ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 253 แพทย์สองที่ (ตอนกลาง)

แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบบนใบหน้าเรียวเล็กสะอาดสะอ้านแต่กล่าวมิได้ว่าสวยสดงดงาม เพียงชั่วพริบตาดวงตาก็เปลี่ยนเป็นกระจ่างใสหลายเท่าตัว

นางจ้องมองพระอาทิตย์อันไกลโพ้น ครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่พบเจอหลังจากเข้ามาในสวน ในจิตใจรู้แล้วว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

เวลานี้เอง มีสตรีสวมชุดขาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเดินเข้ามา หลังจากมาถึงนางจึงเอ่ยเสียงเบา “คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ศิษย์พี่…”

หญิงสาวพยักหน้า เป็นความหมายว่าให้นางออกไปก่อน จากนั้นตนจะตามออกไป

หญิงสาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าผู้นั้นได้เดินเข้ามาในห้อง มิได้คำนึงว่าลูกศิษย์ของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจะไม่เห็นด้วย ให้ทุกคนรีบออกไป

เวลานี้ หญิงสาวผู้นั้นได้เดินเข้าไปในห้อง หญิงสาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าสองคนกำลังรักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ผู้ได้รับบาดเจ็บมีอาการบาดเจ็บสาหัสเหลือเกิน วิชาการรักษาที่มักจะพบเห็นในพระราชวังหลีก็ยากที่จะใช้การได้ ไม่ว่าพวกนางจะพยายามสักเพียงใด ก็ยังคงไม่อาจจะห้ามโลหิตมิให้รินไหลออกจากช่องท้องได้

เมื่อเห็นการมาถึงของนาง สตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าพลันถอนหายใจโล่งอก รีบหลีกทางให้นาง

หญิงสาวเดินมาถึงยังด้านหน้าของผู้บาดเจ็บ ปราดสายตามอง ยกมือขวาวางบนอากาศระหว่างช่วงท้อง

เห็นเพียงแค่แสงเบาบางที่ออกมาจากฝ่ามือของนาง ราวกับว่าสายน้ำที่กำลังไหลริน ทว่ากลับนุ่มนวลยิ่งกว่าสายน้ำไหล ไหลลงสู่ร่างกายของผู้บาดเจ็บมิขาดสาย

บาดแผลที่มีโลหิตสดไหลรินไม่หยุดของผู้บาดเจ็บจู่ๆ ก็หยุดลง

เวลาต่อมา แสงที่ร่วงมาจากฝ่ามือของหญิงสาวได้เปลี่ยนสี จากสีฟ้าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นมีความสุข ก็เปลี่ยนเป็นสีขาวศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม

ลำแสงสีขาวสะอาดรักษาช่วงท้องของผู้บาดเจ็บ บาดแผลที่น่าหวาดกลัวนั้นค่อยๆ หายสนิทตามระดับความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“สวนโจว…เกิดปัญหาขึ้นแล้ว ข้าสงสัยว่าประตูสวนได้ปิดลงแล้ว อีกชั่วครู่พวกเจ้าให้บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเลือกคนที่วิ่งได้รวดเร็วไปดูที่ประตูเสียหน่อย”

หญิงสาวผู้นั้นยืดตัวลุกขึ้น เอ่ยกับบรรดาสตรีว่า “หลังจากข้าไปแล้ว พวกเจ้าจุดดอกไม้ไฟสองกระบอก เชื่อว่าคนที่อยู่ในหุบเขาและริมแม่น้ำก็คงจะเห็นได้”

ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือว่ากระทรวงสิบสามชิงเหย้า แต่ไหนแต่ไรมาในการต่อสู้ได้ใช้ดอกไม้ไฟเป็นข่าวสาร สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรและกองกำลังของเผ่ามนุษย์แล้ว ดอกไม้ไฟสองกระบอกนี้ก็คือความหวัง เวลานี้ถึงแม้อยู่ในสวนโจว เชื่อว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บในการต่อสู้เหล่านั้น ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรกลับไม่อาจใช้เส้นตะกั่วเพื่อออกจากสวนโจว หลังจากมองเห็นดอกไม้ไฟสองกระบอกนั้น ก็คงจะคิดหาวิธีที่จะมายังป่าวจีเขตบรรพต

สตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าที่มีอายุสูงกว่าบรรดาที่เหลือเล็กน้อย มองนางเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ศิษย์พี่ ท่านจะไปทำอะไร?”

“ข้าจะต้องไปจัดการเรื่องบางอย่าง” หญิงสาวสงบนิ่งเอ่ยออกมา ครั้นแล้วหันกายจากไป

จ้องมองภาพเบื้องหลังของหญิงสาวที่หายเข้าไปในป่า บรรดาสตรีของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด

หลังจากนั้นชั่วครู่ จึงมีคนคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ได้เห็นภาพที่มหัศจรรย์

มีสตรีผู้หนึ่งเอ่ยด้วยความเคารพและเลื่อมใส “นั่นคงจะเป็นวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าศิษย์พี่อายุยังเยาว์วัย กลับสามารถฝึกฝนวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จนถึงระดับนี้ได้ ข้ามองแล้ว แม้แต่อาจารย์ก็คงจะทำมิได้กระมัง”

“ภายหลังถึงจะเป็นวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ แรกเริ่มนั้นคงจะเป็นแสงธรรมชาติของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์”

สตรีที่มีอายุแก่กว่าบรรดาหญิงสาวทั้งหมดคลี่ยิ้มพลางเอ่ยออกมา “ศิษย์พี่นางได้ศึกษาร่ำเรียนอยู่ที่สำนักพวกเราก่อน ภายหลังได้ไปฝึกบำเพ็ญเพียรที่เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เติบโตมาจากทั้งทิศเหนือทิศใต้ ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”

……

……

ความมืดยามราตรีค่อยๆ ล่วงเข้ามา สวนโจวแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงเชิงเขา ยิ่งให้ความรู้สึกหนาวเย็น

ชุดนักบุญสีขาวของกระทรวงสิบสามชิงเหย้าค่อนข้างหนา จึงสามารถกันลมป้องกันความหนาวเย็นได้ หญิงสาวมิได้เป็นกังวลเรื่องเหล่านี้ คล้ายกับว่าเดินเข้าไปในป่าอย่างตามใจ ในความเป็นจริงแล้วนั้นกำลังเสาะแสวงหาผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรที่เข้ามาในสวนโจวก่อนหน้านี้

ความคิดของนาง เฉินฉางเซิง และชีเจียนล้วนเหมือนกัน ไม่ว่าจะมีพละกำลังที่แข็งแกร่งเพียงไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ของสวนโจวได้อย่างแท้จริง ประตูสวนที่ปิดลงไปก็คงจะเป็นเรื่องเพียงแค่ชั่วคราว ทว่าปัญหาอยู่ที่ อยู่ๆ ประตูสวนโจวก็ปิดลง จะนำอันตรายมาสู่ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรหลายร้อยคน อันตรายเหล่านั้นมาจากผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ด้วยกันเอง และมาจากแห่งอื่นด้วย

ที่ด้านหน้าหน้าผา นางพบกับนักเรียนของสำนักเด็ดดาราผู้หนึ่ง นักเรียนผู้นั้นมิได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับผู้อื่น แต่เนื่องจากมีปัญหาขณะขับพลังปราณแท้ จึงตกลงมาจากหน้าผา ร่างกายหลังจากชำระล้างกระดูกก็ไม่อาจทนต่อแรงการต่อสู้ในระดับสูง กระดูกจึงหักอยู่หลายแห่ง ถ้าหากไม่เป็นเพราะว่าพบเจอกับนาง อาจจะต้องรอคอยความตายจริงๆ

ท้องฟ้ายามราตรี ในป่าได้เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบวังเวง ไกลออกไปเห็นลำแสงจากคบไฟเลือนราง มองแล้วคงจะมีผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่ได้พบกับความผิดปกติ มิได้สนใจว่าจะดึงดูดคู่ต่อสู้ให้เข้ามา เพียงแค่คิดว่าจะเสาะหาสหายได้ เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดในสวนโจวต่างก็สามารถเป็นสหายของพวกเขาได้ทั้งสิ้น

หญิงสาวเดินเข้าไปในหมู่คบเพลิงที่ใกล้ที่สุด ชุดนักบุญสีขาวปลิวสะบัดในความมืดยามราตรี

……

……

ภายใต้ความมืดมิดยามราตรีของสวนโจว สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือคบเพลิงวิบวับเหล่านั้น มีเพียงแค่คบเพลิงบางแห่งที่อาจเป็นเพราะว่ามีระยะห่างไกลออกไป จึงยากที่จะมองเห็นได้

เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วเดินออกมาจากป่า เขามองไปยังคบเพลิงที่อยู่เนินเขาไม่ไกลออกไป เอ่ยว่า “เริ่มจากที่ใกล้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน”

เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด เป็นคนรุ่นหลังของเผ่าหมาป่า สิ่งที่เขามิได้ขาดตกบกพร่องก็คือความอดทน

เฉินฉางเซิงคิดถึงจุดนี้ได้ทันที จึงรู้สึกไม่สบายใจและคิดไปถึงเรื่องหนึ่งได้ เอ่ยถามออกไป “ในสวนโจวคงจะยังมีศาสตราวิเศษหลงเหลืออยู่ไม่น้อย เหตุใดเจ้าถึงติดตามข้า มิได้รู้สึกว่าเสียเปรียบหรอกรึ?”

เจ๋อซิ่วกลับถามเขา “เจ้าล่ะ? หรือว่าเจ้ามิได้สนใจการเสียเปรียบเล่า?”

เฉินฉางเซิงกล่าวออกไป “เพียงคิดว่าพรรคกระบี่หลีซานคงจะมีตำแหน่งที่แน่ชัดของสระกระบี่ เมื่อเหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียนกำลังมุ่งไปทางนั้น จนถึงขนาดที่ว่าจวงห้วนอวี่ก็อาจจะตามหาเจอ แน่นอนว่า…ก็สนใจอยู่บ้าง แต่ค่ำคืนนี้จะต้องมีคนจำนวนมากที่ได้รับบาดเจ็บ จนกระทั่งเสียชีวิต ข้าไม่อาจนิ่งดูดายได้”

เจ๋อซิ่งจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา กล่าวถามอย่างจริงจัง “เพราะเหตุใดถึงไม่อาจนิ่งดูดายได้?”

สำหรับหนุ่มน้อยเผ่าหมาป่าที่เติบโตมาจากดินแดนหิมะที่โหดร้าย จิตใจเมตตากรุณาล้วนแต่เป็นจุดอ่อนถึงชีวิต เขาไม่เข้าใจเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจเพราะเหตุใด…ไม่อาจนิ่งดูดายได้

“อ่อนโยนประหนึ่งสตรี?”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิด เอ่ยตอบ “ไม่อาจห้ามใจได้”

เจ๋อซิ่วเงียบนิ่งชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อ “ภาระหน้าที่ของผู้แข็งแกร่ง ก็คือทำให้ตนนั้นยิ่งแข็งแกร่ง เช่นนี้ถึงจะสามารถปกป้องผู้อ่อนแอได้”

เฉินฉางเซิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “…อาจจะเป็นเพราะข้ามิได้มีความรู้สึกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งอะไร ในเมื่อพระราชวังหลีให้ข้าเป็นผู้นำผู้คนเหล่านี้ ข้าก็จะต้องแบกรับหน้าที่เหล่านี้ อีกทั้งคล้ายกับว่าในนี้มีเพียงข้าที่สามารถรักษาได้”

เจ๋อซิ่วมิได้เอ่ยสิ่งใด

เฉินฉางเซิงจึงถามเขา “เจ้ายังมิได้ตอบคำถามข้อแรกสุดของข้า”

เจ๋อซิ่วเอ่ยตอบ “ถังถังได้ออกเงิน ข้าจึงเป็นผู้คุ้มกันของเจ้า”

เฉินฉางเซิงครุ่นคิดไปถึงสหายที่ยังอยู่ในสุสานเทียนซู คิดไปถึงร่มกระดาษทอง เอ่ยอย่างปลงตก “มีเงินช่างดีจริงๆ”

สุดท้ายแล้วเจ๋อซิ่วเอ่ยว่า “อีกทั้งข้ารู้สึกว่า ติดตามเจ้า ข้ามิได้เสียเปรียบ”

ขณะที่สนทนากัน คนทั้งสองมิได้ลดระดับความเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็มาถึงยังเนินเขาลูกนั้น มองเห็นคบเพลิง และก็มองเห็นคนที่อยู่ข้างๆ คบเพลิง

มองจากเสื้อผ้าการแต่งกาย ก็คงจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรของทางทิศใต้สองคน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ถึงออกกระบี่ต่อสู้กันและกัน ผลสุดท้ายแล้วบอบช้ำทั้งสองฝ่าย ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล

สิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงรู้สึกแปลกประหลาดใจก็คือ ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทั้งสองคนของทิศใต้กำลังหลับสบาย บาดแผลที่อยู่ตามร่างกายได้ปิดสนิทแล้ว ถ้าหากมิใช่ร่องรอยด่างพร้อยจากโลหิตบนเสื้อผ้า เดิมทีก็มองไม่ออกว่าได้รับบาดเจ็บ

เขาเดินไปอยู่ด้านหน้าของผู้ฝึกบำเพ็ญของทิศใต้ทั้งสองคน ใช้มือแตะจุดชีพจร อีกทั้งยังเปิดลูกนัยน์ตาของพวกเขาเพื่อตรวจดูให้ละเอียด สุดท้ายเปิดเสื้อผ้าเพื่อดูรอยแผลบนร่างกาย

บาดแผลของคนทั้งสองถึงแม้มิได้ราบเรียบดังแรกเริ่ม แต่ชัดเจนว่ามิได้มีปัญหา อีกทั้งเวลานี้ยังนอนหลับลึกคงจะเข้าสู่ช่วงสงบจิตใจ เพื่อช่วยฟื้นฟูพลัง

“เป็นศิษย์พี่ของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า คงจะใช้กำจรรำลึก”

เฉินฉางเซิงยืดตัวลุกขึ้น กล่าวกับเจ๋อซิ่ว “มีคนคอยช่วยเหลือผู้คนอยู่ พวกเราก็คงจะคลายลงได้บ้าง”

เจ๋อซิ่วสั่นหน้า พลางเอ่ยว่า “มิใช่กระทรวงสิบสามชิงเหย้า”

ท่าทางของเฉินฉางเซิงแปลกใจเล็กน้อย ในใจครุ่นคิดตนนั้นได้ศึกษาท่องคัมภีร์เต๋า เข้าใจทะลุปรุโปร่งในวิธีการของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า บาดแผลของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทิศใต้สามารถสมานได้รวดเร็วเช่นนี้ บริเวณรอบๆ บาดแผลยังหลงเหลือพลังไอศักดิ์สิทธิ์อยู่ ชัดเจนว่าเป็นวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวง เพราะเหตุใดเจ๋อซิ่วถึงกล่าวว่ามิใช่กระทรวงสิบสามชิงเหย้าด้วยเล่า

วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ของนิกายหลวงฝึกฝนได้ยากยิ่ง ดังเช่นที่เขาเห็นระดับของวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ขณะนี้ ถึงแม้จะเป็นในพระราชวังหลี ก็คงมีมุขนายกเพียงสิบกว่าท่านถึงจะฝึกฝนจนใช้ในระดับนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาคิดว่าคนที่ช่วยเหลือทั้งคู่คงค่อนข้างจะมีอายุ เป็นศิษย์พี่ จนถึงขนาดว่าอาจจะเป็นอาจารย์ เพียงแค่ขณะเข้ามาในสวน ตนมิได้จับตาดูแค่นั้น

“การปิดบาดแผลใช้วิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จริง แต่กลิ่นหอมของจิตวิญญาณที่นิ่งเช่นนี้ไม่ถูกต้อง มิใช่กำจรรำลึกของกระทรวงสิบสามชิงเหย้า แต่เป็นละอองทิพย์ของเทือกเขาธิดาศักดิ์สิทธิ์”

เจ๋อซิ่วใบหน้าไร้ความรู้สึกจ้องมองเขาพลางเอ่ยว่า “กลิ่นหอมก่อนหน้านี้ข้าต่างก็เคยสูดดมมาแล้วหลายครา ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้กลิ่น ก็มิเคยลืมเลือน ด้วยเหตุนี้ข้าจำไม่ผิดแน่”

เฉินฉางเซิงถึงคิดได้ เขาไล่ล่าสังหารเผ่ามารอยู่ดินแดนหิมะทางทิศเหนือ ทั้งยังรับหน้าที่เสี่ยงอันตรายแทนกองทัพของต้าโจวอยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้ว่าเดินไปมาระหว่างขอบเหวแห่งความเป็นความตายมากี่คราแล้ว หากจะเอ่ยว่าเข้าใจการรักษาของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์และกระทรวงสิบสามชิงเหย้า ก็คงจะไม่มีคนที่เข้าใจไปมากกว่าเขาแล้ว

“ใช้ทั้งวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ และยังมีละอองทิพย์…คนผู้นี้คือใคร?”

เขาพึมพำต่อตนเอง ในใจครุ่นคิด สามารถเติบโตมาจากทั้งสองได้ คิดดูแล้วก็คงจะเป็นผู้อาวุโสที่เก่งกาจอย่างยิ่ง เพียงแค่ผู้อาวุโสยังหยุดอยู่ที่ขั้นทะลวงอเวจีอย่างนั้นรึ?

เจ๋อซิ่วจ้องมองเขาเงียบนิ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด

เฉินฉางเซิงกล่าวถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าจ้องข้าทำไม?”

เจ๋อซิ่วจ้องนัยน์ตาเขาเขม็ง พลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน จากนั้นจึงเข้าใจ เพียงชั่วครู่ก็มิได้ตะลึงอีกต่อไป

สาเหตุสำคัญที่สุดที่เขาเข้ามาในสวนโจว ก็คือต้องการเจอหญิงสาวผู้หนึ่ง จากนั้นก็จะนำหนังสือหมั้นหมายเพื่อถอนการหมั้นหมายให้แก่นางด้วยมือของตนเอง

เพียงแค่หลังจากเข้ามาในสวนแล้วเกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย จึงทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปสนิท ลืมเลือนว่านางก็อยู่ในสวนโจว

เติบโตมาในพรรคของทางทิศใต้และทิศเหนือ สามารถฝึกฝนวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์จนถึงระดับนี้ ยังมีละอองทิพย์ติดตัวมาด้วยตลอด…หลายปีมานี้ ในดินแดนต้าลู่ก็คงจะมีนางเพียงแค่คนเดียว

เขาเอ่ยกับเจ๋อซิ่วราวกับว่ากำลังทำตัวไม่ถูก “คงจะไม่ใช่หรอก”

เจ๋อซิ่วจ้องมองเขาใบหน้าไร้ความรู้สึกกล่าวตอบ “ใช่”

เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด จ้องมองไปยังหุบเขาในความมืดยามราตรี คิดไปถึงว่าก่อนหน้านี้นางได้ยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ด้านข้างคบเพลิงที่เดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด รู้สึกในจิตใจมีความแปลกประหลาด

“ไปต่อหรือไม่?” เจ๋อซิ่วกล่าวถามออกมา

เฉินฉางเซิงจู่ก็เดินไปยังข้างกายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรทั้งสอง หยิบเข็มทองออกมาลงมือรักษา

เจ๋อซิ่วรู้สึกไม่เข้าใจ ในใจครุ่นคิดสวีโหย่วหรงได้รักษาไปแล้ว เหตุใดเจ้ายังจะต้องรักษาอีกรอบด้วยเล่า?

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset