ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 260 เหตุผลที่เผ่ามารกินมนุษย์ มนุษย์กินมังกร

สัญญาณเมฆสายหนึ่งทะยานออกไป

หลังจากนั้น ริมทะเลสาบก็เงียบเชียบอีกครา

ภรรยาเผ่ามารที่มีนามว่าหลิวหวั่นเอ๋อร์ มองหญิงสาวร่างเปลือยเปล่าที่ถูกเจ๋อซิ่วใช้เล็บแทงเข้าไปในคอหอย พลางตะโกนออกมา “ใต้เท้า ตามที่เจ้ากล่าว เพียงแค่ขยับเล็บเบาๆ ศัตรูก็ได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเราก็ไม่อยากเห็นเจ้าเสียชีวิตเช่นนี้”

นางมองไปยังเฉินฉางเซิง ใบหน้าที่อบอุ่นและรอยยิ้มได้เผยออกมาอีกครา เอ่ยด้วยความจริงใจ “เด็กน้อย เจ้าดูสิ พวกเรามาแลกเปลี่ยนคนกันดีหรือไม่?”

ตามเสียงของนาง บุรุษเผ่ามารที่นามว่าเถิงเสี่ยวหมิงค่อยๆ หมุนกาย นำหาบที่เดิมทีอยู่ข้างหลังย้ายมาไว้ข้างหน้า

เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วสามารถเห็นได้ชัดเจน บนใบหน้าที่สลบของหญิงสาวเผ่ามนุษย์ผู้นั้นยังคงมีคราบน้ำตาหลงเหลืออยู่

ใบหน้าของเจ๋อซิ่วไร้ความรู้สึก ตามความเคยชินของเขา เดิมทีก็มิได้เป็นเรื่องที่มีความหมายต่อการต่อสู้แต่อย่างใด ยิ่งไม่นำตนเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่อันตราย

ไม่ว่าเวลานี้เล็บของเขาที่แทงเข้าไปในร่างกายหญิงงามจะเป็นผู้ใด ทว่าก่อนหน้านี้นางก็ใช้ขนนกยูงจริงๆ เช่นนั้นนี่ก็เป็นเครื่องป้องกันตัวให้กับพวกเขาได้

ส่วนหญิงสาวเผ่ามนุษย์ที่สลบไสลผู้นั้น หรืออาจจะเป็นลูกศิษย์ของพรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก ก็มิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเขา

เฉินฉางเซิงก็ไม่ทำเรื่องที่ไร้ความหมายใดๆ แต่ว่าเขากับเจ๋อซิ่วคิดไม่เหมือนกันตรงที่ เขาคิดว่า ถ้าหากให้หญิงสาวผู้นั้นมีชีวิตต่อไป เรื่องนี้ก็คงจะมีความหมายเป็นแน่

เพียงแค่เขาชัดเจนยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ หรือว่าจะเป็นการเจรจากับเผ่ามาร ตนนั้นมิได้มีประสบการณ์เท่าเจ๋อซิ่ว ด้วยเหตุนี้เขายังคงเงียบนิ่งต่อไป มิได้ไปรบกวนการตัดสินใจจากเจ๋อซิ่ว

“แลกคนแล้ว พวกเจ้าก็สามารถสังหารพวกข้าได้” เจ๋อซิ่วจ้องมองคู่สามีภรรยาเผ่ามารพลางเอ่ยออกมา

หลิวหวั่นเอ๋อร์มองเขาเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าเป็นคนที่จะต้องตายอยู่ในสวนโจว ข้าสาบานต่อบรรพบุรุษได้ แต่เวลาเดียวกันข้าก็สามารถสาบานได้ว่า เพียงแค่เจ้ายินยอมแลกคน ข้าจะให้เวลาเจ้าหนีไปก่อนครึ่งชั่วยาม ถ้าหากไม่ปฏิบัติตามคำสาบาน ขอให้ฟ้าดินลงโทษ”

ท่าทางของเจ๋อซิ่วยังคงไม่เปลี่ยน “คำสาบานของเผ่ามารก็เป็นดังคำสาบานของเผ่ามนุษย์ ล้วนแต่หลอกลวง”

หลิวหวั่นเอ๋อร์กล่าวถามสงบนิ่ง “แล้วจะทำเช่นไรให้เจ้าเชื่อเล่า?”

เจ๋อซิ่วเอ่ยออกมา “ก่อนอื่น เจ้าจะต้องให้พวกเราเชื่อว่า หญิงสาวที่พวกเรากุมตัวอยู่นี้มีฐานะอันใด ถึงให้พวกเจ้าเคารพและสาบานออกมาได้”

หลิวหวั่นเอ๋อร์มองสามีตนเองแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “นางก็คือใต้เท้าหนานเค่อ…”

“ข้าไม่เชื่อ” เจ๋อซิ่วมิได้รั้งรอให้นางเอ่ยจบ เอ่ยตัดบทออกไป “ถ้าหากนางเป็นหนานเค่อจริง ถึงแม้ข้ากับเฉินฉางเซิงจะเตรียมตัวมาดีเพียงใด เมื่อกี้ก็คงจะเสียชีวิตในทะเลสาบไปแล้ว”

คำพูดได้เอ่ยเช่นนี้ ในใจก็มั่นใจว่าเป็นเช่นนี้ แต่เขายังมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ก่อนหน้านี้เขาได้ตรวจสอบศีรษะของหญิงสาวที่ล่อนจ้อนผู้นี้ เพราะเหตุใดถึงมิได้มีเขามาร เป็นหญิงสาวเผ่ามารที่ยิ่งทะนงจนถึงขนาดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับเขาและเฉินฉางเซิงยังกล้าประมาท กลับมิได้มีเขามาร นอกจากหนานเค่อในตำนานที่เล่าขาน แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีกเล่า?

เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าหนานเค่อคือผู้ใด เขาพบว่าเมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ ท่าทางของสองสามีภรรยาเผ่ามารเปลี่ยนเป็นเคารพและระมัดระวัง อีกทั้งลมหายใจของเจ๋อซิ่วยังเปลี่ยนเป็นแปรปรวนเล็กน้อย

“ผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่อยู่ในสวนโจวเหล่านั้น มองแล้วก็คงจะถูกพวกเจ้าวางยาพิษจนเสียชีวิตใช่หรือไม่?”

เขาเห็นกระทะใบใหญ่ที่หลิวหวั่นเอ๋อร์ถือกับหาบที่อยู่บนบ่าของเถิงเสี่ยวหมิง พลันก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

หลิวหวั่นเอ๋อร์มิได้ตอบคำถามเขาโดยตรงมองเขาด้วยความอบอุ่นอีกทั้งเอ่ยออกมาอย่างจริงใจ “ตั้งแต่วินาทีที่พวกเจ้าเข้ามาในสวนโจว พวกข้าก็รู้ตำแหน่งของพวกเจ้า ผู้ที่พวกข้าปรารถนาจะสังหารก็คือพวกเจ้า หลังจากสังหารพวกเจ้าแล้ว พวกข้าก็จะไป ถ้าหากเจ้าอยากจะให้คนเสียชีวิตน้อยลง ไม่ลองร่วมมือกันหน่อยเป็นอย่างไร”

ร่วมมืออย่างนั้นรึ? แล้วจะร่วมมืออย่างไร? ร่วมมือให้เจ้ามาสังหารข้ารึ? ไม่เป็นการฆ่าตัวตายหรอกรึ? ชัดเจนยิ่งนักว่าเป็นเรื่องเหลวไหล นางเอ่ยด้วยความจริงใจ ช่างเป็นความสามารถในการเจรจาที่ไม่อาจอธิบายได้ เฉินฉางเซิงตะลึงงัน เอ่ยว่า “พวกเจ้าเข้ามาในสวนโจว ต้องการสังหารกี่คน? มีเพียงแค่พวกข้าสองคนรึ?”

หลิวหวั่นเอ๋อร์ให้ความรู้สึกว่าหากรู้ก็จะพูด เมื่อพูดก็จะพูดจดหมดเปลือก พลันเอ่ยว่า “ใต้เท้ากุนซือบอกว่า พวกเจ้าเป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ ด้วยนี้จะต้องเสียชีวิต นอกจากพวกเจ้าทั้งสองคน มียังจุดประสงค์อื่น เพียงแค่ไม่สะดวกที่จะบอก”

เฉินฉางเซิงกล่าวออกมา “เจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพมาสองคน…เหลียงเสี้ยวเซียวกับชีเจียน พวกเจ้าจะต้องสังหารเป็นแน่”

หลิวหวั่นเอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยออกมา “มีเหตุผล”

เฉินฉางเซิงยังคงพูดต่อ “ถึงแม้ว่าจะมีคนรุ่นก่อนที่อยู่ขั้นทะลวงอเวจีเข้ามายังสวนโจว แต่อายุของพวกเขาก็มากแล้ว ความหวังในการทะลวงขั้นต่อไปก็มีไม่มาก”

หลิวหวั่นเอ๋อร์พยักหน้าแล้วเอ่ย “ไม่ผิด คนเหล่านี้แก่หงำเหงือกไร้ความสามารถ ไหนเลยใต้เท้ากุนซือจะใส่ใจ”

อยู่ในขั้นทะลวงอเวจี ในโลกของการฝึกบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ล้วนแต่นับว่าเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง เกรงว่าฝึกบำเพ็ญเพียรจนถึงระดับนี้จะใช้เวลามากเสียหน่อย ถึงกับถูกเรียกว่าคนแก่หงำเหงืกไร้ความสามารถเชียวรึ? เฉินฉางเซิงหมดปัญญาที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาต่อไป “ในเมื่อเป้าหมายอยู่ที่คนหนุ่ม ผู้เข้าสอบที่เข้าร่วมการสอบใหญ่ในปีนี้จะต้องเป็นส่วนสำคัญที่พวกเจ้าได้ตรวจสอบไว้แล้ว…เช่นนั้นจวงห้วนอวี่เล่า?”

จงฮุ่ยกับซูม่ออวี๋อยู่ที่สุสานเทียนซู เขาจึงนึกออกเพียงชื่อของจวงห้วนอวี่

“จวงห้วนอวี่คือผู้ใด?” หลิวหวั่นเอ๋อร์ขมวดคิดเล็กน้อย มองไปยังสามีที่อยู่ข้างกาย

เถิงเสี่ยวหมิงกล่าวตอบซื่อๆ “นักเรียนของเหมาชิวอวี่แห่งสำนักเทียนเต้า ไม่เลวเลย”

หลิวหวั่นเอ๋อร์ส่ายหน้าพลางยิ้มออกมา มองไปยังเฉินฉางเซิง “ข้าล้วนแต่จำรายชื่อมิได้ เหตุใดใต้เท้ากุนซือถึงจำได้เล่า”

เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ทำให้ท่านชุดดำในตำนานจดจำได้…ข้าไม่รู้ว่าควรจะเป็นเกียรติหรือว่าหวาดกลัวดี”

หลิวหวั่นเอ๋อร์แสยะยิ้มเอ่ยต่อ “ใต้เท้ากุนซือต้องการสังหารองค์หญิงลั่วลั่ว สุดท้ายแล้วถูกเจ้าทำลายกลางทาง เหตุใดจะลืมเลือนเจ้าได้เล่า?”

เฉินฉางเซิงเงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

“พวกเรารีบแลกเปลี่ยนคนเถอะ” หลิวหวั่นเอ๋อร์มองเขาด้วยท่าทางจริงใจเอ่ยชักจูง “มีเวลาหนีไปอีกครึ่งชั่วยาม อย่างน้อยก็มีชีวิตรอดอีกครึ่งชั่วยาม ถ้าหากพวกข้าไล่ล่าพวกเจ้าตามหนทาง แล้วบังเอิญไปเจอเด็กน้อยอีกสองสามคน ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะมีเวลามีชีวิตยาวนานอีกหน่อย”

“ถ้าหาก…นางเป็นหนานเค่อจริง”

เจ๋อซิ่วจ้องมองหญิงงามเผ่ามารที่หายใจริบหรี่ ใบหน้าไร้ความรู้สึกเอ่ยว่า “เช่นนั้นไม่ว่าบนหาบของเจ้าจะเป็นผู้ใด แล้วจะมีคุณสมบัติอะไรมาแลกกับหนานเค่อเล่า?”

หลิวหวั่นเอ๋อร์เอ่ยว่า “พวกเจ้าก็คงจะคาดเดาได้แล้ว หญิงสาวผู้นี้เป็นลูกศิษย์ของพรรคอินซื่อทางทิศตะวันออก หากเอ่ยถึงฐานะแล้วนั้น ก็อาวุโสพอๆ กันกับสังฆราช หรือว่ายังไม่คุณสมบัติเพียงพออีกรึ?”

เฉินฉางเซิงมิได้เอ่ยสิ่งใด เจ๋อซิ่วเอ่ยขึ้นด้วยความเฉยเมย “ข้าไม่นับถือศาสนา สังฆราชกับข้ามิได้เกี่ยวข้องกัน แลกเปลี่ยนคน ข้าสนใจเพียงแค่ว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม”

หลิวหวั่นเอ๋อร์สีหน้าปกติเอ่ยว่า “ยุติธรรม? มีเหตุผล…พวกเจ้าทำให้เสื้อผ้าของนางฉีกขาดแล้ว หญิงสาวผู้นี้ก็จะมอบให้พวกเจ้าโดยไม่มีเสื้อผ้าเช่นกัน”

เมื่อสิ้นเสียง ก็มิได้เห็นว่านางกระทำสิ่งใด ได้ยินเพียงเสียงฉับๆ เสื้อตัวในบนร่างกายของหญิงงามที่สลบไสลอยู่บนหาบฉีกขาดออกราวกับใยแมงมุม ปลิวสะบัดอยู่กลางท้องฟ้า

เพียงแค่ชั่วครู่ หญิงสาวผู้นั้นก็ร่างกายเปลือยเปล่า เผยให้เห็นเนื้อผิวสีขาวผ่องของฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าเป็นลูกแกะน้อยสีขาวตัวหนึ่งมิปาน

นางกอดหัวเข่าไว้ ร่างงองุ้มอยู่ในตะกร้า ภาพฉากนี้ก่อให้เกิดความดึงดูดที่ยากจะเอ่ยได้

เฉินฉางเซิงหันข้างเล็กน้อย มิได้มองตรงๆ

เจ๋อซิ่วกลับมิได้มีปฏิกิริยาใดๆ จ้องเขม็งมองภาพนั้น คล้ายกับว่ามองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น

สิ่งที่เหมือนกันอยู่ตรงที่ พวกเขาต่างก็สงบนิ่ง มิได้สับสนแม้แต่น้อย

หลิวหวั่นเอ๋อร์ยังคงยิ้มน้อยๆ ท่าทางอบอุ่น ในจิตใจกลับแปรเปลี่ยนเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเชื่องช้า “เพียงแค่ไม่มีเสื้อผ้า…ยังคงไม่ยุติธรรม”

เฉินฉางเซิงคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย เตรียมที่จะห้าม กลับไม่ทันการ

เห็นเพียงแค่แสงมีดที่แวววับ ปรากฏอยู่ริมทะเลสาบ

โลหิตสีแดงสดก็สาดกระเซ็นออกมา!

มือขวาของหญิงสาวที่อยู่ในหาบ ได้ขาดออกจากกัน!

เสียงตุบดังขึ้น มือที่ขาดร่วงหล่นลงสู่พื้น

เถิงเสี่ยวหมิงย่อลงไปเก็บขึ้นมา แล้วเอ่ยกับหลิวหวั่นเอ๋อร์ “มื้อเย็นอยากจะต้มหรือว่าจะทอดดี?”

นี่เป็นสองประโยคที่ขุนพลเผ่ามารผู้นี้ได้เอ่ยออกมาวันนี้

เรื่องที่เอ่ยก็คือกินเนื้อคน

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ ท่าทางของเขายังคงใสซื่อ ราวกับว่ากำลังเอ่ยถึงเรื่องปกติธรรมดา

หลิวเสี่ยวหวั่นหลังจากคิดชั่วครู่จึงเอ่ยออกมา “หรือจะต้มกับน้ำเปล่า ยิ่งหอมกรุ่น”

นางสงบนิ่งอย่างยิ่ง ตามสบายประหนึ่งอยู่ในป่าก่อนหน้านี้ เอ่ยถึงหมูน้ำแดงว่าจะทำอย่างไร มือควรจะจับเนื้ออย่างไร

สีหน้าของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นขาวซีดเล็กน้อย ร่างกายแข็งทื่อ

เจ๋อซิ่วยังคงสงบนิ่ง เขารู้ถึงเรื่องเล่าขานดี เรื่องความโหดเหี้ยมอันโด่งดังของสองสามีภรรยาที่ดูเหมือนจะใสซื่อคู่นี้ดี

อีกทั้งตอนอยู่ในที่ราบหิมะ เขาก็เคยกินเนื้อที่กินไม่ได้มาแล้ว

หลิวเสี่ยวหวั่นยิ้มพลางเอ่ยออกมา “พวกเจ้าดูก่อน ตอนนี้ยุติธรรมหรือไม่?”

เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วตัดมือของหญิงสาวที่งดงามผู้นั้นขาดไปข้างหนึ่ง

เวลานี้สองสามีภรรยาเผ่ามารคู่นี้ก็ได้ตัดมือของหญิงสาวเผ่ามนุษย์ออกข้างหนึ่ง

ราวกับว่ายุติธรรมอย่างยิ่ง

ในสายตาของเฉินฉางเซิง เดิมทีภรรยาเผ่ามารผู้นี้มีใบหน้ายิ้มแย้มที่จริงใจน่าใกล้ชิด พลันได้เปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

เขากำลังจ้องมองนาง เงียบนิ่งชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่กินเนื้อมนุษย์ได้หรือไม่?”

หลิวเสี่ยวหวั่นชะงักงัน นางคิดไปหลากหลายอย่าง ว่าหนุ่มน้อยสองคนนี้จะรับมือกับภาพนี้อย่างไร หรือว่าสะกดกลั้นความกลัวแล้วเอ่ยว่าไม่กลัว อาจจะอาเจียนออกมา อาจจะจ้องมองด้วยความเลือดเย็น ทว่ากลับมิได้คิดมาก่อนว่าเฉินฉางเซิงจะมีท่าทางที่จริงจัง เกลี้ยกล่อมให้ตน…ไม่ต้องกินเนื้อมนุษย์

นางมองออกว่าเฉินฉางเซิงจริงจังยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บนโลกใบนี้มีความจริงจังบางอย่าง ที่คู่ควรให้ยกย่อง

นางจ้องมองเฉินฉางเซิงแล้วเอ่ยถาม “พวกเจ้ากินเนื้อหรือไม่?”

เฉินฉางเซิงกล่าวตอบ “กิน”

นางเอ่ยออกมา “เป็ดไก่เล่า?”

เจ๋อซิ่วพลันโพล่งออกมา “ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง”

หลิวเสี่ยวหวั่นแสยะยิ้ม “พวกข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเผ่ามนุษย์ เพราะเหตุใดถึงไม่อาจนำพวกเจ้ามาเป็นอาหารได้เล่า?”

เฉินฉางเซิงตอบว่า “พวกเราล้วนแต่มีสติปัญญา มีภาษา สามารถสนทนากันได้”

หลิวเสี่ยวหวั่นจ้องมองดวงตาของเขา เอ่ยออกมาด้วยความจริงจังยิ่งนัก “แต่เผ่ามนุษย์ของพวกเจ้าเคยกินเนื้อมังกร”

เฉินฉางเซิงเงียบกริบ เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามีคนเคยกินเนื้อมังกร

เวลานี้เอง เขารับรู้ถึงด้ามกระบี่สั้นที่สั่นเท่าเล็กน้อย

“ข้าเป็นมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเกลี้ยกล่อมเจ้าไม่กินเนื้อมนุษย์”

เขาเงียบนิ่งชั่วครู่จึงเอ่ยต่อ “ถ้าหากข้าเป็นมังกร แน่นอนว่าก็จะยับยั้งมิให้เผ่ามนุษย์กินเนื้อมังกร”

“ด้วยเหตุนี้สุดท้ายแล้วก็เป็นปัญหาของจุดยืน” หลิวเสี่ยวหวั่นเอ่ยพลางยิ้มออกมาน้อยๆ

เฉินฉางเซิงสั่นศีรษะ “ข้าไม่กินมังกรที่สามารถพูดคุยได้ ไม่ว่าจะมีประโยชน์เพียงใด…ข้าคิดว่า คนที่กินเนื้อมังกรผู้นั้น ก็อาจจะนับได้ว่ามิใช่มนุษย์…อย่างน้อยก็ในความเห็นของข้า”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลิวเสี่ยวหวั่นเงียบนิ่งชั่วครู่ ตะโกนออกไป “เช่นนั้น คนผู้นั้นก็มิใช่มนุษย์แล้ว”

ขุนพลมารยี่สิบสามที่คล้ายกับเป็นแม่บ้านกำลังรำลึกถึงเรื่องราวความหลัง เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วสบตากัน

หลังจากนั้น เฉินฉางเซิงถอยหลังหนึ่งก้าว

หนุ่มน้อยทั้งสองไหล่ชนกัน

และภายหลัง มือขวาของเฉินฉางเซิงกุมกระบี่สั้น ย้ายมาไว้ข้างหลัง

เงาสีดำละเอียดอย่างยิ่ง ออกมาจากง่ามนิ้วของเขา

…………………..

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset