ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 268 ตกไปในเงาของอาทิตย์อัสดง

ช่วงระยะเวลาสุดท้ายได้มาถึงแล้ว ทางออกที่ซุกซ่อนเอาไว้มิได้มีความหมายใดๆ เฉินฉางเซิงจึงไม่ลังเลที่จะนั่งถอดจิตสำรวจตนเอง จุดไฟเผาพื้นหิมะที่หลงเหลือผืนสุดท้ายนั้นขึ้นมา

แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาไม่ให้พลังจิตไปสัมผัสกับแดนลี้ลับที่อยู่ตรงน้ำทะเลสาบผืนนั้น

พื้นหิมะเพียงชั่วพริบตาก็แผดเผาโหมกระหน่ำ เพิ่มเสริมพลังปราณแท้ของเขาไม่ขาดสาย

ย่างก้าวหยั่งเทวาได้เริ่มขึ้น

ร่างกายของเขาทันใดนั้นหายอยู่ตรงหน้าชายป่า ปรากฏขึ้นยังที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงได้หายไปอีกครา แล้วได้ปรากฏอีกครา เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย ดุจภูตผีดั่งเงาควัน

แต่ระดับความเร็วของลำแสงแท้จริงแล้วรวดเร็วเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะปรากฏอยู่แห่งใด เวลาต่อมาก็จะประจันหน้ากับลำแสงสายนั้น

เสียงกระบี่แหลมคมทะลวงอากาศดังขึ้นต่อเนื่อง สายลมที่ริมทะเลสาบกับเสียงที่มาจากทะเลสาบ ถูกฟาดฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

มีโลหิตสดสาดกระเซ็นออกมาบ่อยครั้ง ราวกับดอกไม้มิก็ปาน อย่างไรก็ตามเมื่อโลหิตร่วงหล่นยังพื้นดิน คนที่ต่อสู้กันก่อนหน้านี้ ก็ปรากฏร่างขึ้นอีกครั้งในสถานที่ห่างไกลออกไปหลายสิบจั้ง

โลหิตที่สาดกระเซ็น มีบางคราที่เป็นสีเขียว บางคราเป็นสีแดง

หลังจากร่างกายของเฉินฉางเซิงอาบโลหิตมังกร แท้จริงแล้วแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ การต่อสู้จนถึงตอนนี้ ร่า’กายภายนอกมิได้มีรอยบาดแผลใดๆ

เพียงแค่ ถึงแม้จะมีการป้องกันจากร่มกระดาษทอง เขายังถูกพิษขนนกยูงของหญิงสาวทั้งสองโจมตีหลายครา แรงกำลังนั้นแฝงเร้นน่าเกรงกลัว ผ่านทะลุมายังผิวหนังของเขา เข้าไปยังอวัยวะภายใน นำมาสิ่งการบาดเจ็บภายในอย่างแสนสาหัส สองคราที่เขาเกือบจะกระอักโลหิตออกมา ทว่าล้วนแต่ถูกเขากลืนกลับลงไป

ทว่าเขาก็วางแผนจะทำสิ่งที่เสี่ยงอันตราย เคลื่อนพลังปราณแท้ทั้งหมดมาอยู่ที่กระบี่ การป้องกันของร่มกระดาษทองมีช่องโหว่ ทำให้เขาถูกโจมตีต่อเนื่อง ไม่อาจต้านทานได้ทั้งหมดอีกต่อไป ขณะนี้จึงมีโลหิตไหลซึมออกมาจากริมฝีปากของเขา

ไร้แรงที่จะถือคันร่มได้อีก ร่มกระดาษทองจึงไร้ความหมาย เขาไม่คิดที่จะนำศาสตราวิเศษล้ำค่านี้มอบให้แก่ศัตรู จิตใจจึงสั่นไหลเล็กน้อย ได้ยินเพียงแค่เสียงโลหะถูกกระทบและเสียดสี ร่มกระดาษทองพลันจึงหุบลง กลายเป็นลูกโลหะมีเกล็ดดังเดิม จากนั้นจึงหายจากฝ่ามือของเขาไป

เขามิได้พลิกข้อมือจับกระบี่ กลับถือไปเช่นนี้ตามสบาย มองแล้วคล้ายกับว่าเป็นหนุ่มน้อยที่ถือสุรากลับบ้านมิปาน

ดวงอาทิตย์ยิ่งนานยิ่งคล้อยต่ำลง ระดับอุณหภูมิยิ่งนานยิ่งลดลง พระอาทิตย์ตกในทุ่งหญ้าที่ห่างไกล นำพาความอบอุ่นสุดท้ายให้แก่น้ำในทะเลสาบ พัดพาสายลมสุดท้ายพัดผ่านมายังบนใบหน้าของเขา

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดโลหิตตรงริมฝีปากให้สะอาดสะอ้าน จากนั้นจึงเก็บกลับที่เดิม ผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใด

ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้เอง สายลมยังคงสัมผัสใกล้ชิดกับโลหิต นำมาซึ่งกลิ่นบางอย่าง

มิใช่กลิ่นคาวของโลหิต แต่ว่าเป็นกลิ่นที่แปลกประหลาด

เหลียงเสี้ยวเซียวยืนอยู่ด้านหน้าป่าไม้ กระบี่เหยียดตรงคอยท่าอยู่ก่อนแล้ว ยืนอยู่ห่างเล็กน้อยเนื่องจากป้องกันเฉินฉางเซิงใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาเพื่อเข้ามาในป่า

หญิงสาวทั้งสองคนเป็นแม่มด ประสาทสัมผัสทั้งห้าเฉียบแหลมว่องไว อีกทั้งยังอยู่ด้านหน้าเฉินฉางเซิงใกล้อย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงได้กลิ่นชนิดนี้

มิใช่กลิ่นคาวโลหิตจริงๆ และก็มิใช่กลิ่นหวานละมุน อีกทั้งมิใช่กลิ่นเหล็กหล่อในค่ำคืนฤดูหนาว แต่เป็น…กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง

กลิ่นนี้เบาบาง ราวกับกลิ่นกล้วยไม้ในป่าลึก ทว่ากลับหอมยิ่งนัก ราวกับว่าดอกกล้วยไม้ป่าอยู่ตรงหน้าของพวกนาง

กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของผลไม้ที่สว่างใสแวววาวซึ่งปล่อยไอพลังปราณออกมาคล้ายกับกำลังค่อยๆ สุกงอม และก็เหมือนกับหุบเขาที่สูงตระหง่าน อยู่ในสายลมเทือกเขาพัดพาความสดชื่น และคล้ายกับว่าให้ความรู้สึกยามพระอาทิตย์กำลังขึ้นส่องกระทบเข้ากับก้อนหินที่อยู่บนหาดทราย กลิ่นนี้สลับซับซ้อนไร้สิ่งใดเปรียบ ทว่ากลับบริสุทธิ์อย่างยิ่ง บริสุทธิ์งดงามยิ่ง ทว่ากลับสะอาดสะอ้านสมบูรณ์แบบ

เมื่อหลายปีก่อนค่ำคืนนั้น กลิ่นนี้เคยทำให้สัตว์วิเศษนับไม่ถ้วนที่อยู่ในเมฆหมอกด้านหลังของเมืองซีหนิงไม่สงบสุข

หนึ่งปีก่อน กลิ่นนี้เคยทำให้หญิงสาวที่อยู่ติดกับสำนักฝึกหลวงแอบปีนกำแพงเข้ามา

นอกจากค่ำคืนที่จุดดาวโชคชะตาคืนนั้นแล้ว กลิ่นชนิดนี้มิได้ปรากฏออกมาจากร่างกายของเฉินฉางเซิงนานแล้ว ไม่ว่าเขามีโลหิตรินไหลอยู่ในการสอบใหญ่ หรือว่าเมื่อสลบไสลอยู่ที่พื้นข้างใต้ อย่างไรก็ตาม หลังจากชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ในสุสานเทียนซู กลิ่นชนิดนี้ก็ปรากฏใหม่อีกครา ในช่วงเวลาที่สำคัญของเขา

ยิ่งใกล้กับธรรมชาติ ชีวิตที่มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์ก็สามารถได้กลิ่นชนิดนี้ อีกทั้งยังไม่อาจปฏิเสธที่จะเข้าใกล้ได้

ลั่วลั่วที่มีสายเลือดพรสวรรค์ของจักรพรรดิขาวล้วนแต่แสดงออกมาเช่นนี้ หญิงสาวที่มีร่างกายเป็นจิตวิญญาณจะยับยั้งได้อย่างไร

เพียงแค่ชั่วครู่ พวกนางก็มึนเมา ลุ่มหลง ราวกับว่ากลับไปยังมหาสมุทรดอกไม้เมื่อยามแรกเกิด

ระดับการกระพือปีกแสงด้านหลังของพวกนางค่อยๆ เปลี่ยนเป็นช้าลง คล้ายกับว่าอ่อนโยนไร้สิ่งใดเปรียบ ไหนเลยจะมีพละกำลังสักครึ่งหนึ่งประคองตัวอยู่ท่ามกลางสายลม

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะหลบหนี

เหลียงเสี้ยวเซียวไม่ได้กลิ่นนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีสติ ระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา และพบเจอความผิดปกติที่อยู่ริมทะเลสาบอย่างความเร็ว ท่าทางหวาดกลัว กระบี่เย็นหลุดร่วงจากมือไป กระบี่เขาหลีซานที่เกรียงไกร พลันออกกระบวนท่าที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งที่สุดในเพลงกระบี่หน้าผาเหล็กสามกระบวนท่าต่อ ก่อเกิดเป็นม่านกั้นระหว่างเฉินฉางเซิงกับน้ำในทะเลสาบที่ยากจะหลบหลีกไปได้ร

เขาหวังว่าการยับยั้งครานี้จะทำให้หญิงสาวทั้งสองฟื้นสติกลับมาเป็นปกติทันท่วงที

เขามั่นใจยิ่งนัก ถึงแม้เฉินฉางเซิงจะเข้าใจเคล็ดลับวิชากระบี่เขาหลีซานเพียงใด ย่างก้าวหยั่งเทวาจะเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจคาดเดาได้อย่างไร ก็ไม่อาจทะลวงผ่านสามกระบวนท่าหน้าผาเหล็กในระยะเวลาสั้นๆ ไปได้

ทว่าเฉินฉางเซิงมิได้ใช้ย่างก้าวหยั่งเทวา

แรงลมและพลังกระบี่ริมทะเลสาบก่อเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่!

แขวนดวงสุริยันของกระบี่เวิ่นสุ่ยสามกระบวนท่า!

เขาพลิกกลับกระบวนท่า ใช้กระบี่เป็นคน คนเป็นกระบี่ เหวี่ยงร่างกายของตนไปยังกลางอากาศ

ขณะนี้ พระอาทิตย์เป็นสีแดงผ่องอำไพ กำลังแขวนอยู่ทางทิศตะวันออกของฟากฟ้า

บนพื้นของทะเลสาบได้เปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ ยังมีพระอาทิตย์ดวงหนึ่ง

เฉินฉางเซิงทะลวงออกไปกลางอากาศ ข้ามผ่านพลังกระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียว ทะยานไปยังด้านบน จากนั้นร่วงหล่นบนพื้นผิวทะเลสาบ

เขาร่วงหล่นไปยังพื้นผิวทะเลสาบตรงเงาของพระอาทิตย์!

คลื่นน้ำสาดกระเซ็นไปโดยรอบ!

หญิงสาวทั้งสองสะดุ้งตัวตื่นขึ้น ในดวงตายังคงมีความงุนงงหลงเหลือ ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เวลาต่อความงุนงงได้กลายเป็นความโกรธแค้น!

ในที่สุดก็จะสามารถสังหารหนุ่มน้อยที่ยากจับตัวได้อยู่เบื้องหน้าแท้ๆ เหตุใดถึงให้เขาหนีไปได้!

ปีกแสงจึงเริ่มกระพือขึ้นอีกครา ริมทะเลสาบเกิดเสียงที่ทำให้แสบแก้วหู

แสงสายหนึ่งพุ่งไปยังใจกลางทะเลสาบ จากนั้นหมุนตัวกลางอากาศฉับพลัน แล้วดำดิ่งลงไปในน้ำ

……

……

เวลาใกล้จะพลบค่ำ มีเงาสะท้อนของพระอาทิตย์ตกอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ เดิมทีก็ไม่อาจส่งผลกระทบในบริเวณที่กว้างเกินไป เมื่อยามกลางวันน้ำในทะเลสาบใสเป็นประกาย ขณะนี้ได้กลายเป็นมืดมิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณน้ำทะเลสาบที่ลึกยิ่งมืดมิด ยากที่จะมองเห็นสิ่งใดได้ ราวกับว่าเป็นน้ำหมึกก็มิปาน มีเพียงแค่ที่ไกลออกไปคล้ายกับว่ามีแสงสว่างยิ่งนานยิ่งสะดุดตา

เฉินฉางเซิงแกว่งขาทั้งคู่ พยายามแหวกว่ายไปยังแสงสว่างสายนั้นสุดชีวิต เขาจำได้แม่นยำ นั่นเป็นทางที่เขากับเจ๋อซิ่วผ่านเข้ามา

ทว่าว่ายไปยังไม่ถึงสิบกว่าจั้ง ด้านหลังของเขาก็มีแรงดันน้ำลูกใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามา

เขาไม่ต้องหันกลับไปมอง ก็รู้ว่าหญิงสาวทั้งสองได้ไล่ตามมาแล้ว

ปีกแสงกระพือปีกด้วยความเร็วในน้ำทะเลสาบส่วนลึก ประหนึ่งไม้พายที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขับเคลื่อนร่างกายของหญิงสาวทั้งสอง ทะลวงออกมาเป็นเส้นสายน้ำที่ชัดเจน มุ่งไปยังเขา

น้ำทะเลสาบถูกกวนเป็นคลื่นใหญ่ ดุจดังน้ำที่เดือดพล่านอย่างไรอย่างนั้น

เฉินฉางเซิงรู้ดีว่าว่ายไปยังที่แสงสว่างแห่งนั้นไม่ทัน จึงหันกายในน้ำ กระบี่สั้นอยู่ในมือ ขาทั้งคู่กวัดแกว่งด้วยความเร็ว ยังคงรักษาท่วงท่าในการว่ายกลับ เวลาเดียวกันก็เตรียมรับการมาถึงของคู่ต่อสู้

ลำแสงอ่อนโยนเปล่งประกายในน้ำทะเลสาบ หญิงสาวทั้งสอง คนหนึ่งร่างกายเปลือยเปล่า อีกคนหนึ่งสวมชุดลายกระบี่รัดแน่น มองแล้วราวกับเป็นปลาสีขาวสองตัว ปีกแสงที่แผ่นหลังส่องแสงไปรอบๆ เป็นแสงสีฟ้าส่องสว่าง งดงามยิ่งนัก ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดที่จะชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้

เส้นน้ำขยายออกมาเบื้องหน้าเขาด้วยความเร็วไม่หยุด

เฉินฉางเซิงกุมกระบี่แทงเข้าไป คิดไม่ถึงหญิงสาวที่มีท่าทางสง่าผ่าเผยจะโกรธแค้นจริงๆ จนไม่ยอมหลบหลีก เขานำกระบี่แทงไปยังบริเวณที่อยู่เหนือหน้าอกขึ้นไป เวลาเดียวกันมือทั้งคู่ราวกับเป็นแม่กุญแจที่คล้องพันธนาการเข้ากับมือของเขา เกือบจะเป็นเวลาเดียวกันหญิงสาวอีกคนก็พันเข้ามา เป็นการพันจริงๆ มือทั้งสองกอดแขนซ้ายเขา ขาทั้งคู่คีบเอวเขาไว้แน่น

ปีกแสงทั้งสองค่อยๆ หุบลง ราวกับว่าเป็นเปลือกหอยก็มิปาน

เฉินฉางเซิงถูกปิดอยู่ในปีกแสง ซึ่งอยู่ติดกับหญิงสาวทั้งสอง

ถ้าหากมิใช่การต่อสู้ชี้ความเป็นตาย อาศัยภาพนี้ก็อธิบายได้ชัดเจนอย่างยิ่ง

อยู่ใกล้เพียงแค่หนึ่งฉื่อ

พวกเขาต่างจ้องหน้ากันและกัน ใบหน้าที่อยู่ในน้ำทะเลสาบได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย

หญิงสาวที่สง่าผ่าเผยผู้นั้น ท่าทางเมินเฉย

หญิงสาวที่งดงาม ในดวงตาเผยให้เห็นความรู้สึกหยอกล้อและขออภัยออกมา

ส่วนลึกของน้ำทะเลสาบยิ่งนานยิ่งมืด ก้นทะเลสาบก็เป็นเช่นนี้ ดุจดังหุบเหว ราวกับว่าเป็นเวลากลางคืน

เขาไม่คุ้นเคยที่สุดก็คือเข้าสู่ห้วงความมืดมิดยามราตรี

มีเพียงแค่ปีกแสงคู่นั้นที่ยังคงเปล่งลำแสงออกมา

ความหนาวเย็นในน้ำทะเลสาบ ภายใต้ความตายของความมืดมิด เบื้องหน้าของเฉินฉางเซิงเปลี่ยนเป็นเลือนราง

เขารู้ดีว่าไม่อาจเสี่ยงทำเรื่องนั้นได้อีก มิเช่นนั้นแล้วเมื่อยามสติปัญญาเลือนราง เกรงว่าจะเสียใจ

ขณะนี้สิ่งที่เขาเสียใจก็คือไม่ควรให้มังกรดำไป ถึงแม้มันไม่อาจช่วยในการต่อสู้ แต่อยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ก็จะต้องมีวิธีบางอย่างเป็นแน่

เวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังกระบี่

พลังกระบี่สายนั้นน้อยนิด ทว่าชัดเจนยิ่งนัก

เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนที่จะมาถึงยังที่แห่งนี้ เมื่อยืนอยู่ริมสระผืนนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังกระบี่สายหนึ่ง

ก็คือพลังกระบี่สายนี้หรือ?

……

……

พลังกระบี่หน้าผาเหล็กริมทะเลสาบค่อยๆ หายไป

จ้องมองพื้นทะเลสาบที่กลับมาสงบดังเดิมอีกครา เหลียงเสี้ยวเซียวเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

ตั้งแต่เข้ามายังพรรคกระบี่เขาหลีซานจนกระทั่งขณะนี้ ชีวิตของเขาประสบความสำเร็จอย่างมิต้องสงสัย

แต่ช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ สำหรับเขาแล้วคงจะอยู่ได้ไม่นาน เป็นช่วงเวลาที่กระบี่ของเขาแทงเข้าไปที่หน้าท้องของชีเจียน

แน่นอนว่าเป็นช่วงเวลาที่เสียใจที่สุด

แล้วช่วงเวลาที่ล้มเหลวที่สุดคือเมื่อไหร่?

เมื่อก่อนเขาคิดว่าคือช่วงเวลาที่มายังเขาหลีซานแล้วพบเจอกับศิษย์พี่ใหญ่

เพราะว่านับตั้งแต่ตอนนั้น เขารู้ดีว่าทั้งชีวิตของตนก็ไม่อาจสู้ศิษย์พี่ใหญ่ได้

แต่ขณะนี้ เขามิได้คิดเช่นนั้นอีกต่อไป

ช่วงเวลาที่เขาล้มเหลวที่สุดในชีวิต บางที อาจจะเป็นทุกช่วงเวลาที่ได้เจอกับเฉินฉางเซิง

ดีว่าคนผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว

เหลียงเสี้ยวเซียวเก็บกระบี่เข้าฝัก หันกายกลับไปยังป่าไม้ด้านหลังทะเลสาบ ครุ่นคิดเงียบนิ่ง เพียงแค่สังหารทุกคนที่มายังริมทะเลสาบ เช่นนั้นเรื่องราวในสวนโจวครานี้ก็นับว่าสำเร็จ

เงาร่างกายที่อยู่ในป่าได้จากไปนานแล้ว ระดับความเร็วนั้นรวดเร็วยิ่งนัก สมกับเป็นการวิ่งจริงๆ แต่ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสวนโจวที่กว้างใหญ่ไพศาลโลกทะเลสาบทางนี้เล็กอย่างยิ่ง แล้วเขาจะวิ่งไปถึงแห่งไหนกัน

ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็ตามหาคนผู้นั้นเจอ

จวงห้วนอวี่เดิมทีมิได้ถูกเรียกขานว่าเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมสง่าผ่าเผย อยู่ที่จิงตูชื่อเสียงส่วนใหญ่มาจากพรสวรรค์การฝึกบำเพ็ญเพียร แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ถูกมองว่าเป็นคนเรียบง่ายคนหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วเขาเป็นความภาคภูมิใจของสำนักเทียนเต้า ถึงแม้จะปฏิบัติตัวเรียบง่าย ทว่าสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังมิได้มีข้อบกพร่องเสียมารยาทใดๆ

แต่เขาเวลานี้ กลับจนตรอกอย่างยิ่ง เสื้อผ้าบนร่างกายล้วนแต่มีรอยขาดที่ถูกกิ่งไม้เกาะเกี่ยว บนใบหน้ายังมีเศษหญ้าเกาะติด และรองเท้าได้หายไปข้างหนึ่ง

อีกทั้งเขายังเสียมารยาทอย่างยิ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset