ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 244 นอกสวนโจวมีมรสุม (ตอนต้น)

“ถึงแม้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครเคยเห็นร่มกระดาษทองคันนี้มาก่อน แต่เพราะเรื่องนี้ ร่มคันนี้จึงมีเสียงชื่อโด่งดังอย่างยิ่ง ในหอความลับสวรรค์เคยกล่าวไว้ ถ้าหากวันไหนจะแก้ไขอันดับร้อยศาสตราขึ้นมาจริงๆ ท่ามกลางอาวุธยุทโธปกรณ์และศาสตราวิเศษเหล่านั้น ร่มคันนี้ก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าไปอยู่ในอันดับเป็นแน่”

เจ๋อซิ่วมองเขาพลางเอ่ยต่อ “ไม่ต้องกล่าวว่าเจ้ากับถังซานสือลิ่วเป็นเพียงแค่สหายกัน…ถึงแม้เป็นเพราะขณะนี้เป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ถังซานสือลิ่วเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง ตระกูลถังเพียงเพื่อประจบเจ้า ก็ไม่ต้องใช้ร่มคันนี้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ตระกูลถังแต่ไหนแต่ไรมาทำเพียงซื้อคน ไม่เคยประจบคน”

เฉินฉางเซิงคิดไปถึงคำพูดที่ถังซานสือลิ่วโมโหเมื่ออยู่ในสุสานเทียนซู รู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้มิได้ผิด ไม่ว่าจะเป็นสำนักเทียนเต้าหรือว่าหอจงซื่อ ค่าใช้จ่ายหนึ่งในสามของสำนักทุกปีเป็นตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยได้มอบให้ ผู้อาวุโสท่านนั้นที่จริงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อสำนักฝึกหลวงเป็นพิเศษ ถึงแม้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนจะเป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวงก็ตาม

แต่เวลานี้เขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

“ถ้าหากอาจารย์ปู่เล็กท่านนั้นเห็นศาสตราวิเศษที่เขาทุ่มเทสติปัญญาและความรู้อย่างยิ่ง ปรากฏอยู่ในมือของคนรุ่นหลัง จะไม่ยินดีหรือไม่?”

“ถ้าหากเป็นเจ้า เจ้าจะไม่ยินดีหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่”

“เช่นนั้น เขาต้องไม่ยินดีเป็นแน่”

“เช่นนั้นเขา…จะมาช่วงชิงหรือไม่? จนถึงขนาดว่าจะสังหารคนเพื่อแย่งสิ่งของที่รัก?”

“อย่าได้นำผู้อาวุโสสูงส่งมาคิดต่ำช้าเช่นนี้ พูดอีก ก่อนหน้านี้นักบวชเหล่านั้นผู้ใดจะกล้าคิดเล่า ผู้อาวุโสตระกูลถังมอบร่มกระดาษทองเป็นของขวัญเพื่อแสดงเคารพให้แก่เจ้า เพียงแค่ตระกูลถังไม่พูด เจ้าไม่พูด แล้วใครจะรู้?”

“เจ้ารู้”

“……”

“เอาเถิด ในเมื่อเป็นศาสตราวิเศษที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ภายภาคหน้าก็จะต้องได้ใช้เป็นแน่”

“เมื่อได้ใช้ค่อยมาพูดกัน”

“ข้าเกรงว่าหากวันไหนนำมาใช้ จะกระเทือนไปถึงพรรคกระบี่หลีซาน”

“การชุมนุมไม้เลื้อย การสอบใหญ่ และการหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรง…เจ้าคิดว่ากระเทือนพวกเขาเพียงนิดเดียวหรือ?”

“เจ้าพูดมาก็ถูก เช่นนั้นแล้วปัญหาต่อไปก็คือ ร่มกระดาษทองคันนี้…ใช้อย่างไร?”

เจ๋อซิ่วครุ่นคิด จึงเอ่ยกับเขา “เจ้าลองขับพลังปราณแท้ใส่เข้าไปดู”

นี่เป็นวิธีการเปิดใช้ที่พบได้บ่อยที่สุด

เฉินฉางเซิงจึงรีบทำตามที่บอก ปล่อยพลังปราณแท้ออกมา ผ่านเข้าไปในลูกโลหะอย่างเชื่องช้า

ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ตามการเข้าไปในลูกโลหะ สะท้อนกลับเข้าไปในกลางมหาสมุทรดวงจิตของเขา

เขาอยู่ในลูกโลหะลูกนั้น รับรู้ภาพที่เหมือนกับเนินเขาขึ้นๆ ลงๆ นับไม่ถ้วน

ใช้เพียงสายตามอง ผิวด้านนอกของลูกโลหะเป็นมันวาว เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ขึ้นๆ ลงๆ นี้ก็คงจะเป็นผิวภายในของลูกโลหะ

พลังปราณแท้ของเขาค่อยๆ มุ่งไปเบื้องหน้าของผิวที่ขึ้นๆ ลงๆ นี้ สุดท้ายแล้วก็มาถึงส่วนตรงกลาง

ที่แห่งนั้นมีแสงกะพริบ ราวกับว่าฟ้าแลบ และคล้ายกับว่าเป็นดาวดวงหนึ่งที่กำเนิดขึ้น

ด้านในตำหนักมีสายลมเย็นสบายพัดผ่าน ใจกลางของลูกโลหะสั่นสะท้านขึ้น ผิวด้านนอกที่ราวกับเกล็ดของลูกโลหะราวกับว่าได้แตกออกเป็นสองเส้น

มีเสียงปริแตกและเสียงถลุงโลหะแผ่วเบา ลูกโลหะได้แตกออกแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลง และประกอบกันเป็นรูปร่างใหม่ๆ ตลอดเวลา

ส่วนหัวของร่มโลหะปรากฏเยื่อหุ้มจำนวนมาก

ต่อมาก็เป็นโครงร่ม จากนั้นก็เป็นคันร่ม

เวลาผ่านไปไม่นาน ร่มคันหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือของเฉินฉางเซิง

ร่มคันนี้ตั้งส่วนหัวร่มจนถึงคันร่ม ทั้งหมดล้วนทำมาจากโลหะ สว่างไสวไร้สิ่งใดเปรียบ คล้ายกับว่าก้อนเงินที่หยิบออกมาจากเตาไฟ

สายลมสบายยังคงพัดผ่านหมุนเวียนในตำหนัก

ต่อมา เรื่องที่ทำให้เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วไม่สบายใจก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

ผิวโลหะที่สว่างไสวเหล่านั้น เมื่อปะทะกับสายลมเย็นสบาย ก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง มีบางแห่งเปลี่ยนเป็นสีดำต่อเนื่อง มีบางแห่งที่เปลี่ยนเป็นมืดมน ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ส่วนหัวของร่มที่เดิมทีสุกสว่างไสวไร้สิ่งใดเปรียบนั้นก็เปลี่ยนเป็นลายพร้อย มองแล้วราวกับว่าเป็นร่มกระดาษธรรมดาที่ใช้มาแล้วหลายปี มีฝุ่นเกาะหนาเตอะ มองแล้วสกปรกอย่างยิ่ง

“นี่เกิดอะไรขึ้น?” เฉินฉางเซิงเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น

เขาสังเกตเห็นด้ามร่มที่อยู่ในมือ เวลานี้ก็ได้เปลี่ยนเป็นดำเก่าอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าเป็นท่อนไม้ก็มิปาน

“อย่าเพิ่งตื่นตระหนก”

มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่มโลหะคันนี้ เจ๋อซิ่วรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงสงบนิ่งลง นัยน์ตาคล้ายกับว่าร้อนเป็นไฟ

เขายื่นมือออกไปพลางเอ่ยกับเฉินฉางเซิง “นำกระบี่ของเจ้ามาให้ข้าลองใช้”

เฉินฉางเซิงมองกระบี่สั้นเหน็บอยู่ที่เอว สั่นศีรษะ ในใจครุ่นคิดถึงแม้เป็นของล้ำค่าของผู้อาวุโสถัง มอบให้แก่ตนก็ไม่อาจทำมันพังทลายได้

“ถึงแม้เป็นกระบี่เกล็ดมังกรของชิวชานจวิน ก็ไม่อาจทำลายร่มกระดาษทองนี้ได้”

เจ๋อซิ่วมองเขาใบหน้าไร้ความรู้สึก มิได้ยืนกรานต่อ ยกมือขวาขึ้นพลางเอ่ยว่า “เจ้ากุมร่มให้แน่น ข้าเตรียมที่จะใช้พลังทั้งหมดโจมตี”

เฉินฉางเซิงใช้มือทั้งสองกุมด้ามร่มไว้ เพิ่งจะจับได้แม่นเหมาะ ก็เห็นเจ๋อซิ่วกำหมัดทะลวงออกไป

มองแผ่นป้ายอนุสรณ์ได้บรรลุสู่ขั้นทะลวงอเวจีในสุสานเทียนซู เจ๋อซิ่วขณะนี้ยิ่งแข็งแกร่งกว่าในตอนที่ต่อสู้ในการสอบใหญ่มาก

เห็นเพียงแค่เส้นสายตรงแน่วกระจายทะลวงไปในอากาศ มุ่งตรงไปยังส่วนล่างของร่มที่อยู่เบื้องหน้าเฉินฉางเซิง

ในชั่วพริบตา เฉินฉางเซิงคล้ายกับว่าเห็นเล็บคมที่อยู่ตรงปลายนิ้วด้านหน้านั่น

เขาจนถึงขนาดว่าเกิดความรู้สึกบางอย่าง คิดว่าเจ๋อซิ่วอยากจะสังหารตนจริงๆ

แต่เวลานี้ ถึงแม้จะทำอะไรก็ไม่ทันการเสียแล้ว เขาจึงทำได้เพียงแค่กุมคันร่มไว้แน่นขนัด

ขวับ!

คันร่มสั่นไหวเล็กน้อย

อากาศที่อยู่ตรงหน้าเขาปรากฏเป็นรอยขีดข่วนชัดเจน จากนั้นรอยขีดข่วนเหล่านั้นก็ค่อยๆ หายไป

เขาคล้ายกับว่าสามารถรับรู้ได้ถึงพลังที่น่าหวาดกลัวของเจ๋อซิ่ว พลังปราณที่ตกลงทั้งหมดก็ถูกบริเวณขอบของร่มรับกลับมาจนหายไป จากนั้นไม่รู้ว่าใช้วิธีการใด ผ่านช่องทางใด เข้ามายังด้านล่างของร่ม แม้แต่พลังกำลังที่เหลือเขาก็ไม่อาจรับรู้ได้แม้แต่น้อย

ศาสตราวุธที่อาจารย์ปู่เล็กยังซื้อไม่ได้เป็นดังคาด

พลังการป้องกันของร่มกระดาษทองคันนี้ ที่จริงแล้วแข็งแกร่งเกินไป

เจ๋อซิ่วจ้องมองรอยเล็บของเขาที่อยู่บริเวณขอบร่มเพียงชั่วครู่ก็หายไป จึงเงียบนิ่งชั่วครู่

เฉินฉางเซิงมองเขาพลางเอ่ยถาม “เป็นเช่นนี้?”

ท่าทางของเจ๋อซิ่วเฉยเมยกล่าวออกมา “เช่นนี้ยังไม่พออีก?”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ร่มคันนี้มีชื่อเสียงเช่นนี้…เดิมทีข้าคิดว่าจะแสดงออกมาได้ยอดเยี่ยมยิ่ง”

เจ๋อซิ่วกล่าวว่า “หากกล่าวถึงเพียงแค่ความสามารถในการป้องกัน ร่มคันนี้ทนรับการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งขั้นรวบรวมดวงดาวได้ ก็นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งแล้ว”

เฉินฉางเซิงในใจครุ่นคิด เจ้าก็นับว่าเป็นผู้มีสายเลือดแปลกประหลาดมาแต่กำเนิด ไม่อาจเทียบเท่ากับขั้นทะลวงอเวจีปกติธรรมดาได้ แต่นับเอาการโจมตีของตนเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับรวบรวมดวงดาว เช่นนั้นแล้วไม่เกินไปหน่อยหรือ?

คิดก็คิดเช่นนี้ แน่นอนว่ามิได้เอ่ยออกมา

หลังจากเขาครุ่นคิดจึงเอ่ยว่า “เจ้าว่าร่มคันนี้จะมีประโยชน์อะไรอื่นอีก?”

เจ๋อซิ่วตอบออกมา “ข้าไม่รู้”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “หรือว่า ข้าควรจะไปถามท่านอาวุโสตระกูลถังเสียหน่อย?”

ร่มคันนี้เวลานี้ได้เปลี่ยนเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง ราวกับว่าเป็นร่มเก่าที่สกปรกรกโสโครกจริงๆ

เจ๋อซิ่วมองร่มในมือของเขา จากนั้นเงียบนิ่งเพียงครู่จึงกล่าวต่อ “ชัดเจนยิ่งนัก หลังจากได้สร้างร่มคันนี้สำเร็จแล้ว วันนี้เป็นครั้งแรกที่ถูกกางออก ข้าคิดว่า…ผู้อาวุโสตระกูลถังต่างก็ไม่อาจเข้าใจความสามารถทั้งหมดได้ ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าใจ ก็คงจะถามได้เพียงแค่อาจารย์ปู่เล็กเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยให้มากความ จิตใจนำพลังปราณแท้ดึงกลับเข้ามาจากร่ม ได้ยินเพียงแค่เสียงแตกไม่กี่เสียง ร่มกระดาษอำพันก็ทิ้งร่องรอยอยู่ในอากาศ ใช้ความเร็วสูงสุดที่เก็บกลับมา สุดท้ายแล้วจึงกลายเป็นลูกโลหะอยู่ในมือของเขา เพียงแค่ผิวของลูกโลหะไม่ได้มันเงาแวววาวแล้ว มองแล้วประหนึ่งหินกรวดที่ขุดขึ้นจากในทราย

……

……

ห่างจากเมืองเวิ่นสุ่ยมุ่งไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก็คือสันเขาฉิน

สันเขาฉินมีความยาวพันกว่าลี้ เชิงเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีแม่น้ำใหญ่ทอดผ่าน ทั้งสองฝั่งมีเนินดินเชื่อมต่อกัน นี่ก็คือเมืองเทียนเหลียง

เฉินฉางเซิงจะต้องเดินเท้าไปสถานที่แห่งนั้นด้วยตนเอง เมืองเทียนเหลียงมีระยะทางห่างไกลยิ่งนัก แต่ว่าขณะนี้ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ของเมืองเทียนเหลียงได้ส่งผู้แกร่งกล้านับไม่ถ้วนล้อมรอบที่นี่ไว้นานแล้ว

เพราะว่าปีนี้ สวนโจวก็อยู่ในเมืองฮั่นชิว

สวนโจวเป็นโลกใบเล็ก ทุกสิบปีจะเปิดขึ้นหนึ่งครั้ง ทุกครั้งจะปรากฏในสถานที่แตกต่างกันออกไป บางทีอยู่ที่เจียงหนาน บางทีอยู่ที่เขาตงซาน บางทีอยู่ที่พื้นที่ราบหิมะ บางทีอยู่บริเวณเมืองจิงตู มีบางคราอยู่ด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่า และยังมีอีกสองคราจนถึงขนาดว่าอยู่เหนือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ระหว่างเขตต้าลู่และต้าซี

รถขบวนที่มาจากจิงตู เมื่อมาถึงเมืองฮั่นชิวก็เป็นเวลาล่วงสู่พลบค่ำแล้ว ห่างจากพิธีเปิดสวนโจวอย่างเป็นทางการเพียงแค่หนึ่งคืน

ผู้แข็งแกร่งที่บรรลุขั้นทะลวงอเวจีของทั่วทั้งต้าลู่รีบเดินทางมา รวมถึงอาจารย์และผู้อาวุโสของพวกเขา อย่างน้อยก็หลายร้อยคนต่างก็รอคอยอยู่ที่เมืองฮั่นชิว

ค่ำคืนสุดท้าย สำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วนั้น ดูเหมือนว่าเป็นค่ำคืนที่ยาวนานเป็นพิเศษ มีผู้แกร่งกล้าหนุ่มน้อยมากมาย ไม่อาจรั้งรออยู่ที่โรงเตี๊ยมได้ มาถึงยังด้านนอกชายป่าตั้งแต่เช้าตรู่

หลังชายป่าไกลออกไปเห็นเทือกเขาหิมะสีขาวลุกไหม้ในแสงสีแดง มิได้มีสัตว์ตัวใดอยู่

บรรดาผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น มองแสงสีแดงแล้วคุยกระซิบอะไรกันบางอย่าง แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปใกล้ป่า

เพราะว่าด้านนอกชายป่าผืนนั้น มีกระท่อมหญ้าปลูกไว้หลายหลัง ใต้กระท่อมมีผู้ยิ่งใหญ่ไม่กี่ท่าน

กำลังนั่งรักษาการอยู่ตรงกลางกระท่อม

คนที่นั่งเป็นประธานของสวนโจวในปีนี้มีใต้เท้ามุขนายกโถงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวงหนึ่งท่าน ขุนพลเทพของต้าโจวสองท่าน ผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงหนึ่งท่าน

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้อย่างแท้จริงก็คือคนที่นั่งด้านหน้าสุดของกระท่อม

นั่นก็คือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ผมยาวประบ่า ท่าทางเคร่งขรึม หันซ้ายแลขวาด้วยความเยือกเย็นยิ่งนัก

ผู้แข็งแกร่งที่ออกมาจากเมืองฮั่นชิวทำความเคารพกระท่อมนั้นในระยะห่างไกลออกไป เคารพศรัทธาอย่างยิ่ง ทว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นกลับมิได้สนใจแม้แต่น้อย

เวลานี้ผู้คนมิได้มีความคิดเห็นใดๆ

เพราะว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเป็นผู้นำของพรรคไร้เทียมทาน และก็เป็นผู้นำของตระกูลจูแห่งเมืองเทียนเหลียง

เป็นตระกูลแรกของเมืองเทียนเหลียง สมเหตุสมผลที่จะเป็นตระกูลเฉินของราชวงศ์ต้าโจว

แต่เชื้อพระวงศ์เฉินขณะนี้อยู่ที่จิงตู เมื่อตระกูลหวังของหวังผ้อได้เสื่อมลง ตระกูลจูจึงกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองเทียนเหลียง

แน่นอนว่า ฐานะทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขาเป็นที่โจษจันกันทั่วทั้งใต้หล้า

เพราะว่าเขาคือจูลั่วในแปดมรสุม

จูลั่ว ผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์

ห้านักปราชญ์ แปดมรสุม คนที่อยู่ในประกาศเซียวเหยา ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งของต้าลู่อย่างแท้จริง

หากเทียบกับห้านักปราชญ์ แปดมรสุมมิได้มีอำนาจมากแต่อย่างใด ทว่าสำหรับผู้ฝึกวิทยายุทธ์แล้วนั้นก็มิได้อ่อนด้อย

ผู้แกร่งกล้าท่านนี้ถูกทั่วทั้งใต้หล้าขนานนามว่าผู้ร่ำสุราโดดเดี่ยวใต้แสงจันทร์ มิใช่เป็นเพราะว่าเขาดื่มสุราเก่งกาจ แต่เป็นเพราะว่าสามร้อยปีก่อน เขาเคยอยู่ดินแดนหิมะทางทิศเหนือ นอกเมืองเสวี่ยเหล่า มองดวงจันทร์แล้วจึงเขียนกลอนขึ้น หลังจากแต่งกลอนแล้ว จึงได้ทะลวงขั้นบริวารเทพศักดิ์สิทธิ์ เพียงหมัดเดียวก็สังหารพลทหารเผ่ามารเสียชีวิตไปสองคน จึงทำให้ทั่วทั้งใต้หล้าตกตะลึง!

สิ่งที่พรรคไร้เทียมทานฝึกฝนก็คือการลืมเลือนความรู้สึก

เขาเขียนกลอนอยู่ภายใต้แสงจันทร์ที่เมืองเสวี่ยเหล่าในกลอนนั้นมีประโยคหนึ่งว่า ร่ำสุราลำพัง มิใส่ใจหาคู่

ทุกคนต่างทราบดี อารมณ์ของผู้แกร่งกล้าต้าลู่ผู้นี้ไม่ค่อยจะดี

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้

……

……

แม้แต่อาชาสวรรค์ก็ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงพลังที่น่าหวาดกลัวและรสชาติเยือกเย็นที่ส่งผ่านมา จึงก้มศีรษะแสดงว่ายอมศิโรราบ

เฉินฉางเซิงลูบขนของมันเบาๆ เพื่อปลอบประโลม มองไปยังร่างกายที่ผอมแห้งอยู่ในกระท่อม เงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด

มีคนสังเกตเห็นว่าบนรถมีสัญลักษณ์ของพระราชวังหลี จึงคาดเดาความเป็นมาของพวกเขาได้ ทั่วทั้งสนามเงียบนิ่งมิได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด ได้ยินเสียงคนเอ่ยถามเสียงเบาผู้ใดคือเฉินฉางเซิง ยามพระอาทิตย์ตกดิน อาชาสวรรค์สีขาวหิมะสะดุดตาอย่างยิ่ง มีคนจำนวนมากมองเข้าไป ในใจครุ่นคิดหรือว่าเป็นหนุ่มน้อยที่มองแล้วธรรมดาผู้นั้น

เวลานั้นเอง เสียงที่เยือกเย็นก็ดังมาจากกระท่อม “เจ้าก็คือเฉินฉางเซิง?”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset