ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 271 โชคชะตาที่ผ่านมากับโชคชะตาปัจจุบัน (ตอนปลาย)

คนชุดดำมองเขาแล้วกล่าวขึ้นมา น้ำเสียงที่ดังทะลุผ่านหมวกราวกับเป็นเสียงสายลมอันเหน็บหนาวพัดที่ข้างใต้ก้นเหวลึก “เจ้าเตรียมที่จะบ้าคลั่งแล้วรึ?”

ซูหลีเงียบนิ่งชั่วครู่ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอีกครา เอ่ยว่า “เป็นห่วงแล้วจะทำอย่างไรได้? คลุ้มคลั่งแล้วจะเกิดประโยชน์อันใด? ตอนนี้ข้ากำลังคิดหาวิธีที่จะให้ตนมีชีวิตรอดแล้วออกจากที่นี่ ข้าต้องมีชีวิต นางถึงจะมีชีวิตอยู่ ถ้าหากทำไม่ได้ เวลานั้นค่อยบ้าคลั่งก็ยังมิสาย”

คนชุดดำเงียบนิ่งไร้คำเอื้อนเอ่ย เขาชัดเจนยิ่งนัก ประโยคนี้มิใช่เป็นการข่มขู่ แต่เป็นเพียงการออกความเห็นอย่างแท้จริง ถ้าหากคืนนี้ซูหลีสามารถหลุดรอดแผนลอบสังหารที่เผ่ามารวางแผนมาอย่างยาวนานไปได้ เช่นนั้นถ้าหากบุตรสาวของเขาเสียชีวิตในสวนโจว เขาจะต้องคลุ้มคลั่งครั้งใหญ่เป็นแน่ ถึงแม้จะเป็นราชามารก็คงไม่ปรารถนาจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ที่สับสนวุ่นวายเหล่านี้

“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่ต้องกังวลสิ่งใด” ซูหลีมองขึ้นไปยังท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดแล้วเอ่ยว่า “เพียงแค่ข้าไม่เสียชีวิต พวกเจ้าจะมีผู้ใดกล้าสังหารนาง?”

คนชุดดำยิ้มออกมา กล่าวว่า “กล่าวตามเหตุผล ที่จริงก็เป็นเช่นนี้ แต่เจ้าก็รู้ บางคราข้าก็ทำเรื่องที่ไร้เหตุผล”

ซูหลีชักสายตากลับ มองเขาเงียบๆ เอ่ยว่า “เจ้าเป็นคนที่ลึกลับที่สุดบนโลกใบนี้ และก็เป็นคนที่มีสติปัญญาที่สุด ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกระทำเรื่องที่ไร้ปัญญา”

คนชุดดำเอ่ยอธิบายสงบนิ่ง “เพราะว่าข้าได้ให้สัญญากับผู้อื่นไว้ บุตรสาวของเจ้าจะต้องตาย ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องตาย”

ซูหลีสังเกตได้ว่าประโยคของเขาพูดถึงผู้อื่น เป็นคนผู้หนึ่ง

“ผู้ใด?”

คนชุดดำมิได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ กล่าวด้วยเสียงเนิบนาบ “ปีนั้นพรรคฉางเซิงกักขังคนที่เจ้ารักสุดหัวใจไว้ในสระน้ำเย็นจนเสียชีวิต หลังจากเจ้ากลับมาจากหนานไห่ เมื่อทราบเรื่องเข้า ก็ทะลวงกระบี่โกรธแค้นไปยังพรรคฉางเซิง เพียงแค่ค่ำคืนเดียวก็ฟาดฟันผู้อาวุโสไปทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน…เรื่องนี้ผู้ใดต่างทราบดี แต่ไม่ว่าจะเป็นคนของพรรคกระบี่เขาหลีซาน เทพธิดาทางทิศใต้ หรือสังฆราช รวมถึงแม่นางเทียนไห่ ล้วนแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด เพราะว่าเจ้าโกรธแค้นมีเหตุผล อีกทั้งเมื่อเจ้าคลุ้มคลั่ง พวกเขาก็ไม่อาจจัดการได้ จึงทำได้เพียงว่าเรื่องนี้มิได้เกิดขึ้น”

ซูหลีคิดถึงเรื่องราวในปีนั้น ท่าทางมิได้เปลี่ยนไป ใบหน้ากลับปรากฏความอ้างว้างออกมา

คนชุดดำเอ่ยต่อ “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ ผู้แข็งแกร่งจริงๆ มิได้กล่าวสิ่งใด พยายามลืมเลือนเรื่องราวนั้น กลับมีคนที่อ่อนแอไม่อาจลืมเลือนเรื่องนี้ ครุ่นคิดที่จะเอ่ยมาตลอด คนที่ถูกเจ้าสังหารเหล่านั้น พวกเขาก็มีคนรุ่นหลัง คนที่เจ้าสังหารเหล่านั้นล้วนแต่เป็นที่รักใคร่สุดหัวใจของผู้อื่นเช่นกัน”

ซูหลีหลังจากเงียบนิ่ง จู่ๆ จึงเอ่ยออกมา “เจ้าไม่จำเป็นต้องรักษาคำสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมนุษย์ผู้หนึ่ง”

วาจาได้เอ่ยออกไปเช่นนี้ อุณหภูมิบนที่ราบหิมะได้เปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน

ความหนาวเย็น แฝงไปด้วยการขับเคลื่อนที่ชะงักงัน หมายถึงความเร็วของกระบี่ที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าหลายเท่าตัว

และยังหมายถึง ชีวิตของบุตรสาวอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกคุกคามอย่างร้ายแรง ซูหลีมีวิธีการเจรจาต่อรองจนถึงขนาดว่าประนีประนอม

สำหรับอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง การกระทำที่แฝงไปด้วยความประนีประนอมเช่นนี้ นับว่าเป็นการยอมถอยอย่างยิ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามมิได้เตรียมที่จะมาเจรจาต่อรองกับเขา

“ในเมื่อเป็นคนคิดวางแผนการ ข้าเข้าใจความสำคัญในการรักษาสัญญามากกว่าผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำสัญญาของเผ่ามนุษย์ เพียงเท่านี้ ข้าถึงจะทำให้เผ่ามนุษย์ที่ยิ่งมายิ่งมากเชื่อข้า หากกล่าวในอีกความหมายหนึ่งก็คือ การให้คำมั่นสัญญาของข้าล้ำค่าอย่างยิ่ง เพราะว่าจะต้องทำให้สำเร็จ อีกทั้งยังหมายความว่าดินแดนเสวี่ยเหล่ากำลังเชื้อเชิญทั่วทั้งใต้หล้า”

คนชุดดำจ้องมองเขาเอ่ยสงบออกมา “แน่นอน เรื่องสำคัญที่สุดก็คือสังหารเจ้า คนเสียชีวิตไปแล้วก็ไม่อาจคลุ้มคลั่งได้”

ละอองหิมะยังคงล่องลอยต่อเนื่อง ความหนาวเหน็บยามราตรีกลับมาเป็นปกติ เงาของขุนพลเผ่ามารดุจดังเทือกเขาเล็กๆ หยุดอยู่ข้างนอกเชื่องช้า

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงคำรามของกระบี่ดังชัดเจน

ซูหลียื่นมือไปตบฝักกระบี่ แขนเสื้อปลิวไสวเล็กน้อย ได้ยินเพียงแค่เสียงคำรามกระบี่จากขอบฟ้าดังเปรี้ยงออกมา กระบี่ก็กลับเข้าไปในฝัก เอ่ยมิได้ว่าสง่าผ่าเผยเพียงใด

เงาสีดำด้านนอกโคลงเคลงเล็กน้อย ประหนึ่งเทือกเขาที่กำลังจะพังทลายลงมา อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ยังคงทรงตัวอยู่ได้ ในมือของเขาถือเพียงแค่หอกเหล็กเย็นด้ามนั้น เมื่อเสียงเปรี้ยงดังขึ้น ก็หักเป็นสองท่อนจากตรงกลาง

ซูหลีเก็บกระบี่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน ใช้พลังทำให้ศาสตราวิเศษของขุนพลมารอันดับเจ็ดหัก เรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนไม่อาจอธิบายได้จริงๆ

ขุนพลมารผู้นั้นมิได้เผยความรู้สึกตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด อีกทั้งยังมิได้โมโห เขาเฉยเมยอย่างยิ่ง พลางเอ่ยว่า “ซูหลี วันนี้เจ้าจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่แล้ว”

ซูหลีมองไปทางคนชุดดำ เอ่ยถามเขาอย่างจริงจัง “วันนี้ข้าจะต้องเสียชีวิตจริงๆ รึ?”

คนชุดดำเอ่ยออกมา “ใช่แล้ว พวกเราทำการอนุมานมาแล้วทั้งหมดสามสิบเจ็ดครั้ง เจ้าจะต้องเสียชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ซูหลีเงียบนิ่งเป็นเวลานาน

เขาอยากจะได้ยินคำตอบของคนชุดดำ เพราะว่าเขาเชื่อคำตอบของคนชุดดำ ทว่านี่มิใช่คำตอบที่เขาปรารถนาจะได้ยิน

ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ หรือคู่สามีภรรยาเมืองไป๋ตี้ ไม่ว่าพวกเขาจะยินยอมหรือไม่ล้วนแต่จะต้องยอมรับในเรื่องเรื่องหนึ่ง

หลังจากหวังจือเช่อค่อยๆ หายไป คนที่ถนัดในคิดคำนวณการวางแผนที่สุดในดินแดนต้าลู่ ก็คือท่านกุนซือเผ่ามารที่อำพรางตัวตนภายใต้ชุดสีดำผู้นี้

แผนการที่คนชุดดำจัดการขึ้นมา น้อยมากที่จะล้มเหลว แผนการที่เขาเข้าร่วมด้วยตนเอง แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีปัญหามาก่อน

คิดไปถึงปีนั้น จักรพรรดิไท่จงนำขบวนผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่ถ้วน อาชาเหล็กหนึ่งล้านตัว มุ่งไปยังทิศเหนือต่อสู้กับเผ่ามาร สุดท้ายแล้วทำได้เพียงแค่อยู่ด้านนอกเมืองเสวี่ยเหล่าก็ถอยทัพกลับ คนผู้นี้เป็นบุคคลที่สร้างคุณูปการให้แก่เผ่ามารมากที่สุด

เป็นเวลาหลายร้อยปี คนชุดดำมิได้จัดการสังหารผู้แข็งแกร่งเผ่ามนุษย์ จนกระทั่งถึงขณะนี้

เขาต้องการสังหารซูหลี

เขาคำนวณแล้วสามสิบเจ็ดครั้ง ซูหลีจะต้องเสียชีวิตอย่างมิต้องสงสัย

เช่นนั้น หรือว่าซูหลีจะต้องเสียชีวิตจริงๆ

ซูหลีเองก็คิดเช่นนี้ ทว่าเขาไม่คิดว่าจะต้องเสียชีวิต พลางเอ่ยออกไป “เพียงเพราะว่าต้องการสังหารข้า พวกเจ้าทำเรื่องราวมากมาย สุดท้ายแล้วเรื่องใดคือเรื่องจริง เรื่องใดคือเรื่องเท็จกันแน่ ที่จริงแล้วพวกเจ้าต้องการสังหารเด็กหนุ่มที่อยู่ในสวนโจว หรือเพียงแค่อาศัยเรื่องนี้หลอกล่อข้ามาสังหาร ถ้าหากแม้แต่เจ้ายังไม่ชัดเจน หรือว่าบางทีข้าอาจจะมีโอกาส”

“ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง และก็อาจจะเป็นเท็จ แต่การสังหารเจ้าเป็นเรื่องจริง เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ข้าได้กล่าวไว้ คนหนุ่มเหล่านั้นเป็นอนาคตของเผ่ามนุษย์ เจ้าเป็นปัจจุบันของเผ่ามนุษย์ ข้าเป็นคนธรรมดา ด้วยเหตุนี้เรื่องที่จะทำเป็นอันดับแรก แน่นอนว่าก็คือสังหารเจ้า”

คนชุดดำเอ่ยอย่างสงบนิ่งต่อ “เทียนไห่กับสังฆราช และยังมีเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เพียงเพราะว่าอนาคตของเผ่ามนุษย์ วางแผนผลักดันทิศเหนือทิศใต้รวมกันเป็นหนึ่ง เพราะเหตุใดจนถึงขณะนี้กลับยังไม่ประสบความสำเร็จเล่า? ทิศใต้เพราะเหตุใดสามารถอยู่จนถึงขณะนี้ สาเหตุมิใช่เป็นเพราะพรรคเฉินฉางเซิง มิเป็นเพราะสำนักต้นไหว แต่เป็นเพราะเจ้า อาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซาน ดังนั้น เหตุใดข้าถึงไม่สังหารเจ้าเล่า”

ซูหลีกล่าวว่า “ถ้าหากข้าเสียชีวิตเสีย เผ่ามนุษย์ทิศเหนือทิศใต้รวมกันเป็นหนึ่ง มิได้มีประโยชน์ต่อเผ่ามารของพวกเจ้าแม้แต่น้อย”

คนชุดดำสั่นหน้าเอ่ยตอบ “ไม่ปรารถนาจะถูกสวนโจวกลืน นี่เป็นความคิดของคนทิศใต้จำนวนมาก เจ้าเป็นเพียงสิ่งของแหลมคมของคนทิศใต้ เป็นด้ามกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงแม้ว่ากระบี่จะหักเป็นท่อน ความคิดของคนทิศใต้เหล่านั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนได้ ในทางตรงกันข้าม คนที่มีความคิดเปลี่ยนไปก็คือเทียนไห่ ตามปณิธานอันยิ่งใหญ่ของสตรีผู้นั้น ถ้าหากโลกใบนี้นับแต่นี้มิได้มีคนดังเช่นเจ้า บรรดาคนที่วางแผนขัดขวางความสัมพันธ์เป็นหนึ่งของทิศเหนือทิศใต้ เช่นนั้นแล้วจักรพรรดินีจะต้องนำกองทัพลงมาทางใต้ นำอาณาเขตของเผ่ามนุษย์อยู่ในการปกครองของนาง เพียงแค่เวลานั้นทิศเหนือทิศใต้รวมกันเป็นหนึ่ง มิได้อาศัยพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นอาชาเหล็กของต้าโจว”

ซูหลีเงียบนิ่งมิได้เอ่ยสิ่งใด นั่นเป็นภาพที่อาจจะเกิดขึ้นได้ จนถึงขนาดว่าขณะนี้เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

“เมื่อวันนั้นมาถึง เผ่ามนุษย์บนโลกใบนี้จะต้องอลหม่านวุ่นวายเป็นแน่ เทียนไห่นำกองทัพบุกมายังทิศใต้ ราชามารนำกองทัพมาทิศใต้…มุ่งไปยังทิศใต้อย่างต่อเนื่อง จากโลกหนาวเหน็บ มุ่งไปยังดินแดนแสงอาทิตย์อันอบอุ่น เวลานั้นทุกหนทุกแห่งก็จะเต็มไปด้วยซากศพและการเดินทางของคาวโลหิต ข้าไม่มั่นใจว่าผู้ใดจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ทว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการ”

คนชุดดำจ้องมองเขากล่าวออกมาอย่างสงบนิ่ง “ด้วยเหตุนี้ เชิญเจ้าไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวของเจ้าเถิด หลังจากนี้หลายปี เวลานั้นเมื่อเจ้ามองลงมาเห็นทหารอลหม่าน เผ่ามังกรกับมนุษย์ดับสูญ ขอให้อย่าลืมที่จะกล่าวทักทายกับข้า”

……

……

มือไขว้หลังยืนอยู่ริมหน้าผา จ้องมองเมฆหมอกเป็นเส้นๆ สายลมหนาวเย็นราวกับใบมีด ไม่อาจพัดความเหนื่อยล้าออกไปจากใบหน้าของหญิงสาวชุดขาวได้

ร่างกายมิได้นอนหลับและพักผ่อนมาเป็นเวลาสองวัน วิ่งวุ่นคอยช่วยเหลือคนในสวนโจว ใช้พลังหมดไปกับเคล็ดวิชาแสงศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะเป็นนางก็ควรรู้สึกเหนื่อยล้า

มิได้หวาดกลัวความเหนื่อยล้า สิ่งที่หวาดกลัวก็คือสัญญาณแจ้งเตือนจากก้นบึ้งหัวใจ

เสียงพิณเสียงนั้น ด้านหลังต้นไม้โดดเดี่ยว ยังมีโลกเสมือนจริงที่ปกคลุมเส้นทางบนเทือกเขา ทำให้นางรู้สึกอันตรายอย่างยิ่ง

เริ่มฝึกบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เยาว์วัย หลังจากสายเลือดถูกปลุก นี่เป็นครั้งแรกที่นางรับรู้ถึงอันตรายที่สุด

นางไม่รู้สาเหตุอย่างละเอียด ไม่รู้ว่าปลายทางเทือกเขามีผู้ใดรอคอยตน ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องเสียพลังจิตใจถึงเพียงนี้ จัดตั้งโลกเสมือนจริงนำสวนโจวกับตนตัดขาดจากโลกภายนอก แท้จริงแล้วมีจุดมุ่งหมายอันใด

แต่ว่านางรู้ดี ตนควรจะทำลายโลกเสมือนจริงแห่งนี้

นี่มิได้มีเหตุผลใดๆ ไม่ต้องการเหตุผล ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามสร้างสถานการณ์เพื่อกักขังตน ตนจะต้องทำลายสถานการณ์นี้อย่างแน่นอน โลกเสมือนจริงของฝ่ายตรงข้าม ตนจะต้องทำลายอย่างแน่นอน

นางนำนิ้วมือยื่นไปยังบริเวณฝีปาก กัดเบาๆ จากนั้นพบว่ากัดไม่ขาด กลั้นความพะอืดพะอมมิได้

จากนั้นนางใช้แรงกัดอีกครั้ง ขนคิ้วละเอียดขมวดเล็กน้อย ปรากฏว่ามีความเจ็บปวดเกิดขึ้น

นางมองหยดโลหิตรินไหลออกจากปลายนิ้วมือ คิ้วขมวดมิได้ยินดี

นางไม่ชื่นชอบความเจ็บปวด ยิ่งไม่ชื่นชอบที่จะทำร้ายตนเอง

นางยื่นมือไปยังเบื้องบนของหุบเหวลึก

หยดโลหิตสีแดง ออกห่างจากนิ้วมือของนาง ร่วงหล่นไปยังเมฆหมอกดุจดังกลุ่มควันของหน้าผา

ตามการร่วงหล่น สีของหยดโลหิตเหล่านั้นได้เปลี่ยนไป ยิ่งนานยิ่งแดง ยิ่งนานยิ่งฉูดฉาด ยิ่งนานยิ่งสว่างไสว จนกระทั่งท้ายที่สุด แปรเปลี่ยนเป็นสีทอง

ราวกับเป็นทองที่หลอมละลาย ข้างในมีพลังที่ยากจะจินตนาการได้ซุกซ่อนอยู่

อุณหภูมิบริเวณรอบๆ เทือกเขาทวีเพิ่มขึ้น ชั้นน้ำแข็งบางๆ เพิ่งปกคลุมแผ่นหินพลันระเหยกลายเป็นไอ ต้นไม้โดดเดี่ยวต้นนั้นเปลี่ยนเป็นยิ่งอ่อนแรง

ก้อนหินที่แหลมคมบนหน้าผามีหญ้าป่าหลายต้นที่ยากจะขึ้น ทันใดนั้นก็แผดเผากลายเป็นเถ้าธุลี

หยดโลหิตที่ราวกับทองคำ ร่วงหล่นในเมฆหมอก

ได้ยินเพียงแค่เสียงสาดกระเซ็น

ในเมฆหมอกมีแสงสว่างส่องออกมา เมฆหมอกเหล่านั้นก็ประหนึ่งเส้นใยฝ้ายที่ถูกไฟแผดเผาทันทีทันใด

เทือกเขากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา อยู่ๆ ก็ปรากฏเปลวเพลิงขนาดใหญ่ นำค่ำคืนที่มืดมิดเงียบ สว่างไสวราวกับกลางวัน

โลหิตเพียงแค่หนึ่งหยด ก็นำมาซึ่งภาพอันวิจิตรตระการตาถึงเพียงนี้

นี่เป็นอานุภาพที่แท้จริงของสายเลือดหงส์สวรรค์รึ?

มองไปที่เทือกเขาที่สว่างไสวชัดเจนอีกครา บนใบหน้าของนางเผยให้เห็นท่าทางที่พึงพอใจ เวลาต่อไป หัวคิ้วจึงได้ขมวดขึ้นอีกครา

นางกัดปลายนิ้วจนเป็นแผล รู้สึกปวดเล็กน้อยจริงๆ

นางนำนิ้วมือยื่นอยู่ด้านหน้าริมฝีปาก กัดลงเบาๆ ราวกับว่าตั้งใจอย่างยิ่ง

เวลาเดียวกันก็พึมพำกับตนเอง ราวกับว่าเป็นเด็กเยาว์วัยที่คุยกับตนเอง “ไม่เจ็บ…ไม่เจ็บ…ไม่เจ็บนะ เด็กดี”

……

……

จากวันแรกที่เข้ามาฝึกฝนวิชากระบี่ที่เขาหลีซาน โชคชะตาของซูหลีก็แน่ชัดแล้ว เขาจะรักษายอดเขาแห่งนั้น และทั่วทั้งทิศใต้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาจะท่องเที่ยวไปยังสี่มหาสมุทร แต่ก็จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่กลับมายังเขาหลีซาน เพื่อยืนยันกับสตรีผู้นั้นในจิงตูและเผ่ามารทางทิศเหนือว่ากระบี่เหล็กยังคงอยู่

ตั้งแต่วันแรกที่สายเลือดถูกปลุก โชคชะตาของนางก็ได้กำหนดขึ้น นางจะต้องคุ้มครองกระทรวงสิบสามชิงเหย้า คุ้มครองจวนเทพขุนพลตงอวี้ พระราชวังหลวงรวมถึงพระราชวังหลี ขณะนี้ยังเพิ่มเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์เข้าไปด้วย ที่จริงแล้วสิ่งที่นางจะต้องปกป้องมีมากมายเหลือเกิน ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่สุดท้ายนั่นคงหมายถึงเผ่ามนุษย์อย่างมิต้องสงสัย

แล้วจะปกป้องอย่างไร? จะใช้สิ่งใดปกป้อง? สิ่งสำคัญที่สุดจนถึงขนาดว่าเป็นเพียงแค่สาเหตุเดียว แน่นอนว่าเป็นเพราะร่างกายของนางมีสายเลือดของหงส์ฟ้า ด้วยเหตุนี้เป็นเพราะเหตุผลนี้ คนที่รักใคร่นางหรือว่าเลื่อมใสศรัทธา ล้วนแต่มอบความคาดหวังให้จำนวนมาก ทว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ บางทีนางก็ไม่ชื่นชอบร่างกายของตนเองที่มีโลหิตเหล่านี้ไหลเวียนอยู่

โลหิตเหล่านั้นบริสุทธิ์และสะอาดอย่างยิ่ง ดังนั้นในสายตาของทุกคน นางจึงบริสุทธิ์ใสสะอาด เนื่องจากนางเกิดที่จิงตูเป็นคนต้าโจว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นผู้สืบทอดของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทางทิศใต้ นางเดิมทีไม่เคยคิดว่าตนเป็นหญิงสาวที่สะอาดบริสุทธิ์ ดังเช่นผู้คนทั่วทั้งต้าลู่ขนานนามว่าวิหคเพลิงอมตะ นางกลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ช่างเหลือทนอย่างยิ่ง

คิ้วของนางขมวดขึ้น เป่าปลายนิ้ว เห็นเขาปีศาจที่เดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายในเมฆหมอกที่แผดเผา ในใจครุ่นคิดถ้าหากตนไม่กลัวเจ็บ ไม่แน่ว่าอาจจะหาวิธีทำให้โลหิตในร่างกายไหลออกไปจนหมดสิ้น แต่โลหิตสามารถนำออกจากร่างกายจนหมดสิ้นได้รึ? ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกลัวความเจ็บได้อย่างสบายใจ ถ้าหากนี่เป็นโชคชะตาของนาง เช่นนั้นแล้ว มุ่งไปเบื้องหน้าก่อนแล้วค่อยคิดอีกที

เมฆหมอกเผาไหม้จนสะอาดสะอ้าน หลงเหลือเพียงพื้นที่ใสสะอาด หน้าผากลับมามืดมิดอีกครา ทว่ากลับสว่างไสวมากกว่าก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยเสียด้วยซ้ำไป

นางเดินไปตามทางเดินบนเทือกเขาไปเบื้องหน้า

……

……

โชคชะตาของบางคน มิได้ถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด หรือตอนสายเลือดถูกปลุก หรือเมื่อเข้ามาสู่สำนักของผู้แข็งแกร่ง

เอ่ยมาแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ อีกทั้งทำให้ผู้คนโมโหอย่างง่ายดาย เพราะโชคชะตาของพวกเขาถูกกำหนดตามโชคชะตาของผู้อื่น

ปลายสุดของเส้นทางบนเทือกเขา ก็คือหุบเขาอัสดงในตำนาน เป็นหุบเขาอัสดงจริงๆ

นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถมองเห็นแสงที่ส่องมาเป็นรูปร่างมหัศจรรย์ในทุ่งหญ้า

หญิงสาวนั่งอยู่ริมหน้าผา มองไปยังทุ่งหญ้าด้านล่างเงียบๆ ดวงตาทั้งคู่ที่เย็นชาและเชื่องช้า มิได้มีความรู้สึกใด

นางนามว่าหนานเค่อ

นางเป็นบุตรสาวคนที่สามสิบเจ็ดของราชามาร

เมื่อนางเกิด ราชามารดีใจอย่างยิ่ง เพราะว่านางมีสายเลือดสวรรค์ของนกยูง ด้วยเหตุนี้จึงตั้งชื่อให้นางว่าหนานเค่อ

หนานเค่อก็คือนกยูง

ในครานั้น โชคชะตาของนางควรที่จะได้รับความรักใคร่อย่างสุดหัวใจจากบิดา หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นความภาคภูมิใจของเผ่ามาร

ทว่าเมื่อนางอายุครบขวบปี สายเลือดของหญิงสาวทางทิศใต้ก็ถูกปลุกขึ้น แล้วเริ่มฝึกบำเพ็ญเพียร

เพราะมีการเปรียบเทียบ จึงได้เห็นถึงความแตกต่าง

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่านางมีสายโลหิตของราชามาร

ด้วยเหตุนี้ ความภาคภูมิใจจึงเปลี่ยนมาเป็นความพะอืดพะอม จนกระทั่งอับอาย

ตั้งแต่เวลานั้น โชคชะตาของนางก็ได้กำหนดเอาไว้แล้ว

จะเอาชนะนางผู้นั้น หรือจะสังหารนางผู้นั้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset