ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 269 โชคชะตาที่ผ่านมากับโชคชะตาปัจจุบัน (ตอนต้น)

จวงห้วนอวี่เห็นสัญญาณเมฆทะลวงแหวกอากาศออกไป รู้จักสัญญาณเมฆสายนั้นดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงรีบไปยังทะเลสาบ จากนั้นจึงเห็นเหตุการณ์วางแผนลอบสังหารที่วางแผนมายาวนานของเผ่ามาร

อย่างไรก็ตามตั้งแต่แรกเริ่มถึงสุดท้าย เขามิได้ปรากฏตัว และก็มิได้ลงมือ

เมื่อแรกเริ่ม เขาลงมือไม่ทันจริงๆ ทว่าเมื่อกระบี่ของเหลียงเสี้ยวเซียวได้ทำให้เจ๋อซิ่วบาดเจ็บก่อน จากนั้นจึงทำให้ชีเจียนบาดเจ็บ…เขาจึงไม่กล้าลงมือ

แต่เวลานั้น เขายังคงมีความกล้าหาญ เพราะว่าสองสามีภรรยาเผ่ามารคู่นั้นได้จากไปแล้ว

เฉินฉางเซิงสามารถต้านทานได้เป็นเวลายาวนาน เพราะว่าปรารถนาจะให้ความกล้าหาญแก่เขา ตั้งแต่แรกเริ่มเหลียงเสี้ยวเซียวมิได้เข้าสู่การต่อสู้นี้อย่างสมบูรณ์ และเป็นการเตือนเขาอยู่กลายๆ

สำหรับขั้นตอนบางอย่างแล้ว เขาก็นับว่ามีประโยชน์

ปัญหาอยู่ตรงที่ตั้งแต่แรกเริ่มเขาไม่อาจรวบรวมความกล้าแล้วพุ่งทะยานออกไปยังทะเลสาบ อีกทั้งเมื่อเฉินฉางเซิงไม่อาจต้านทานต่อไปได้ ความกล้าหาญของเขาพลันมลายหายไป

เขาจึงหันกายเดินออกไป แล้วเริ่มวิ่ง

นี่ เป็นเรื่องที่เสียมารยาทจริงๆ

“ข้าได้อ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์ป้ายที่สามในสุสานเทียนซู ได้ทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว!”

มือขวาของเขาถือกระบี่ของสำนักเทียนเต้า มือซ้ายถือศาสตราวิเศษชิ้นหนึ่ง มองไปยังเหลียงเสี้ยวเซียวที่ยืนบังอยู่ด้านหน้า เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าขาวซีด “ข้าบรรลุขั้นทะลวงอเวจี! ข้าไม่กลัวเจ้า!”

เขาเคยเป็นหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์อยู่ในประกาศชิงอวิ๋น ถึงแม้จะมิได้อยู่อันดับเหนือกว่าเหลียงเสี้ยวเซียว แต่ในสายตาของคนบนโลกใบนี้ก็มีชื่อเสียงเท่ากับเจ็ดคำโคลงแดนเทพ

เขาในเวลานี้ หน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น สภาพจิตใจสับสนว้าวุ่น มิได้มีท่าทางของหนุ่มน้อยผู้มีพรสวรรค์แม้แต่ครึ่งหนึ่ง

เหลียงเสี้ยวเซียวกล่าวว่า “เจ้าสามารถออกกระบี่ได้”

บนโลกใบนี้ถึงแม้คนที่กลับเนื้อกลับตัวจะล้ำค่ามากกว่าทอง ก็มิได้มีผู้ใดกลับตัวได้รวดเร็วยิ่งนัก

ถึงแม้จะมีเรื่องที่คิดถึงความละอายแล้วมีความกล้าหาญอยู่จริง ก็มีคนจำนวนน้อยที่ใช้เวลาน้อยนิดมองสิ่งเล็กๆ ภายใต้เสื้อผ้าของตนได้ชัดเจน จากนั้นจึงแสดงกล้าหาญออกมาอีกครา

กระบี่ในมือของจวงห้วนอวี่สั่นเทาเล็กน้อย ก็เหมือนกับเสียงของเขา แม้แต่จะถือก็ยังไม่ไหว แล้วจะแทงออกไปได้อย่างไร?

“เจ้าก็รู้ว่าบิดาข้าคือผู้ใด” จวงห้วนอวี่ยั้งสติไม่อยู่ตะโกนออกไป “หากเจ้ากล้าสังหารข้า ก็จะพบเจอเพียงคำว่าตายคำเดียว!”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขาถึงจะเข้าใจ หนุ่มน้อยที่อยู่เบื้องหน้าแม้แต่เผ่ามารล้วนแต่กล้าหักหลัง แม้แต่ลูกศิษย์ที่สำคัญของเขาหลีซานล้วนแต่กล้าสังหาร ตนจะขู่ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไร

คิดมาถึงจุดนี้ สุดท้ายแล้วเขาจึงโกรธขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

ใบหน้าเหลียงเสี้ยวเซียวไร้ความรู้สึก ในจิตใจก็คิดเงียบๆ เช่นนั้นมีผู้ใดรู้หรือไม่ว่าบิดาข้าคือผู้ใด?

จวงห้วนอวี่เห็นเขามิได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ยิ่งทำให้ไม่สบายใจ เสียงสั่นเทาเอ่ยออกมา “ถ้าหากต้องการบังคับข้าจริงๆ มากสุดพวกเราก็กลับไปยังจุดแรกเริ่ม”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ เขามิได้ยกกระบี่ขึ้น กลับยกศาสตราวิเศษในมือซ้ายขึ้น

สายตาของเหลียงเสี้ยวเซียวร่วงหล่นบนศาสตราวิเศษนั้น ท่าทางเปลี่ยนไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเป็นหินหยกหนึ่งในเจ็ดศาสตราวิเศษของสำนักเทียนเต้า!

สิ่งที่พบนี้ทำให้เขาเหนือความคาดหมาย

คนผู้นี้พกศาสตราวิเศษที่แข็งแกร่งติดตัวมาด้วย ก่อนหน้านี้หากประสานพลังกับเฉินฉางเซิง ไม่แน่อาจจะนำพาการเปลี่ยนแปลงที่คิดไม่ถึงก็เป็นได้

“คิดไม่ถึงว่ารองเจ้าสำนักจวงจะรักใคร่บุตรชายผู้นี้ จนมิได้คำนึงถึงกฎสำนัก แอบนำศาสตราวิเศษล้ำค่าเช่นนี้มอบให้แก่เจ้า”

เขาจ้องมองจวงห้วนอวี่เอ่ยเสียงเรียบต่อ “ถ้าหากเรื่องนี้ได้แพร่งพรายออกไป เจ้าคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเล่า?”

จวงห้วนอวี่หัวใจเย็นวาบ กล่าวออกมา “แล้วจะเป็นเช่นไร? ยังร้ายแรงมากกว่าความตายอย่างนั้นรึ?”

เหลียงเสี้ยวเซียวเอ่ยตอบ “เบาะแสของสระกระบี่ มองแล้วคงจะเป็นรองเจ้าสำนักจวงค้นพบ เขามิได้บอกแก่เหมาชิวอวี่ และก็มิได้รายงานให้แก่พระราชวังหลี แอบบอกให้แก่เจ้าเพียงคนเดียว นี่เป็นความผิดเรื่องใด? สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ก่อนหน้านี้เจ้ามิได้ออกไปช่วยเฉินฉางเซิง นี่เป็นความผิดเรื่องใด? ข้าคิดแล้ว ถึงแม้เจ้าจะออกจากสวนโจว เกรงว่าสถานการณ์ก็คงจะเลวร้ายกว่าความตายเป็นแน่”

สีหน้าของจวงห้วนอวี่ขาวซีด ไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด เหลียงเสี้ยวเซียวหันหน้ากลับไปมองพื้นผิวที่สงบของทะเลสาบ หลังจากเงียบนิ่งชั่วครู่ จู่ๆ จึงเอ่ยออกมา “เฉินฉางเซิงเสียชีวิตแล้ว เจ๋อซิ่วกับชีเจียนก็จะต้องเสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้ มีเพียงแค่เจ้า”

จวงห้วนอวี่เข้าใจความหมายของเขาเลือนราง กลับไม่อยากจะเชื่อ อีกทั้ง…ความต้องการของฝ่ายตรงข้าม เลยผ่านระดับที่เขาจะรับได้อย่างสิ้นเชิง

“เจ้าต้องการให้ข้าเป็นเหมือนเจ้าอย่างนั้นรึ?” บนใบหน้าขาวซีดของเขาปรากฏเลือดฝาดข้างแก้มทั้งสอง กลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโมโหหรือว่าสาเหตุอื่น ดังเช่นความอับอาย

เหลียงเสี้ยวเซียวมองเขาเงียบนิ่ง เอ่ยออกมา “นอกจากเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะมีเหตุผลอื่นปล่อยเจ้าไปอีกรึ?”

ลมหายใจของจวงห้วนอวี่เปลี่ยนเป็นกระชั้นชิดขึ้น ยังคงไม่เข้าใจสาเหตุที่แท้จริงว่าคือความโมโห อับอาย หรือว่าตึงเครียดกันแน่ ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย “นี่…แท้จริงแล้วเพราะเหตุใด?”

คำถามนี้เขาถามตนเอง และก็ถามเหลียงเสี้ยวเซียว ชีเจียนถามคำถามนี้แล้ว เฉินฉางเซิงก็เคยถามมาแล้ว เหลียงเสี้ยวเซียวมิได้ตอบมาตลอด เวลานี้ก็ไม่ต้องสงสัย เขาจ้องมองไปยังแสงสุริยันสุดท้ายทางฟากฝั่งทะเลสาบ ในใจครุ่นคิดโลกใบนี้เหตุใดถึงมีเหตุใดมากมายเช่นนี้?

……

……

บริเวณรอบนอกของสวนโจวเป็นป่าเขาสุดลูกหูลูกตา จากนั้นก็มีเนินเขา แนวสันเขาที่ใหญ่โตสามทางนำไปสู่เขตทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอยู่ใจกลางพื้นที่ หุบเขาอัสดงเป็นเทือกเขาที่อยู่ตรงกลางและสูงที่สุด มีหน้าผาสูงชัน มันแวววาวราวกับใบมีด สันเขาที่สูงพันลี้มีเพียงหนทางเดียวที่จะขึ้นไป สูงและเต็มไปด้วยภยันตราย

หญิงสาวที่สวมชุดนักบุญผู้นั้น เดินไปยังเส้นทางที่สูงและเต็มไปด้วยอันตรายเส้นนี้ สองข้างทางของนางล้วนแต่เป็นฟากฟ้า ราวกับว่านางเดินทางอยู่บนท้องฟ้า ชุดสีขาวราวกับว่าเป็นก้อนเมฆที่กำลังเคลื่อนไหว

ถ้าหากนางยังเดินไปข้างหน้าต่อ เช่นนั้นก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่จะเดินไปยังส่วนที่อยู่ปลายสุดของหุบเขาอัสดง และก็เป็นยอดเขาที่มีชื่อของหุบเขาอัสดง อยู่ตรงนั้น นางสามารถมองเห็นภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินที่ทุ่งหญ้า สามารถมองเห็นภาพส่วนใหญ่ของสวนโจว แต่ว่าวันนี้ นางจะต้องเจอกับผู้เฒ่าดีดพิณก่อน และยังมีหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาเฉยเมยผู้นั้น

นางไม่รู้ว่าผู้เฒ่าและหญิงสาวคู่นั้นกำลังรอคอยตน นางจึงเดินไปยังทิศทางที่พระอาทิตย์ตกต่อไป

มังกรดำบินได้สูงกว่า ด้วยเหตุนี้จึงเห็นนางที่กำลังเดินอยู่บนทางเทือกเขา และก็เห็นหญิงสาวที่กำลังรอคอยอยู่ตรงสันเขา วิธีการของมันหลุดออกจากแผนการที่เฉินฉางเซิงวางไว้ แต่ว่าเวลานี้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้ มันตัดสินใจที่จะบอกเตือนแก่หญิงสาวชุดขาว อย่างไรก็ตามเวลานี้ ปลายยอดของหุบเขาอัสดงถูกแสงสายัณห์ปกคลุม อยู่ๆ ก็มีเสียงพิณบรรเลง เสียงพิณนี้ดังกังวานแปลกประหลาด ทว่ากลับยาวนานอย่างยิ่ง เพียงแค่พริบตาก็ไปไกลหลายสิบลี้

หญิงสาวชุดขาวหยุดย่างก้าว เอียงศีรษะเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังเงี่ยหูฟังอยู่ งดงามแต่มิใช่รอยยิ้มที่เผยอยู่บนแก้มที่งดงามเป็นพิเศษ นางมิได้ระวังตัว กลับยิ่งเหมือนเป็นการสนุกเพลิดเพลิน

เสียงพิณไม่ได้หยุดลง ดังประหนึ่งน้ำไหล ต่อเนื่องกันราวกับเสียงกลอน นั่นเป็นท่วงทำนองที่ครึกครื้นร่าเริง ดุจดังบทกวีต้อนรับการกลับมาของพลทหาร ราวกับเป็นนายพรานที่ล่าสัตว์ได้

ถ้าหากได้รับการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็จะจุดคบเพลิงกองใหญ่ตรงทุ่งหญ้า นำอาหารย่างอยู่บนกองไฟให้น้ำมันไหลออกมา มีกลิ่นหอมเย้ายวนทำให้สัตว์ดุร้ายในป่าเหล่านั้นน้ำลายไหล

มังกรดำมองไปทางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ตามสัญชาตญาณ มันชัดเจนยิ่งนัก ในทุ่งหญ้าที่สูงใหญ่เท่ากับมนุษย์เหล่านั้นมีสัตว์ดุร้ายซุกซ่อนอยู่จำนวนมาก หลังจากนั้น มันมองเห็นบริเวณทุ่งหญ้าเผาไหม้ด้านข้าง นั่นเป็นแสงและพลังความร้อนของพระอาทิตย์ตกดิน ดุจดังไฟที่สุมอยู่กลางแจ้งกองหนึ่ง

ถึงแม้เวลาจะล่วงเลยไปเชื่องช้า แต่เมื่อล่วงเลยจุดที่วิกฤต กลับมุ่งไปทางนั้นทันที มิได้เตรียมใจแต่อย่างใด พระอาทิตย์ร่วงหล่นลงสู่เส้นขอบฟ้า ความมืดมิดยามราตรีได้คืบคลานมาเยือน

ไม่มีพระอาทิตย์มิได้หมายความว่าจะไม่มีแสง เพียงแค่ท้องฟ้ากับพื้นดินมืดสลัวลงไปมาก ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนนั้น แม้แต่มันก็ไม่อาจมองเห็นฝั่งสิ้นสุด กลายเป็นมหาสมุทรมืดมิดผืนหนึ่ง มองไปยังมหาสมุทรทุ่งหญ้า มังกรดำถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ในลมหายใจเต็มไปด้วยความหมายบางประการ จิตใจกลับกำลังหวนคิดถึง เพราะว่าทำให้มันคิดถึงบ้านเกิด ความมืดมิได้หมายถึงความหนาวเหน็บ ถึงแม้มันจะเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง แต่ก็ชื่นชอบความอบอุ่น บ้านเกิดแห่งนั้นคือน้ำมหาสมุทรอบอุ่นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ พระอาทิตย์ที่แผดเผาแรงกล้าทำให้อุณหภูมิของน้ำเหมือนกับน้ำที่ใช้อาบ ทรายบนเกาะเหล่านั้นระยิบระยับประหนึ่งเศษเงินตรา…

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ทำให้นางหลุดออกมาเป็นวิญญาณ กักขังอยู่ในคทาหยก ให้นางติดตามเฉินฉางเซิงเข้ามาในสวนโจว แล้วรายงานสถานการณ์ของเขาแก่นาง สำหรับความหมายบางประการแล้ว นางก็ยังเป็นนักโทษ สถานที่กุมขังนางเปลี่ยนจากข้างใต้พระราชวังหลีมาเป็นคทาหยกด้ามเล็กๆ พลังที่ผูกมัดนางก็มิใช่เงาโซ่ตรวนแห่งความตายอีกต่อไป นางยังคงต้องเผชิญต่อจิตใจที่ตกต่ำ การหลอกลวงนำมาซึ่งแรงกดดันภายในจิตใจ ไม่ว่าจะมองอย่างไร การท่องเที่ยวครานี้ล้วนแต่มิใช่งานที่ดีแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหลังจากนางติดตามเฉินฉางเซิงออกมาจากจิงตู นางจึงพบกับเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ออกมาจากโลกเหน็บหนาวโดดเดี่ยวข้างใต้แห่งนั้น มองเห็นวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนเป็นไม่คุ้นเคย เห็นคนจำนวนมาก เผ่าปีศาจที่เคยเป็นอาหาร สิ่งเหล่านี้ทำให้นางยินดีอย่างไรที่เปรียบ จนขนาดที่ว่าลืมเลือนเรื่องราวจำนวนมาก จนกระทั่งเวลานี้ ในที่สุดนางจึงคิดไปถึงบ้านเกิดของตน

ไม่อาจไปถึงล้วนแต่เรียกว่าไกลโพ้นรึ? สำหรับมังกรแล้ว ไม่มีสถานที่แห่งใดบนโลกใบนี้ที่จะไปไม่ถึง สิ่งที่เรียกว่ากลับไม่ได้นั่นเรียกว่าบ้านเกิดรึ? ใช่แล้ว บ้านเกิดยังจะกลับไปอีกได้หรือ?

นางจ้องมองทุ่งหญ้าที่มืดครึ้มราวกับมหาสมุทร คิดไปถึงมหาสมุทรดุจดังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลโพ้นทางทิศใต้ คิดไปถึงบ้านเกิด คิดถึงบิดา คิดเรื่องราวมากมาย จากนั้นจึงเริ่มเสียใจ

ไม่เหมือนกับเรื่องเล่าขานที่ว่าเผ่ามังกรมีชีวิตอยู่บนถ้ำยอดเขามีเมฆหมอกปกคลุม เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาฉลาดหลักแหลมที่สุด แล้วจะชื่นชอบอยู่ในสถานที่มืดครึ้มชื้นเย็นได้อย่างไร เผ่ามังกรชื่นชอบสายลมพัดผ่านป่าไม้ หาดทรายสีเงิน มหาสมุทรสีคราม พระอาทิตย์กับสายลม และยังมีตำหนัก

เมื่อกล่าวจากจุดนี้ สิ่งมีชีวิตใดๆ วิวัฒนาการไปสู่สภาพที่สูงสุด ล้วนแต่แตกต่างกันไม่มาก เผ่ามารไม่ลืมเลือนที่จะบุกโจมตีทางทิศใต้ สังหารเผ่ามนุษย์ให้สิ้นซาก ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่

เผ่ามังกรมีชีวิตอยู่ในมหาสมุทรลึก น้ำในมหาสมุทรตรงนั้นอบอุ่นอย่างยิ่ง

ที่นั่นก็คือบ้านเกิดของมังกรดำ

เผ่ามังกรล้วนแต่มีสายเลือดที่สูงส่ง และก็มีชีวิตที่แข็งแกร่ง ทว่าไม่เหมือนกับมังกรยักษ์ทองคำที่เป็นผู้นำ มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งหยิ่งทระนงมากกว่า ลักษณะนิสัยเยือกเย็นอย่างยิ่ง ชอบปลีกตัวออกจากกลุ่มอยู่ลำพัง เดิมทีมิได้มีความยินดีที่จะสนทนาต่อสหายอื่น หากเปลี่ยนคำกล่าวแล้วนั้น ก็คือ เย็นชาอย่างยิ่ง

หลายปีก่อน ผู้นำเผ่ามังกร มังกรยักษ์ทองคำไม่รู้เพราะสาเหตุอันใด จึงหายสาบสูญไปจากต้าลู่ เป็นธรรมดาที่มังกรยักษ์น้ำค้างแข็งจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำเผ่ามังกร

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เพียงแค่บิดาของนางพยักหน้า ก็จะกลายเป็นผู้นำของเผ่ามังกร แต่ว่าบิดาของนางไม่ยินยอม รู้สึกว่าเป็นการรบกวน จึงออกจากมหาสมุทรทิศใต้เพียงลำพัง แล้วมาเยือนต้าลู่อีกครา

……

……

เสียงพิณยังคงต่อเนื่อง ราวกับกวักมือเรียก ราวกับหวนรำลึก ดุจดังสายลมเหนือที่ราบหิมะในปีนั้น

มังกรดำมองไปยังทุ่งหญ้ามืดครึ้ม มองไปยังหุบเขาอัสดง จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าความเจ็บปวดมาจากแห่งใด นัยน์ตาปริ่มไปด้วยน้ำตา ด้วยเหตุนี้ท้องฟ้าของสวนโจวราวกับมีสายฝนห่าเล็กๆ ตกลงมา

เวลานี้นางเป็นเพียงแค่วิญญาณออกจากร่าง ระดับความแข็งแกร่งของจิตใจมิได้แข็งแกร่งเท่ากับอยู่ในร่างกาย จึงถูกเสียงพิณสัมผัสเข้ากับวิญญาณ อีกทั้ง…นางไม่อยากต่อต้าน

เพราะว่าเสียงพิณทำให้นางคิดเรื่องราวในอดีต ทำให้นางได้เห็นบิดาที่จากบ้านเกิดมาแล้ว

บิดาของนางเมื่อพันปีก่อนเป็นมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งที่แข็งแกร่งที่สุด ดำสนิทยิ่งกว่าความมืดยามราตรี ลมหายใจก็คือกระบี่น้ำค้างแข็งหมื่นลี้ แข็งแกร่งจนถึงระดับที่ยากจะจินตนาการได้

บิดาของนางพบกับคนผู้หนึ่ง

คนผู้นั้นถือมีดเล่มใหญ่ราวกับว่าสามารถแบ่งท้องฟ้าได้

บิดาของนางไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานมีดเล่มนี้ได้

มีดเล่มนั้นคล้ายกับว่าสามารถแบ่งสรรพสิ่งที่อยู่ด้านหน้าออกเป็นสองท่อน

ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าการต่อสู้ใหญ่ครานั้นเกิดขึ้นในสวนโจว

คนผู้นั้นคือเจ้าของสวนโจว

มีดเล่มนั้นแบ่งท้องฟ้าได้จริงๆ บนท้องฟ้าสีครามปรากฏรอยมีดที่ชัดเจนหนึ่งเส้น

ตามกาลเวลาที่ผ่านล่วงเลย รอยมีดค่อยๆ จางหาย ทว่าร่องรอยที่อยู่บนทุ่งหญ้า กลับแปลกประหลาดเพิ่มมากขึ้น

ท้องฟ้าขาดจากกัน สีดำสนิทยิ่งกว่าความมืดยามราตรีก็ขาดออกเป็นสองท่อน

บิดาของนางร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า ร่างกายมังกรที่ใหญ่โตเปลี่ยนเป็นแนวเทือกเขา

เทือกเขาแห่งนั้นอยู่ข้างใต้พระอาทิตย์ ราวกับว่าจะแผดเผา แนวเทือกเขาด้านหน้าสุดก็คือยอดเทือกเขาที่เย่อหยิ่ง นั่นเป็นศีรษะของมังกร ทุ่งหญ้าก็แผดเผา สีแดงของทุ่งหญ้าเหล่านั้น ประหนึ่งโลหิตของมังกรที่ลายพร้อย

ในที่สุดมังกรดำเข้าใจแล้วว่าปีนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น เพราะเหตุใดบิดาถึงไปแล้วไม่หวนกลับ

นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นพลันเยือกเย็น เปลี่ยนเป็นเกล็ดหิมะ

เผ่ามนุษย์ จะอย่างไรก็คือเผ่ามนุษย์

เผ่ามนุษย์ที่ไร้ยางอาย เผ่ามนุษย์ที่เลือดเย็น

นางมองไปยังหญิงสาวชุดขาวบนทางเดินตามลำพัง คิดด้วยความเย็นชา ไปตายเสียเถอะ

……

……

สองข้างทางล้วนแต่เป็นหน้าผาที่สูงชันอย่างยิ่ง หินผาที่มีแสงสว่างมองแล้วแวววาวยิ่งนัก สิ่งที่ยิ่งน่าหวาดกลัวก็คือ บันไดหินสามารถจุได้เพียงแค่คนเดียว ไม่รู้ว่าปีนั้นเป็นผู้ใดที่ทำขึ้นมา

สายลมของที่นี่พัดรุนแรงกว่าพื้นดินมาก และก็หนาวเย็นกว่า เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง เนื่องจากเทือกเขาที่สูงชะลูด ก้อนเมฆที่อยู่บริเวณหน้าผา กลับไม่อาจเกาะรวมเป็นรูปร่าง ถูกสายลมพัดผ่านให้เป็นเส้นๆ

ได้ยินเสียงพิณที่ล้ำเลิศและแอบแฝงความหมายลึกซึ้ง สิ่งที่หญิงสาวชุดขาวคิดและเห็นล้วนแต่เป็นของทั่วไปอย่างยิ่ง ดังเช่นขนมสายไหมของหมู่บ้านเล็กๆ ต้นหลิวใต้สะพานเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากบ้านมีใยฝ้ายห้อยอยู่ อีกทั้งเมื่อเยาว์วัยเพิ่งเข้ากระทรวงสิบสามชิงเหย้า ไม่เคยชินกับผ้าห่มที่ทั้งหนักและมีราคา เท้าทั้งคู่จึงถีบออก ผลปรากฏว่าผ้าห่มขาด ในหอพักล้วนแต่เต็มไปด้วยไส้ในใยฝ้ายปลิวว่อน

คิดไปถึงเรื่องราวนั้นในอดีต นางจึงยิ้มออกมา ริมฝีปากเผยอขึ้น จากนั้นใบหน้าที่เรียบธรรมดาพลันเปลี่ยนเป็นสว่างขึ้น แม้แต่เส้นทางบนภูเขาที่เงียบสงัดต่างก็อบอุ่นขึ้นมา

ตามเสียงพิณ นางเดินไปยังเบื้องหน้าต่อ

บนทางเดินยอดหน้าผา คาดไม่ถึงว่าจะมีต้นไม้

นางเดินไปใต้ต้นไม้ เพื่อพักเหนื่อย

เพราะว่าสาเหตุของสภาพแวดล้อม ต้นไม้ต้นนี้จึงไม่มีใบไม้หลงเหลือ มีเพียงแค่กิ่งก้านโล้นๆ เข้ากับหน้าผาทั้งสองข้างอย่างยิ่ง ราวกับว่าผสมกลมกลืนไปในเทือกเขา มิแปลกที่ก่อนหน้านี้มองไม่เห็น

นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เช็ดลำคออย่างจริงจัง

ยอดเทือกเขาที่เหน็บหนาวเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่หยุดพัก กล่าวตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรจะมีเหงื่อไหล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่มีพรสวรรค์ในการฝึกบำเพ็ญเพียร ทว่าเมื่อเก็บผ้าเช็ดหน้า คิดไม่ถึงว่าจะเปียกชุ่มจริงๆ

มองร่องรอยความเปียกชื้นบนผ้าเช็ดหน้า นางสั่นศีรษะ จากนั้นจึงยิ้มออกมา

เดิมทีตนก็ตื่นเต้นเป็น

เก็บผ้าเช็ดหน้าเรียบร้อยแล้ว นางพิงต้นไม้เงียบๆ มิได้เดินต่อ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset