ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 28 ข้ามกำแพงพบเสื้อคลุมสีดำ

แม่นางผู้นั้นนามว่าลั่วเหิง ชื่อเล่นลั่วลั่ว เพราะว่าตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย ก่อนที่นางจะเอ่ยประโยคใดมักเพิ่มคำบางคำจนติดเป็นนิสัย ดังเช่นเมื่อตอนนางตะโกนเรียกเหยี่ยวนกเขาท้องขาวที่ร่อนลงบนมือน้อยๆ ของตนเอง ดังเช่นเมื่อนางให้จระเข้ยักษ์ในแม่น้ำรีบยกตัวขึ้นไปทางฝั่ง มักจะกล่าวว่า “คิกๆ เร็วหน่อย!”

ลั่วลั่วปีนี้อายุสิบสี่ปี อายุยังเยาว์วัยยิ่งนัก เพราะว่าสาเหตุบางอย่าง รูปร่างลักษณะท่าทางมองแล้วอ่อนกว่าอายุจริงเล็กน้อย ลักษณะอ่อนเยาว์ มีท่าทางเหมือนกับไร้เดียงสา ตั้งแต่นางเกิดมาก็ได้รับความร่ำรวยมีเกียรติยศที่เฟื่องฟู ไม่ทุกข์ไม่กลัดกลุ้มใจ ถึงแม้จากบ้านเกิดที่ไกลโพ้น หลังจากมาถึงจิงตูก็เป็นเช่นนี้

นางใช้ชีวิตอยู่ที่สวนร้อยหญ้าในจิงตูใกล้จะครบหนึ่งปีแล้ว น้อยมากที่จะคบค้าสมาคมกับโลกภายนอก จึงหลีกหนีความโดดเดี่ยวไม่ได้

เรื่องพรรค์นี้ นางไม่ใส่ใจ เพราะว่านางสนใจเพียงแค่ว่าจะบำเพ็ญเพียรอย่างไร

ทางด้านการบำเพ็ญเพียรนางมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ถึงแม้จะเป็นบิดาที่คล้ายกับว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ก็แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นนางจึงเดินทางไกลโพ้นพันลี้มาถึงจิงตู

นางเคยปิดบังฐานะของตนเองไปเข้าเรียนที่สำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา แอบเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอน จนกระทั่งนางหารือปัญหากับผู้เก่งกาจในพระราชวัง สิ่งที่เสียใจก็คือปัญหาเหล่านั้นยังคงไม่ได้รับคำตอบ

เมื่อเวลาที่ผิดหวังที่สุด ในค่ำคืนนั้นพลันรับรู้ถึงดาวดวงหนึ่งในท้องฟ้ายามราตรีถูกจุดสว่าง นางไม่รู้ว่าดาวดวงนั้นอยู่ที่ไหน แต่รู้ว่าพลังจิตดวงนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง สงบเงียบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีจุดที่แตกต่างกับพลังจิตของมนุษย์ธรรมดาที่บำเพ็ญเพียรอย่างชัดเจน

สามารถรับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้

เพราะนางมีพรสวรรค์พิเศษ ดังนั้นนางมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้เป็นของจริง ด้วยเหตุนี้นางจึงอยากตามหาคนผู้นั้น

นางอยากนำปัญหาที่รบกวนจิตใจตนมานานหลายปีวางลงด้านหน้าของคนผู้นั้น ปรารถนาว่าจะได้รับคำตอบ

แต่ผ่านมายี่สิบวันแล้ว นางยังคงหาคนผู้นั้นไม่พบ ผู้ใต้บัญชาที่ถูกส่งออกไปเหล่านั้น แม้กระทั่งผู้มีฝีมือที่ผู้คนนับถือในพระราชวังล้วนแต่ช่วยตามหา ก็หาเบาะแสใดๆ ไม่เจอทั้งสิ้น เช่นนี้จึงทำให้ความผิดหวังของนางเพิ่มขึ้น

ลั่วลั่วรู้สึกย่ำแย่ ชาชงอวี่ซินที่ล้ำค่าและมีชื่อเสียงในถ้วยก็ไม่สามารถดึงดูดความสนใจใดๆ ของนางได้ จึงถูกวางตามปกติ เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านชาเช่นนาง เหตุใดถึงไม่แสดงความสนใจในน้ำชาที่หอมจรุงใจเช่นนี้

นี่เป็นกริยาที่ไม่สมเหตุสมผล

เวลานี้ นางได้กลิ่นหอมสายหนึ่ง

ลั่วลั่วเบิกตาโต ร่างกายเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ

กลิ่นหอมสายนี้บางเบาอย่างยิ่ง แต่หลังจากสูดเข้าไป กลับแผ่ขยายขึ้นทันที แปรเปลี่ยนเป็นกระจ่างชัดอย่างยิ่ง ราวกับสุราชั้นดีที่ทำให้ผู้คนลุ่มหลง ในสวนร้อยหญ้ามีผลไม้ประหลาดล้ำค่านับไม่ถ้วน หลังจากเข้าสู่ยามค่ำคืนจะแพร่กระจายเป็นกลิ่นทุกชนิดหลากหลายสาย ท้ายที่สุดกลับกลบกลิ่นหอมสายไม่ได้

หุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาดอกไม้ทุ่งกว้างที่นางใช้ชีวิตอยู่เมื่อครั้งเยาว์วัย กลิ่นหอมที่กำจายออกมาในตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นยามฤดูร้อน ก็ไม่ได้หอมถึงเพียงนี้!

นางกล้าสาบานต่อดวงดาวเต็มท้องฟ้า ว่าตนเองไม่เคยได้กลิ่นที่หอมเช่นนี้มาก่อนในชีวิต

แม้ว่ากลิ่นหอมยังคงเบาบางเช่นนี้

นี่คือกลิ่นอะไร กลิ่นหอมเช่นนี้มาจากที่ไหน

เมื่อลั่วลั่วคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นพบว่ากลิ่นหอมสายนั้นได้จางหายไปแล้ว เพียงแค่ชั่วพริบตา กลิ่นหอมนั่นก็ไม่รู้ว่าหายไปแห่งไหน และก็หาไม่เจอแม้แต่น้อย นางรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก คิดว่าพลาดสิ่งสำคัญอย่างมากในชีวิตไปแล้ว

นางเดินตามขอบกำแพงมุ่งไปยังทางทิศตะวันออกหลายสิบก้าว เดินไปถึงไม้เลื้อยที่มีกลิ่นดอกไม้แผ่กระจาย พบว่ากลิ่นหอมไม่ได้มาจากที่ตรงนี้ จิตใต้สำนึกมองไปยังไม้เลื้อยเต็มกำแพง คลับคล้ายว่ากลิ่นหอมจะกระจายมาจากกำแพงด้านนั้น

กำแพงด้านนั้นคืออะไร เหมือนว่าจะเป็นสำนักฝึกหลวงที่ถูกระงับใช้ หลังจากนางมาพักที่สวนร้อยหญ้า ที่นั่นสงบเงียบไม่มีเสียงมาตลอด ราวกับว่าคือสวนสุสาน ทว่าจู่ๆ ก็คึกคักขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวันก่อน เหมือนกับว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

จะต้องไปดูหรือไม่

ทันใดนั้น นางคิดว่ากลิ่นหอมนี้กับคนที่นางตามหามาตลอดมีความเกี่ยวข้องกัน

มือของลั่วลั่วกำแน่นอยู่ที่แขนเสื้อ จิตใจเปลี่ยนเป็นตึงเครียดเล็กน้อย มิได้หมุนกาย สายตาจ้องมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี

ตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่ด้านหลังของกระถางดอกไม้กำลังส่องเป็นลำแสงสว่างไสว เลือนหายเข้าไปในส่วนลึกของความมืดยามราตรี มีการเปลี่ยนรูปร่างก่อนที่จะสูญหายไป

อธิบายได้ว่าที่นั่นมีคน อาจจะมีพลังบางอย่างอยู่ที่นั่น

นางรู้ว่าผู้คนเหล่านั้นคือใคร คือคนที่รับผิดชอบในการอารักขานาง แต่ในเวลาเดียวกัน คนเหล่านี้ก็ควบคุมการกระทำของนาง ทุกครั้งที่จะไปสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดาราล้วนแต่ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นเวลานาน ยิ่งกว่านั้นยามค่ำคืนไม่อนุญาตให้นางออกไปแห่งใด

ลั่วลั่วกำลังจ้องมองเงาที่อยู่บนกำแพงของตนเอง คิดว่าตนเองไร้ประโยชน์ ขลาดเขลาย่างยิ่ง

ทันใดนั้นนางจึงยิ้มออกมา ส่ายศีรษะ ดึงกระดุมเม็ดหนึ่งออกมาจากด้านหน้าของเสื้อทางฝั่งซ้าย หลังจากนั้นจึงปล่อยมือออก

กระดุมเม็ดนั้นทำมาจากนอแรดขัดให้กลมเกลี้ยงเกลา ร่วงหล่นจากมือน้อยๆ ของนางตกลงพื้น

เพียงแค่ได้ยินเสียงกระดุมตกดังแปะเบาๆ

หมอกควันเข้าปกคลุมกำแพงด้านล่าง พุ่งเข้าพุ่งออกจากไม้เลื้อยทางด้านใน

พึ่บพั่บ พึ่บพั่บ เงาร่างกายสิบกว่าเงาออกมาจากความมืดยามราตรีราวกับลูกธนูที่ถูกยิงออกมาก็มิปาน

บุรุษวัยกลางคนที่เป็นผู้นำชูฝ่ามือโบกขึ้น ไล่หมอกควันให้แตกกระจายออกไป กลับพบว่าด้านล่างกำแพงล้วนแต่ไม่มีสิ่งใด

ผู้คนสิบกว่าคนเห็นได้ชัดว่าฝีมือไม่ธรรมดา อยู่ในโลกนี้คงจะมีหลายคนที่เป็นผู้แกร่งกล้า แต่ทว่าเวลานี้ใบหน้าของพวกเขามีสีซีดเซียวผิดปกติ น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

มีคนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “ฝ่า…คุณหนู…ไม่พบแล้วขอรับ”

อารมณ์ของบุรุษวัยกลางคนผู้นั้นมืดมนจนถึงขีดสุด เอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “รีบรายงานให้พระราชวังทราบ!”

ลั่วลั่วไม่ได้เดินไปไหนไกล นางเพียงแค่ไปยังกำแพงอีกด้านหนึ่ง

นางเชื่อว่าผู้คนในเผ่าของนางคงหานางไม่พบในระยะเวลาสั้นๆ เพราะว่ากระดุมซึ่งมองดูแล้วเหมือนกระดุมธรรมดาที่นางเพิ่งใช้ไปเม็ดนั้นคือกระดุมพันลี้

กระดุมพันลี้เป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง สามารถให้คนเดินทางไประยะทางไกลในชั่วพริบตา ถึงแม้ตรงหน้าจะเป็นศัตรูที่แกร่งกล้า ก็สามารถอาศัยสิ่งนี้ออกห่างไปได้ เป็นของล้ำค่ายิ่งนัก ถึงขนาดกล่าวได้ว่าไม่ต่างอะไรกับชีวิตหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นราชวังต้าโจวกับพรรคฉางเซิง ก็มีไม่กี่เม็ด

แต่นางใช้ไปตามอารมณ์ เพียงเพื่อข้ามกำแพงหนึ่งด้าน

อย่างไม่ต้องสงสัย นี่คือการทำลายสิ่งของให้เสียหายตามอำเภอใจอย่างหนึ่ง และก็เป็นเพราะเช่นนี้เอง นางแน่ใจว่าคนเหล่านั้นคงคิดไม่ถึงว่านางจะใช้กระดุมพันลี้อย่างแน่นอน คาดไม่ถึงว่าเป็นเพียงเพื่อข้ามกำแพงแค่หนึ่งด้าน นางคงมีเวลาเพียงพอที่จะตามหาแหล่งกำเนิดของกลิ่นหอมนั้น

เพียงแค่หาคนผู้นั้นพบ สิ้นเปลืองกระดุมพันลี้เพียงแค่หนึ่งเม็ดแล้วจะนับเป็นอะไรได้เล่า

แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนใจกว้าง

ครึ่งปีก่อนตอนเข้ามาพักที่สวนร้อยหญ้า เพราะว่าประหลาดใจและสนใจในเรื่องเก่าของเมื่อหลายสิบปีก่อน นางจึงปีนป่ายไปด้านบนกำแพง อยากจะไปดูสำนักฝึกหลวงสักคราหนึ่ง ผ่านมาเป็นเวลาหลายเดือนเป็นครั้งแรกที่นางได้เข้ามาจริงๆ พบว่าเวลานี้แตกต่างกับครานั้นอย่างยิ่ง

บริเวณรอบๆ ยังคงเงียบสงบ แต่ว่าต้นหญ้าริมทะเลสาบถูกตัดให้ราบเรียบ แสงของดวงดาวส่องประกายทำให้มองเห็นสาหร่ายน้ำที่ถูกทำความสะอาดไปมากแล้ว สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น นอกจากอาคารหลักที่ชำรุดอย่างรุนแรง อาคารที่พักต่างล้วนซ่อมแซมจนใกล้เสร็จเหมือนใหม่

ความมืดมิดยามราตรีกาล มีเพียงแค่หอตำราที่มีแสงสว่าง

ลั่วลั่วเดินไปทางนั้นสองก้าว ทันใดนั้นมีสายลมปะทะใบหน้า นางหลับตาแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็สามารถหากลิ่นหอมที่หลงเหลือในสายลมได้ ทันใดนั้นใบหน้าปกคลุมไปด้วยท่าทางเคลิบเคลิ้ม รู้ว่าตนเองไม่ได้มาผิดที่

เมื่อนางลืมตาขึ้น ท่าทางเคลิบเคลิ้มแปรเปลี่ยนเป็นระมัดระวัง รูปร่างหน้าตางดงามอ่อนเยาว์ปิดบังความหนาวเหน็บ

ด้านหลังต้นไม้ริมทะเลสาบ มีคนหนึ่งคนเดินออกมาช้าๆ

คนนั้นสวมใส่เสื้อคลุมสีดำยาวถึงหัวเข่า แขนเสื้อทั้งสองข้างถูกตัดจนถึงเข่า มองดูแล้วประณีตอย่างยิ่ง ศีรษะและใบหน้าถูกคลุมด้วยหมวกของเสื้อคลุมสีดำ เต็มไปด้วยความลึกลับ

ลั่วลั่วจ้องมองคนผู้นั้นยิ้มน้อยๆ มือด้านขวาค่อยๆ ยกมาถึงด้านหน้าเสื้อด้านซ้าย ออกแรงอย่างเงียบเชียบ ถอดกระดุมที่ทำจากนอแรดออกมา

นั่นก็เป็นกระดุมพันลี้

นางไม่รู้ว่าคนเสื้อคลุมสีดำนั่นคือผู้ใด แต่ชัดเจนอย่างยิ่งว่าฝ่ายตรงข้ามรอให้ตนเองปรากฏตัวมาตลอด นี่ก็คือปัญหา

ตั้งแต่เด็กสิ่งที่นางได้รับการสั่งสอนก็คือ ไม่ต้องเอาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย และนางยังสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งนัก คนเสื้อคลุมสีดำนั้น…โดยเฉพาะมือของเขาที่กุมบางสิ่งสีดำทมิฬอย่างแนบแน่น คุกคามกับตนอย่างยิ่ง

ดังนั้นนางไม่ลังเลที่จะเตรียมตัวใช้กระดุมพันลี้เม็ดที่สอง

นางใจกว้างอย่างยิ่ง ล้างผลาญยิ่งนัก เพราะว่านางมีคุณสมบัติอย่างนี้

นางปล่อยมือ กระดุมร่วงหล่นยังพื้น

ทว่าในเวลานี้ ผู้ที่สวมเสื้อคลุมสีดำทั้งตัวผู้นั้น ก็ปล่อยมือตนเองเช่นกัน

มือของเขากำลังกุมวัตถุสีดำทมิฬชิ้นหนึ่ง คล้ายกับว่าทำมาจากเหล็ก มีปลายแหลมคมทั้งสองด้าน ตรงกลางหนาเล็กน้อย ผิวด้านนอกเกลี้ยงเกลาเป็นมัน มองดูแล้วเหมือนกระสวยทอผ้า

อาวุธเหล็กสีดำนั้น ร่วงหล่นลงบนพื้นเร็วกว่ากระดุม ปลายแหลมคมปักลึกลงไปบนพื้นดินที่อ่อนนุ่มบนสนามหญ้า

เสียงเหล็กเสียดสีกันเบาๆ ผิวด้านนอกเกลี้ยงเกลาเป็นมันของอาวุธเหล็ก เกิดเป็นเกล็ดละเอียดอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเกล็ดก็แตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ แปรเปลี่ยนเป็นแผ่นเหล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งไปยังรอบๆ ท้องฟ้ายามราตรีอย่างเงียบกริบ

ตามแผ่นเหล็กที่ปลิวว่อน พลังลมปราณที่แกร่งกล้า ชั่วพริบตาแผ่คลุมไปยังจุดศูนย์กลางของสำนักฝึกหลวงเป็นรัศมีวงกลมราวร้อยจั้ง

หมอกควันค่อยๆ แผ่กระจาย

ร่างของลั่วลั่วโผล่พรวดออกมายังที่เดิม ริมฝีปากเต็มไปด้วยโลหิต!

สุดท้ายแล้วกระดุมพันลี้ไม่สามารถช่วยนางออกไปได้!

นางมองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน พบเพียงแค่แสงดวงดาวที่ซับซ้อนส่องลงมา ไม่รู้ว่าอาวุธเหล็กที่เหมือนกับกระสวยทอผ้าคือของวิเศษอะไร ท้ายที่สุดแล้วปิดล้อมพื้นที่ว่างกว้างใหญ่เช่นนี้ได้!

รอยยิ้มของนางถูกระงับเอาไว้ จ้องมองไปยังคนเสื้อคลุมสีดำที่อยู่ข้างต้นไม้ กล่าวอย่างจริงจัง “ลำบากลำบนฝึกฝนจนถึงขั้นทะลวงอเวจี…อืม ข้าลืมไป…พวกเจ้าไม่ได้กล่าวเช่นนี้ แต่โดยสรุปแล้วล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เจ้าแน่ใจว่าอยากจะเป็นเถ้าธุลี อีกทั้งครอบครัวเผ่าพันธุ์ของเจ้าจะต้องถูกไล่สังหารชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งสุดท้ายแล้วไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะรอดชีวิต ต้องจ่ายด้วยราคาที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ คิดว่าคุ้มค่าอย่างนั้นหรือ”

นี่ไม่ใช่การใช้อำนาจคุกคาม แต่คือการบอกเล่าถึงการวิเคราะห์ปัญหา ดังนั้นจึงมีพลังมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่เป็นภัยต่อแผนการใดๆ ของนาง ล้วนแต่จะต้องได้รับความโกรธแค้นยาวราวแม่น้ำแดงแปดร้อยลี้อย่างไม่มีสิ้นสุด

“เช่นนั้น อันดับแรกจะต้องรู้ว่าข้าคือใคร”

คนเสื้อคลุมสีดำผู้นั้นค่อยๆ ถอดหมวกคลุมที่ติดกับเสื้อออก ใบหน้าที่ซื่อตรงถ่อมตัวปรากฏออกมา

นี่คือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ไม่มีสิ่งที่เป็นพิเศษใดๆ หากอยู่ในกลุ่มผู้คนที่มุ่งมายังจิงตู คงไม่มีผู้ใดสามารถจดจำลักษณะของเขาได้แน่นอน ยิ่งเมื่อเขาใช้หวีมวยผมขึ้นมา

ค่ำคืนนี้ เขาไม่ได้ปลอมตัว ผมสีดำขลับสยายลงมาประบ่า ด้วยเหตุนี้ เมื่อแสงดวงดาวส่องกระทบเขามารสีดำทั้งสองของเขานั้น จึงชัดเจนยิ่งขึ้น

คนผู้นี้เป็นบุรุษวัยกลางคนมาจากเผ่ามาร กล่าวด้วยความเคารพอย่างเปิดเผย

“…โดยเฉพาะหากสามารถสังหารฝ่าบาทในเมืองมนุษย์ ไม่ต้องเอ่ยถึงชีวิตของข้า ต่อให้เป็นจิตวิญญาณ ข้าก็ปรารถนาจะถวาย”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset