ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 249 ทวนกระแสน้ำ… (ตอนต้น)

ค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ของเขาหลีซานได้ดำเนินการขึ้นอีกครา แสงกระบี่หมื่นเล่มภายใต้พระอาทิตย์ยามเช้าตรู่ ประหนึ่งโลหะที่ถูกหล่อหลอมในเปลวเพลิง

เสียงนกกระเรียนขาวดังขึ้น ออกจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

บนแท่นกานลู่ที่อยู่ในพระราชวังเมืองจิงตู ไม่ได้มีเงาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

เสียงระฆังในพระราชวังหลี ดังขึ้นโดยมิได้บอกให้รู้ล่วงหน้า ถึงแม้ไม่กระชั้นชิด กลับมิได้ขาดสาย คล้ายกับว่าจะไม่หยุดพักตลอดไป

ด้านในกระท่อมด้านนอกเมืองฮั่นชิว จูลั่วลืมตาขึ้น มีเพียงแค่การตื่นตัวและตกตะลึงอย่างไร้ขอบเขต ไหนเลยจะมองเห็นความสะลึมสะลือ

ในรถลาก เหมยหลี่ซาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้น ในดวงตาคู่นั้นเผยความแปลกประหลาดใจออกมา

พวกเขาไม่รู้ว่าทางทิศเหนือที่ห่างไกล ด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่ากำลังเกิดเรื่องอันใด เพียงชั่วคราวก็ไม่รู้ความสั่นสะเทือนของเขาหลีซาน ไม่ได้ยินเสียงระฆังของพระราชวังหลี แต่เวลาก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับรู้เรื่องที่ทำให้สั่นคลอนเหนือความคาดหมาย

สวนโจวได้ปิดตัวลงแล้ว!

ด้านในป่ายุ่งเหยิงสับสนปนเป ผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิง นักบวชของนิกายหลวง และอาจารย์ของบรรดาพรรคสำนักต่างๆ พร้อมเพรียงกันมายังด้านหน้าของเมฆหมอกที่ไม่ยอมกระจายไปไหน

แสงฟ้าแลบในหมอกยังคงดุร้ายประหนึ่งอสรพิษ หนทางที่ถูกสายรุ้งแหวกออกตอนเช้าตรู่ ไม่รู้ว่าหายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไหร่ พลันถูกไอหมอกครอบครองอีกครา

สายรุ้งยังคงอยู่ ทว่าเคลื่อนย้ายตำแหน่งไม่หยุด ไม่อาจเปิดหนทางได้อย่างแม่นยำ ทำได้เพียงพลิกม้วนไอหมอกไม่หยุดเท่านั้น

จูลั่วกับเหมยหลี่ซายืนอยู่ข้างหน้า ท่าทางเคร่งขรึมจ้องมองภาพเบื้องหน้า ตามสายตาของพวกเขาสามารถมองเห็นหนทางคดเคี้ยวอันเงียบสงบที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายในเมฆหมอก แน่ใจว่าหนทางมิได้หายไปทั้งหมด เพียงแค่ได้รับการรบกวนบางอย่าง เพียงแค่ไม่อาจผ่านไปได้ชั่วคราว

“โลกใบเล็กยังมีกฎการเดินทางอย่างอื่น นอกจากคนที่ถือครอบครอง ผู้ใดก็ไม่อาจแก้ไขได้”

เหมยหลี่ซาเอ่ยเสียงเนิบนาบ “นอกจากโจวตู๋ฟูมาเกิดใหม่ ก็ไม่มีผู้ใดที่จะปิดสวนโจวก่อนได้ จำต้องผ่านพ้นไปสักสองสามวัน ประตูสวนคงจะเปิดได้อีกครา”

แม้จะพูดเช่นนี้ กลับไม่อาจทำให้บรรยากาศข้างชายป่าผ่อนคลายลงได้

เป็นผู้ใดที่ส่งผลต่อขั้นตอนการเปิดสวนโจว? เขาปรารถนาจะทำสิ่งใดเล่า?

จูลั่วกับเหมยหลี่ซามิได้คิดเลยแม้แต่น้อย รู้ว่าจะต้องเป็นฝีมือของเผ่ามารอย่างแน่นอน

พวกเขาจนถึงขนาดว่าคิดไปถึงชื่อของคนหนึ่ง

ชุดดำ

เหมยหลี่ซาคิดเรื่องราวมากยิ่งกว่า ความหดหู่บนใบหน้ายิ่งนานยิ่งชัดเจนขึ้น

ประตูสวนโจวจะเปิดใหม่เมื่อใด?

ระหว่างสองสามวันนี้ ในสวนจะเกิดสิ่งใดขึ้น?

คนเหล่านั้นจะต้องเผชิญกับอะไร?

ระหว่างพวกเขาจะเกิดสิ่งใดขึ้น?

มีผู้ใดจะสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้?

จูลั่วอยู่ๆ ก็เอ่ยออกมา “นางเข้าไปแล้ว”

เหมยหลี่ซาเงียบนิ่งชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “ต้องดูเขา”

……

……

คนที่อยู่ด้านในสวนโจวก็ไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดสิ่งใดขึ้น

เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วถือร่ม เดินเข้าไปในสายฝนที่ตกโปรยปราย

พอออกจากสวนอันเงียบสงบที่มีน้ำไหลรินใต้สะพานเล็กๆ ก็มาถึงเนินเขาสีเขียวขจีเต็มสายตา

ยืนอยู่ด้านหน้าขอบหน้าผาแห่งหนึ่ง มองไปยังป่าทึบที่ถูกสายฝนทำให้เปียกชื้นที่ด้านล่าง ยังมีทุ่งหญ้าที่ถูกอาบย้อมจากแสงอาทิตย์ เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งเบาสบาย

สวนโจว มิใช่เป็นเพียงแค่สวนป่า ที่นี่เป็นโลกใบเล็กจริงๆ

โจวตู๋ฟู สมภาคภูมิที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดพันกว่าปีที่ผ่านมาของต้าลู่จริงๆ โลกใบเล็กที่เขาหลงเหลือไว้ มีความยิ่งใหญ่มากกว่าโลกใบไม้ครามของใต้เท้าสังฆราชหลายเท่านัก

ตามสันทางเดินในเทือกเขามาถึงด้านในป่า และมาถึงยังป่าทึบอีกครา คนทั้งสองยืนอยู่ด้านหน้าแม่น้ำ มองไปยังที่ไกลโพ้น เห็นเพียงแค่ทุ่งราบที่สะท้อนแสงเป็นประกายอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ระยะห่างราวกับว่ามิได้ใกล้เข้ามา

เฉินฉางเซิงหยิบนาฬิกาทรายขึ้นมาดู พบมาว่าถึงที่นี่ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยาม เมื่อได้เทียบดูกับการคำนวณเวลาแล้ว มั่นใจว่าความเร็วของเวลาที่เดินไม่ได้เปลี่ยนเป็นเร็วหรือว่าช้าแต่อย่างใด

“ได้ยินมาว่าทุ่งหญ้าที่อยู่ด้านในผืนนั้น หนึ่งเดือนเป็นเพียงแค่หนึ่งวันของสวนโจว ใช้สำหรับการฝึกบำเพ็ญเพียรนั้นดีที่สุด” เจ๋อซิ่วกล่าวต่อ “ทว่าเป็นเวลาร้อยกว่าปีแล้ว ที่คนเข้ามาในสวนไม่อาจเข้าไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของทุ่งหญ้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าสิ่งตกทอดของโจวตู๋ฟูอยู่ที่แห่งนั้นหรือไม่ รู้เพียงแค่ว่าทุ่งหญ้าแห่งนั้นซุกซ่อนไปด้วยภยันตรายมากมาย มีสัตว์อสูรที่ดุร้ายโหดเหี้ยมเป็นพิเศษ”

เฉินฉางเซิงเคยอ่านการบันทึกที่เกี่ยวข้องในคัมภีร์เต๋า ได้ยินคำว่าสัตว์อสูร จึงมองไปยังเจ๋อซิ่ว

หนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าดำเนินชีวิตอยู่ในที่ราบหิมะตั้งแต่เยาว์วัย สิ่งที่ชำนาญที่สุดก็คงจะเป็นการล่าสัตว์

“ทุ่งหญ้าแห่งนั้นสัตว์อสูรสามารถดำเนินชีวิตและแพร่พันธุ์อยู่ได้ มิใช่ว่าผู้ที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีจะต้านทานได้”

เจ๋อซิ่วใบหน้าเรียบเฉยเอ่ยต่อ “ด้วยเหตุนี้เจ้าไม่ต้องคิดมากเกินไป”

มองไปยังทุ่งหญ้าที่ไกลโพ้นแห่งนั้น เฉินฉางเซิงอดคิดไม่ได้ พลันลูบด้ามกระบี่ตามจิตใต้สำนึก

เสียงน้ำที่อยู่ริมแม่น้ำค่อนข้างดัง หรือไม่ก็เพราะว่ามันอยู่ในห้วงจิตของเขา สรุปแล้ว เจ๋อซิ่วไม่ได้ยินเสียงจี๊ดๆ แผ่วเบานั่น

“พวกเราจะไปไหน” เจ๋อซิ่วเอ่ยถาม

ในสวนโจวมีพื้นที่ทั้งหมดห้าผืน นอกจากทุ่งหญ้าที่มองแล้วคล้ายกับว่าเงียบสงัดผืนนั้น ในความเป็นจริงเป็นพื้นหญ้าที่อันตรายอย่างยิ่ง พื้นที่สี่ผืนที่เหลือ หลายร้อยปีมานี้ถูกผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์และเผ่ามารได้สำรวจมานานแล้ว หลายปีผ่านมานั้นมีผู้แข็งแกร่งของต้าลู่ที่เกรียงไกรสั่งเมฆสั่งฝนได้ค้นพบของล้ำค่า จึงได้สืบทอดต่อเนื่องมา จึงมีศาสตราวิเศษจำนวนมากที่เราพบเห็นจนถึงทุกวันนี้ ระยะเวลาหลายร้อยปีผ่านไป ผู้ใดก็ไม่อาจทราบได้ว่าในสวนโจวจะมีสิ่งใดอยู่ แต่ว่าทุกพรรคทุกสำนักต่างทราบกันดี หากเวลานี้ต้องการเสาะหาศาสตราวิเศษหรือว่าของสืบทอดเหล่านั้น จะต้องพยายามและเสี่ยงภยันตรายมากกว่าผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนหลายเท่าตัวนัก

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จึงถามออกไป “เจ้ามีที่แห่งไหนที่อยากจะไปดูหรือไม่?”

เมื่อดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซู เขาได้คิดไว้แล้วว่าหลังจากเข้ามาสวนโจวจะต้องทำสิ่งใด

เขาอยากจะไปชมทิวทัศน์ เสาะแสวงหาโบราณวัตถุ แต่หลังจากค่ำคืนนั้น เป้าหมายในการเดินทางได้ถูกแก้ไข แต่ทุ่งหญ้านั้นเป็นที่สุดท้ายที่จะต้องไปเป็นแน่

เจ๋อซิ่วกล่าวตอบ “ข้าอยากไปสระกระบี่”

จากนั้นเขากล่าวเสริมออกมาอีก “ถ้าหากมีสระกระบี่จริงๆ”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “สระกระบี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขาน แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีผู้ใดเคยเห็น…หลายร้อยปีผ่านมา ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรรุ่นก่อนจำนวนมาก ต่างก็ไม่เคยเจอ ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะหาพบ”

“ไม่มีกระบี่” เจ๋อซิ่วมองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง

เฉินฉางเซิงนิ่งเงียบชั่วครู่ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หลายร้อยปีผ่านมา สวนโจวได้เปิดเป็นจำนวนหลายครา บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เข้าไปผจญภัยในสวน พบกับศาสตราวุธ ทรัพย์สมบัติ รวมถึงของตกทอดที่ล้ำค่าจำนวนมาก ทว่ากลับไม่มีผู้ใดเคยพบกระบี่มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาที่มีต้นไม้แน่นขนัด หรือว่าเป็นทะเลสาบที่ใสแจ๋วดุจดังแก้วล้วนแต่ไม่อาจมองเห็นกระบี่ได้

แล้วปีนั้นเมื่อผู้แข็งแกร่งของต้าลู่พ่ายแพ้ให้แก่โจวตู๋ฟูจำนวนมาก กระบี่ของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน

เรื่องเล่าขานของสระกระบี่ ที่จริงแล้วมีเหตุผลสักกี่ส่วนกัน

“ถึงแม้ว่าพวกเราจะโชคดีแล้วหาสระกระบี่พบจริง กระบี่เหล่านั้นจะต้องหักแล้วเป็นแน่ ไอวิญญาณก็คงไม่มี ไปหาตรงหน้าผาและตรงถ้ำไม่ดีเสียกว่า ไม่แน่อาจจะเจอศาสตราวิเศษ”

“ข้าไม่มีกระบี่”

เจ๋อซิ่วมองเขากล่าวอย่างจริงจัง “ถ้าหากเป็นไปได้ ข้าอยากหากระบี่สักเล่มไว้ใช้ อีกทั้งข้าไม่ชื่นชอบศาสตราวิเศษ”

เฉินฉางเซิงถึงคิดได้ว่าเจ๋อซิ่วใช้มือเปล่าในการต่อสู้มาตลอด หลังจากครุ่นคิดจึงเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่าในบันทึกของคนรุ่นก่อนมีเอ่ยเอาไว้ หากเดินตามแม่น้ำเส้นนี้ไปสิบกว่าลี้ทางขวามือจะมีลำธารเล็ก มีคนเคยพบกับฝักกระบี่มาก่อน ถ้าหากว่าสวนโจวมีสระกระบี่จริงๆ เช่นนั้นแล้วก็คงจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้”

สายฝนไม่รู้ว่าหยุดตกไปตั้งแต่เมื่อใด

เฉินฉางเซิงหุบร่มและเดินย้อนกลับขึ้นไปกับเจ๋อซิ่ว

เดินไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของกระบี่ฟาดฟันกันทางด้านบนหน้าผา

ผ่านลานก้อนหินไป เห็นเพียงแค่หญิงสาวผู้หนึ่งนั่งพิงต้นไม้ บนหัวไหล่ซ้ายเต็มไปด้วยโลหิตสด ก็คือศิษย์พี่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่เดินทางจากจิงตูมาพร้อมกับเฉินฉางเซิง

สตรีที่ใช้กระบี่ปกป้องอยู่ข้างหน้านางผู้นั้นก็คือเยี่ยเสี่ยวเหลียน ใบหน้าเรียวเล็กเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset