ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 252 แพทย์สองที่ (ตอนต้น)

ปลายแม่น้ำก็คือเนินเขา ทอดยาวและคดเคี้ยว สามารถมองเห็นทุ่งหญ้าแห่งนั้นได้รางๆ ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับว่ามิได้เปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าที่พวกเขามา แต่เฉินฉางเซิงรู้ว่าโลกแห่งนี้เกิดปัญหาขึ้น

เมื่อเขาจ้องมองโลกใบนี้มิได้เอ่ยสิ่งใด จวงห้วนอวี่เตรียมที่จะจากไป

“ทางที่ดีไม่ต้องออกไปเพียงลำพัง”

เฉินฉางเซิงหันกายมา จ้องมองเขาเอ่ยด้วยความจริงจัง “เส้นตะกั่วไร้ผล ก็คงเกิดเรื่องบางอย่าง ยังต้องตรวจสอบให้ชัดเจน มิเช่นนั้นข้ากังวลว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ”

จวงห้วนอวี่หยุดย่างก้าวลง ขมวดคิ้วขึ้น “สวนโจวเปิดเพียงแค่ร้อยวัน ทุกเวลาในนั้นล้วนแต่มีค่า ไม่ว่าเจ้าต้องการให้ข้าล่าช้าเพียงเพราะว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรือ?”

เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าดูการต่อสู้ก็เสียเวลาแล้ว ทำไมจะต้องใส่ใจที่เสียเวลาเพียงเล็กน้อยด้วย”

“เอาเถอะ” จวงห้วนอวี่จ้องมองเขาพลางเอ่ยออกมา “ถ้าหากเกิดปัญหาจริงๆ แน่นอนว่าจะต้องไปตรวจสอบที่ประตูสวน ที่ที่พวกเราอยู่ห่างจากประตูสวนหลายสิบลี้ เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะไป?”

เป็นดังที่เขาเคยเอ่ยก่อนหน้านี้ เวลาในสวนโจวทุกวินาที สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในสวนโจวนั้นมีค่านับไม่ได้ จากจุดที่กลุ่มผู้คนอยู่ในขณะนี้ไปถึงประตูสวน ทั้งไปทั้งกลับ เกรงว่าจะสิ้นเปลืองพลังปราณแท้ในการทะยานไป และอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยาม ผู้ใดจะยินยอมเสียเวลามากมายเพียงเพราะว่าเรื่องนี้?

ชีเจียนมองแล้วมีความคิดบางประการ เตรียมที่จะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา เหลียงเสี้ยวเซียวกลับส่ายศีรษะอยู่ข้างๆ เขาคิดไปถึงภารกิจสำคัญที่อาจารย์มอบให้ จึงทำได้เพียงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

ริมแม่น้ำเงียบนิ่งอย่างยิ่ง ไร้ผู้คนขานรับ จวงห้วนอวี่มองเฉินฉางเซิงเอ่ยเยาะหยันออกมา “เจ้าดู เดิมทีก็มิได้มีผู้ใดปรารถนาจะไป ในเมื่อเป็นเจ้าที่เสนอความคิดเห็น เหตุใดเจ้าไม่ไป?”

เฉินฉางเซิงมิได้กล่าวตอบเขาโดยตรง ทว่ามองไปยังเจ้าอารามชิงซวีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ชีเจียนเข้าใจความหมายของเขา เอ่ยว่า “ข้าดูให้เอง”

หลังจากนั้นมองไปยังเหลียงเสี้ยวเซียว เอ่ยกระซิบสองสามประโยค ท่าทางเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง

“อืม ข้าคิดว่าพวกเจ้าไปเสาะหาในป่าได้ แต่ไม่ต้องไปไกลจะดีที่สุด”

เฉินฉางเซิงชัดเจนยิ่งนัก บรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ที่เข้ามาในสวนโจว ก็เป็นดังเช่นศิษย์พี่ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากล้วนแต่มีภารกิจที่ต้องกระทำ

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาก็เดินไปทางแม่น้ำ เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด เดินตามข้างหลังเขาไป

เมื่อมาถึงทางลาดแม่น้ำตรงทางโค้ง มั่นใจว่าคนที่อยู่ริมแม่น้ำมองไม่เห็นตน เฉินฉางเซิงจึงเอ่ยกับเจ๋อซิ่ว “ข้าเข้าไปในป่า เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้สักครู่”

เจ๋อซิ่วไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไร และก็ไม่อยากสืบเสาะความลับของเขา จึงพยักหน้าด้วยท่าทางเฉยเมย

เข้าไปในป่าทึบที่เงียบสงัด ปีนป่ายขึ้นไปบนเทือกเขาช่วงหนึ่ง เฉินฉางเซิงจึงหยุดย่างก้าวลง มองไปยังทุ่งหญ้าที่แสงอาทิตย์กำลังแผดเผาและเนินเขาที่อยู่ส่วนลึกของทุ่งหญ้า ใช้มือขวากุมด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่บนเอว เอ่ยเสียงต่ำออกมา “ช่วยข้าไปดูประตูสวนได้หรือไม่?”

มังกรดำไม่รู้ว่ามาอยู่บนไหล่ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้องมองเนินเขาที่อยู่ไกลโพ้น นัยน์ตากะพริบแสงมหัศจรรย์ รู้สึกง่วงงุนอย่างยิ่ง ราวกับว่าที่แห่งนั้นมีบางสิ่งกำลังดึงดูดตน

“ข้าสังหรณ์ใจว่าประตูสวนจะปิดเสียแล้ว ไม่อาจติดต่อกับโลกด้านนอกได้ ด้วยเหตุนี้ข้าไปหรือว่าเจ้าไปต่างก็เหมือนกัน เพียงแค่บนทางเดินจะต้องระวัง ไม่อาจให้ผู้ใดเห็นเข้าได้”

เฉินฉางเซิงหันหน้าไปมองมังกรดำที่อยู่บนไหล่ เอ่ยขอร้องอย่างจริงจัง

มังกรดำชักสายตากลับจากเนินเขาแห่งนั้น มองเขาแล้วเปล่งเสียงจี๊ดๆ ออกมา

เฉินฉางเซิงเอ่ยด้วยความกังวลใจ “สิ่งของที่ข้ามีล้วนแต่มิได้อยู่ในสายตาเจ้า กระบี่เล่มนี้เป็นศิษย์พี่ข้ามอบให้ จึงไม่อาจมอบให้เจ้าได้”

มังกรดำจ้องมองเขาด้วยความเย็นชา ความหมายนั้นชัดเจนยิ่ง สิ่งของใดเจ้าก็ไม่ยอมมอบให้ คาดไม่ถึงว่าจะให้ข้าทำธุระให้

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยออกมา “เช่นนี้แล้วกัน ข้ารับปากเจ้าหนึ่งอย่าง…เจ้าก็ทราบดี ขณะนี้ข้าเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวง ภายหลังสามารถหาของพิสดารล้ำค่ามาได้มากมาย”

ลูกตากลมของมังกรดำค่อยๆ หรี่ลง คล้ายกับว่าพึงพอใจคำตอบนี้

สายลมเย็นในป่าพลันหยุดลง เสียงของอากาศแยกออกที่แสบแก้วหู มังกรดำเปลี่ยนร่างเป็นเงาพร่าเลือนสายหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งทะลุอากาศออกไป

……

……

เวลาผ่านไปไม่นาน เฉินฉางเซิงเดินออกมาจากในป่า จ้องเจ๋อซิ่วด้วยท่าทางหนักอึ้งพลางเอ่ยว่า “ประตูสวนปิดแล้ว”

เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย มิได้เอ่ยสิ่งใด และก็ไม่ได้เอ่ยถามเขาเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ก็รู้สถานการณ์ของประตูสวนได้

เมื่อกลับมายังริมแม่น้ำก่อนหน้านี้ คนที่เหลือเหล่านั้นต่างรู้สึกสงสัยในข่าวคราวที่รวดเร็วเช่นนี้ของเฉินฉางเซิง ใบหน้าที่เฉยเมยของจวงห้วนอวี่มีท่าทางเยาะหยัน เหลียงเสี้ยวเซียวจึงเอ่ยออกมาตรงๆ “เจ้าบอกว่าปิดก็ปิดแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เฉินฉางเซิงมิได้อธิบายแต่อย่างใด กล่าวถาม “ถ้าหากว่าเจ้าเชื่อก็เชื่อ”

ไม่รั้งรอให้เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนได้ถามต่อ เขาก้มลงไปรักษาเจ้าอารามแห่งอารามชิงซวีต่อ

ชีเจียนโพล่งออกมา “ข้าเชื่อ”

เหลียงเสี้ยวเซียวจ้องมองเขาคิ้วขมวดเล็กน้อย ราวกับว่าไม่เข้าใจเหตุใดศิษย์น้องถึงเชื่อมั่นเฉินฉางเซิงซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ของพรรคกระบี่เขาหลีซานเช่นนี้ด้วย

“ศิษย์พี่รองกล่าวว่า ถ้าหากอยู่ในสวนโจวพบเจอกับเรื่องอันใด เฉินฉางเซิงเป็นคนที่น่าไว้วางใจมากที่สุด” ชีเจียนกล่าวออกมา

เฉินฉางเซิงที่กำลังจับชีพจรของเจ้าอาราม นิ้วมือจึงสั่นเทาเล็กน้อย

เมื่อออกมาจากสุสานเทียนซู โก่วหานสือเคยขอร้องให้เขาเป็นตัวแทนในการดูแลลูกศิษย์เขาหลีซาน ครานั้นเขาคิดว่าเพียงแค่พูดออกไปเพราะว่าเกรงอกเกรงใจ คิดไม่ถึงว่าโก่วหานสือจะคิดเช่นนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าไหล่ทั้งสองเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นกว่าเดิม ทว่าจิตใจกลับผ่อนคลาย ก่อเกิดเป็นความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง

มั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าอารามจะทรุดลงในเวลาเร็วนี้ เขาก็ยืดตัวลุกขึ้น ให้เจ๋อซิ่วเตรียมเครื่องมือในการรักษา เขาจึงเอ่ยกับเหลียงเสี้ยวเซียวและคนที่เหลือ “ข้ามั่นใจว่ากฎระเบียบของสวนโจวมิได้ถูกทำลาย เพียงแต่ว่าถูกก่อกวนจากพลังบางอย่าง ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยวันสวนโจวจะต้องเปิดขึ้นอีกครา เพียงแค่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่”

เหลียงเสี้ยวเซียวขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “มีพลังอะไรที่จะสามารถรบกวนโลกใบเล็กนี้ได้อีก?”

ชีเจียนครุ่นคิดชั่วครู่ จึงเอ่ยว่า “หรือไม่ก็เป็นพลังผู้ที่แข็งแกร่งมากพอ หรือไม่ก็เป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในการใช้งานสวนโจวอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงพยักหน้า พลางเอ่ยออกมา “ข้าคิดว่าเป็นคนผู้นั้น”

เยี่ยเสี่ยวเหลียนเบิกตาโต เอ่ยถามด้วยความแปลกประหลาดใจ “ผู้ใด?”

เฉินฉางเซิงกับคนที่เหลือสบตากัน มิได้เอ่ยสิ่งใด

มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนเข้ามาในสวนโจว ปรารถนาจะก่อความวุ่นวาย แน่นอนว่าจะต้องเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์

ศัตรูของเผ่ามนุษย์ ก็คือเผ่ามาร

“จะต้องระมัดระวังเสียหน่อยแล้ว”

ชีเจียนมองไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ท้ายแม่น้ำ เอ่ยด้วยความร้อนใจ “จะต้องรีบคิดหาวิธีบอกให้คนอื่นทราบ”

พวกเขาไม่อาจมั่นใจ หรืออาจจะกล่าวว่าคิดไม่ถึง ว่าจะมีเผ่ามารเข้ามาในสวนโจว แต่ในเมื่อสวนโจวเกิดการเปลี่ยนแปลง เส้นตะกั่วไร้ผล เพื่อป้องกันมิให้เผ่ามนุษย์ลงมือรุนแรงในการแย่งชิงของล้ำค่า ก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้ เช่นนั้นแล้วจึงต้องรีบนำข่าวสารของการปิดสวนโจวบอกต่อให้กับคนอื่นโดยเร็วที่สุด

เพียงแค่ที่จริงแล้วสวนโจวกว้างใหญ่เกินไป ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนมองแล้วมีจำนวนไม่น้อย เมื่อเข้าไปในนั้น ก็คล้ายกับว่าบางตาอย่างยิ่ง อีกทั้งในเมื่อเป้าหมายของทุกคนก็คือการเสาะแสวงหาของล้ำค่าในสวนโจว มีคนจำนวนมากที่คิดจะหลบซ่อนแฝงตัวมิให้ผู้ใดล่วงรู้ อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ สถานการณ์ที่บังเอิญเจอกันเกิดขึ้นน้อยอย่างยิ่ง

ที่พวกเขาพบกันตรงริมแม่น้ำเช่นนี้ เป็นเพราะพวกเขาล้วนมีความคิดเกี่ยวกับสระกระบี่ ไม่ว่าสำนักฝึกหลวง พรรคกระบี่เขาหลีซาน หรือว่าสำนักเทียนเต้า ล้วนแต่บันทึกเกี่ยวกับร่องรอยของสระกระบี่ไว้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาถึงย้อนกลับขึ้นไป มาถึงยังที่แห่งนี้ สำหรับส่วนนี้ พวกเขาต่างรู้และเข้าใจอีกฝ่ายดี

สำหรับศิษย์อาจารย์อารามชิงซวีคู่นี้ เมื่อเริ่มเข้ามาในสวน ก็เฝ้ามองศิษย์พี่ศิษย์น้องของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มาตลอด สำหรับส่วนนี้ก็นับเป็นความคิดที่ลึกซึ้งและแยบยล

โลกของสวนโจวกว้างใหญ่ไพศาล ใช้แนวเทือกเขาแบ่งออกเป็นสามส่วน ทุ่งหญ้าที่ขึ้นชื่อและไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปด้านในอยู่ตรงส่วนกลาง บริเวณรอบๆ เนินเขาเป็นสวนป่าหลายแห่งรอบสวนโจว สวนป่าเหล่านั้นเล่าขานกันว่าล้วนแต่เป็นที่อาศัยของโจวตู๋ฟูในปีนั้น สิ่งของมีค่ามีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ที่แห่งนั้นมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนมากจึงมาหาในที่แห่งนี้เป็นลำดับแรก

เหลียงเสี้ยวเซียวเอ่ยกับชีเจียน “สถานที่ที่จะไปนั้นค่อนข้างไกล สิ้นเปลืองเวลาอย่างยิ่ง”

ประโยคของเขามิได้เอ่ยออกมาจนหมด ทว่าชีเจียนเข้าใจ ความจริงแล้วผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างก็เข้าใจความหมายแทบทั้งสิ้น

มองแล้ว พรรคกระบี่เขาหลีซานมั่นใจในข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับสระกระบี่อย่างยิ่ง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าในหลายสิบปีมานี้ บรรดาผู้อาวุโสของเขาหลีซานได้วิเคราะห์บางสิ่งออกมา ทำให้เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนต้องรีบออกไป

อยู่ในสุสานเทียนซู เฉินฉางเซิงมักจะตรวจและรักษาให้กับเจ๋อซิ่ว สำหรับตลับอันนั้น เจ๋อซิ่วจึงคุ้นเคยอย่างยิ่ง ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็เตรียมสิ่งของที่ต้องการเสร็จดีแล้ว

เฉินฉางเซิงไม่ได้สนใจศิษย์พี่ศิษย์น้องของพรรคกระบี่เขาหลีซานว่าจะคิดเช่นไร เมื่อรับสิ่งของเหล่านั้น จึงนั่งยองๆ เริ่มรักษาเจ้าอารามแห่งอารามชิงซวีอย่างเป็นทางการ

เข็มทองแดงเข้าสู่ร่างกาย โลหิตของเจ้าอารามได้หยุดชะงักลงแล้ว เวลานี้เองสิ่งที่ต้องทำก็คือการปิดบาดแผล

เยี่ยเสี่ยวเหลียนอยู่ข้างๆ มองไปแวบหนึ่ง สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นขาวซีด

แม้แต่นักบวชหนุ่มของอารามชิงซวีมือที่ประคองอาจารย์ก็สั่นเทาเล็กน้อย

ในเมื่อเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าจะเป็นการร่ำเรียนในสำนักหรือว่าการต่อสู้ในโลกภายนอก แน่นอนว่าจะต้องพบเจอกับโลหิต แต่กลับพบเห็นภาพที่เข็มธาตุทองทะลุผ่านเนื้อหนังมังสาของคนไปมาน้อยยิ่ง

เมื่อเย็บบาดแผลจากกระบี่ของเจ้าอารามชิงซวีแล้ว ใช้ผ้าสะอาดพันไว้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่เฉินฉางเซิงกลับมิได้เสร็จสิ้นการรักษาของตน ทว่าใช้เข็มโลหะแทงไปที่เส้นลมปราณจุดที่กลางหน้าอกตำแหน่งที่ถูกพลังกระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียวทำให้บาดเจ็บ

เมื่อมองภาพฉากนี้ ท่าทางของผู้คนแปลกประหลาดยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์พี่ถงแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น

สถานศึกษาหนานซีแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงกระทรวงสิบสามชิงเหย้าแห่งจิงตู เป็นสำนักที่เชี่ยวชาญในการรักษาทางด้านการแพทย์ที่สุดในโลกของการฝึกบำเพ็ญเพียร หลายพันปีมาแล้ว ในการต่อสู้ที่ดุเดือดรุนแรงของเผ่ามนุษย์กับเผ่ามาร มักจะเห็นภาพของสตรีที่สวมชุดนักบุญแบบพิธีการสีขาว พวกนางมีบทบาทหน้าที่สำคัญในสนามต่อสู้อย่างยิ่ง

นางคิดไม่ถึง อยู่ในสวนโจววันนี้จะเห็นวิชาการแพทย์ที่ล้ำเลิศเช่นนี้ อีกทั้งชัดเจนยิ่งนักว่าเฉินฉางเซิงมิได้ฝึกฝนวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จากนิกายหลวง

ริมสระน้ำทั่วทั้งผืนเงียบสงบ มีเพียงเสียงของสายน้ำรินไหล และบางครามีเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของเจ้าอารามชิงซวีดังขึ้น

ทุกคนต่างจ้องมองเฉินฉางเซิงไม่วางตา ไม่กล้ารบกวนแม้แต่น้อย

จวงห้วนอวี่ไม่ชื่นชอบภาพที่เห็นขณะนี้ จึงขมวดคิ้วและพยักหน้าให้กับเหลียงเสี้ยวเซียว พลันมุ่งไปยังป่าไม้ที่อยู่เหนือขึ้นไป

เฉินฉางเซิงเหลือบเห็นภาพฉากนี้ ทว่ามิได้ห้ามปรามแต่อย่างใด

เวลาผ่านไปไม่นาน เขามั่นใจว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าอารามแห่งอารามชิงซวีจะไม่เป็นอันตราย จึงยืดตัวขึ้นยืน มองชีเจียนพลางเอ่ยออกมา “ข้าก็จะต้องไปแล้ว ข้าจะคิดหาวิธีหาคนอื่น ก็เหมือนกับที่เจ้าเป็นกังวล พวกเขาอาจจะยังไม่รู้เรื่องราวที่สวนโจวปิด หากต่อสู้กันขึ้นมา เมื่อลงมือก็คงจะไม่เหลือช่องทางให้ถอยหลัง หากต่อสู้กันดุเดือดรุนแรงไร้ที่เปรียบ เช่นนั้นแล้วก็จะเกิดปัญหา ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนเสียชีวิต”

ท่าทางของเหลียงเสี้ยวเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกว่าประโยคนี้ของเขากำลังต่อว่าต่อขานเขาอยู่ กลับมิได้คิดว่าเฉินฉางเซิงกำลังปรึกษาเรื่องราวกันอยู่

ชีเจียนรู้สึกลำบากใจ เอ่ยว่า “พวกเราก็มีเหตุผลที่จำต้องจากไป”

“เข้าใจแล้ว” เฉินฉางเซิงมองไปยังศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์คู่นั้น พลางกล่าวต่อ “จะเป็นไรไหมหากรบกวนให้พวกท่านช่วยดูแลพวกเขาชั่วคราว ข้าก่อนเที่ยงคืนก็คงจะรีบกลับมาทัน”

ศิษย์พี่ถงชะงักงันเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะขอร้องเช่นนี้ออกมา หลังจากครุ่นคิดจึงได้ตอบตกลงออกไป

ก่อนหน้านี้ถูกซุ่มโจมตี ขณะนี้กลับต้องดูแลฝ่ายตรงข้าม ถ้าหากนางมิใช่ลูกศิษย์ของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ ก็คงจะรับไม่ได้เป็นแน่

เฉินฉางเซิงยิ้มเป็นเชิงขอบคุณ และเดินไปยังปากแม่น้ำกับเจ๋อซิ่วอีกครา

แสงอาทิตย์ที่สวยวิจิตรตระการตา ความมืดทึบน่าหวาดกลัวถูกขับให้หายไปจำนวนมาก

……

……

อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของสวนโจว มีสวนป่าอยู่ผืนหนึ่งสร้างติดกับเทือกเขา สวนป่าผืนนี้เป็นของโจวตู๋ฟูหลังจากเข้าสู่วัยกลางคน ชื่นชอบความเงียบสงบและชอบฟังเสียงนกร้อง ด้วยเหตุนี้จึงก่อสร้างขึ้นมา ได้ขนานนามว่าป่าวจีเขตบรรพต

ป่าวจีเขตบรรพตมิใช่สวนป่าที่อยู่ด้านในสวนโจว แต่เป็นส่วนที่อยู่ใกล้กับประตูสวนโจวที่สุด

ประตูสวนโจวที่อยู่ในสวนป่าแห่งนั้น เพราะว่าทุกครั้งที่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเข้าไปในสวน ก่อนอื่นต้องผ่านที่แห่งนี้ก่อน ด้วยเหตุนี้จึงถูกสำรวจมาแล้วหลายต่อหลายครา ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่มาภายหลัง ปรารถนาที่จะเสาะหาสิ่งที่หลงเหลือก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนมากหลังจากเข้ามาในสวนแล้วก็มาถึงยังป่าวจีเขตบรรพตที่นี่ก่อน

ในป่ามีเสียงนกร้องประหนึ่งดีอกดีใจ ในสวนมีเสียงน้ำไหลริน ทางเดินงดงาม ภาพวาดตามกำแพงและที่ตกแต่งบานประตูวิจิตรล้ำเลิศ ตามกฎเหล็กที่คนบนโลกได้ตั้งกันขึ้นมา ในสวนโจวนอกจากศาสตราวิเศษและของสืบทอด สิ่งที่เหลือไม่อาจแตะต้องได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะผ่านไปหลายร้อยปี ที่นี่ยังคงเงียบเชียบดังปีนั้นเจ็ดส่วน และคงสง่างามไว้เก้าส่วน

เพียงแต่ในห้องห้องหนึ่งตรงส่วนลึกของสวนป่าผืนนี้ เวลานี้กลับรู้สึกหวาดกลัวไม่สงบ ไม่ทราบว่าความเงียบเชียบได้ถูกกลิ่นคาวโลหิตกระทบลอยไปแห่งใดเสียแล้ว

มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรสิบกว่าคนในที่แห่งนี้สีหน้าไม่น่าดูยิ่งนัก

มีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรผู้หนึ่งล้มคะมำลงบนพื้น ส่วนท้องถูกกระบี่ทะลุเข้าไป บาดแผลกว้างประมาณห้านิ้วมือ มือซ้ายของเขาปิดอยู่บนนั้น ทว่ากลับไม่อาจห้ามโลหิตให้ไหลรินได้ จนถึงขนาดว่าเห็นลำไส้ถูกบีบออกมา ลมหายใจริบหรี่รอมร่อ แต่มือขวาของเขาที่ถือเส้นตะกั่วที่ถูกเผาจนเหลือเป็นขี้เถ้าไว้นานแล้ว

ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งสีหน้าขาวซีด เอ่ยไม่หยุด “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าคิดว่ากระบวนท่าต้นถงคำราม อย่างมากที่สุดก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ คิดไม่ถึง เขาเวลานั้นลมปราณหยุดนิ่ง กระบี่สุดท้ายแล้วมิได้ยกขึ้น ข้ามิได้ตั้งใจจริงๆ อีกทั้ง…เส้นตะกั่วนี้จุดไฟแล้วเหตุใดยังใช้ไม่ได้!”

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นท้องถูกแทงทะลุ โลหิตไหลไม่หยุด ใช้สายตามองก็คงจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่ สีหน้าของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่อยู่บริเวณรอบๆ ยิ่งนานยิ่งไม่น่ามอง สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายใจก็คือ เหตุใดเส้นตะกั่วถึงไม่มีผล? หรือว่าพวกตนทำได้เพียงแค่มองคนผู้นี้เสียชีวิตไปดื้อๆ?

เวลานี้เอง สตรีที่สวมชุดนักบุญสีขาวจำนวนหนึ่งก็มาถึงยังป่าวจีเขตบรรพต ในสวนมีเสียงร้องตะโกนยินดีและเสียงเป็นห่วงดังขึ้น

มีสตรีผู้หนึ่งมิได้เข้ามาในห้อง นางยืนอยู่บนสะพาน ทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังคล้อยต่ำลงในทุ่งหญ้าไกลออกไป เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด คล้ายกับว่ากำลังพบอะไรบางอย่าง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset