสาหิน เพื่อเตรียมจะมุ่งไปยังสวนโจว

มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากได้เดินทางมายังต้าลู่ก่อน และมาถึงด้านหน้าก่อนแล้ว

มีรถลากที่มีอาชาสวรรค์ลากค่อยๆ บังคับไปออกมาจากข้างทาง ในรถคงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงที่รับผิดชอบขบวนที่จะเดินไปสวนโจว

เฉินฉางเซิงมองไปยังรถลากคันนั้นก็คาดเดาได้ว่าผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือผู้ใด เพราะเหตุใดใต้เท้าสังฆราชและใต้เท้ามุขนายกกลับมิได้ส่งคนมาบอกตน

เขามองไปยังรถลาก มีคนจำนวนมากที่กำลังมองเขาอยู่ เพราะว่าเขาขณะนี้ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของนิกายหลวงแล้ว เฉินฉางเซิงกลับมิได้มีความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเจ้าสำนักของหอจงซื่อนำนักเรียนทั้งสามของหอจงซื่อมาคำนับเขา เขาตกตะลึงเป็นเวลานานถึงจะมีสติคืนมา เวลาต่อมา อาจารย์นักเรียนของสำนักเทียนเต้าและสำนักจวนพระราชวังหลีต่างทยอยออกมาคารวะ เป็นธรรมดาว่ามิใช่ทุกคนที่จะยินยอมคารวะหนุ่มน้อยอายุสิบห้าปี ทว่าขณะนี้ฐานะของเขาได้วางอยู่ที่แห่งนี้ ครั้นเวลานี้ยังอยู่ด้านหน้าพระราชวังหลี ในเมื่อเป็นบุคลากรผู้หนึ่งของนิกายหลวง ผู้ใดก็ไม่อยากขาดตกบกพร่องทางด้านนี้

สำหรับเรื่องนี้ เฉินฉางเซิงมิได้มีประสบการณ์ใดๆ เพียงแค่ รับคารวะ ยังดีว่าจำคำพูดคืนนั้นของใต้เท้ามุขนายกได้ ขณะนี้นอกจากใต้เท้าสังฆราชกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีผู้ใดที่ควรจะได้รับการคารวะจากเขา เขาไม่ต้องก้มศีรษะ เพียงแค่หลีกไม่พ้นที่จะแข็งทื่อ คล้ายกับว่ากำลังระแวดระวัง มิได้มีลักษณะดังเช่นผู้ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด

ใบหน้าของเจ๋อซิ่วไร้ความรู้สึกยืนอยู่ข้างกายเขา มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าเขาก็ไม่ถนัดเรื่องนี้ จึงช่วยเขาไม่ได้

เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียน และยังมีผู้เข้าสอบทางทิศใต้ที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้ ยืนอยู่ด้านหน้ามองด้วยความเงียบนิ่ง

เมื่อกลุ่มผู้คนที่ออกจากจิงตูเพื่อมุ่งหน้าไปยังสวนโจว ระฆังที่อยู่ส่วนด้านในของพระราชวังหลีส่งเสียงสบายอกสบายใจยาวนาน

เมื่อยามเช้าตรู่ มีห่านป่าแดงบินมาจากที่ไกล

ประกาศชิงอวิ๋นของปีนี้ ได้ทำการเปลี่ยนลำดับอย่างเป็นทางการ

สวีโหย่วหรงที่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็ไม่ได้อยู่แล้ว

ลั่วลั่วจึงได้อยู่อันดับแรกของประกาศชิงอวิ๋น

เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนได้ออกจากประกาศชิงอวิ๋น

เวลาเดียวกันหอความลับสวรรค์ก็ได้เปลี่ยนอันดับของประกาศเตี่ยนจินใหม่

ชิวซานจวินยังคงอยู่อันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้านบนของประกาศ ปรากฏเหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียน และยังมีผู้บำเพ็ญเพียรคนหนุ่มขั้นทะลวงอเวจีที่เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์จำนวนมาก

ที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงก็คือ สวีโหย่วหรงไม่อยู่ในประกาศเตี่ยนจิน เฉินฉางเซิงก็ไม่อยู่ โก่วหานสือ ถังซานสือลิ่วและผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังอยู่ในสุสานเทียนซู ตามกฎระเบียบของปีที่ผ่าน หอความลับสวรรค์จะไม่ตัดสินการวิจารณ์ออกมาก่อน แต่ว่าเฉินฉางเซิงได้ออกมาจากสุสานเทียนซูแล้ว สวีโหย่วหรงก็อยู่ในโลกภายนอกมาตลอด เพราะเหตุใดพวกเขาถึงไม่อยู่ในประกาศเล่า?

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset