ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 273 ดาวตก

สีหน้าของหนานเค่อเข้มงวดและทะนงตน สายตาจดจ่อและตั้งใจ เหมือนสว่านที่แหลมคมสองเล่ม ความเร็วในการพูดของนางนั้นไม่ช้า แต่โทนเสียงไม่มีการขึ้นลงใดๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่แยแสเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่เป็นรูปร่างเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง กลับให้ความรู้สึกสูงส่งชนิดหนึ่งที่มองลงมายังผู้คน แสดงออกถึงความเชื่อมั่นในตนเองที่สูงชัน

สายเลือดพรสวรรค์สองแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสูงส่งที่สุดในเผ่ามนุษย์และเผ่ามารวัยเยาว์รุ่นใหม่ ในที่สุดก็ได้พบเจอกันที่ยอดเขาอัสดงของสวนโจว สามารถพูดได้ว่านี่เป็นชะตากรรม และก็สามารถพูดได้ว่าเป็นความต้องการของทั้งสองฝ่าย สนามนี้แน่นอนว่าจะต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ ก่อนเริ่ม แน่นอนว่าต้องมีพิธีการขานตอบรับ หนานเค่อทำความเคารพ สาวน้อยชุดขาวตอบกลับทำความเคารพ จากนั้นเริ่มสนทนา

“เจ้าก็คือสวีโหย่วหรง”

สายลมยามราตรีบนยอดเขาแรงเล็กน้อย ฟังไม่ชัดว่าสาวน้อยชุดขาวได้ตอบคำว่าใช่หรือไม่ แต่…ใช่ นางก็คือสวีโหย่วหรง

นางก็คือหงส์สวรรค์จุติใหม่ตัวนั้น ผู้แข็งแกร่งเยาว์วัยที่มีอนาคตมากที่สุดของต้าลู่ เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์รุ่นใหม่ทางทิศใต้ คนรุ่นหลังที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่รักใคร่ที่สุด ศิษย์น้องที่ชิวซานจวินรักและเคารพมากที่สุด แต่ตอนนี้ นางยังมีอีกสถานะหนึ่งที่ทุกคนบนโลกต่างก็รับรู้…คู่หมั้นของเฉินฉางเซิงผู้เป็นหัวหน้าสำนักฝึกหลวง

หนานเค่อมองนางแล้วขบคิด คิ้วเรียวค่อยๆ เลิกขึ้นมา ใบหน้าเล็กที่ไม่แยแสแสดงความไม่พอใจและผิดหวัง “พวกคนธรรมดาไร้ความรู้เหล่านั้น ชอบเอาเจ้ามาเทียบกับข้า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเจ้า ไม่คิดว่าวันนี้ได้เจอ กลับทำให้คนผิดหวังขนาดนี้”

สวีโหย่วหรงขนตากะพริบเล็กน้อย ดวงตาสดใส ถามด้วยความสงสัยเล็กน้อยว่า “ข้าทำให้เจ้าผิดหวังตรงไหนหรือ?”

หนานเค่อยกมือชี้นางพลางพูดว่า “แค่ท่าทีอยากรู้อยากเห็นของเจ้าตอนนี้ก็ทำให้คนผิดหวังมาก ลักษณะท่าทางล้วนไม่ใจกว้างแม้แต่นิด เหมือนภรรยาตัวน้อย ตัวก็ไม่สูง…ไม่รู้ว่าเผ่ามนุษย์จริงๆ แล้วชื่นชมอะไรในตัวเจ้า ขนาดพี่ชายท่านนั้นของข้ายังมองเจ้าเป็นของล้ำค่า”

นายน้อยเผ่ามารชมชอบหงส์สวรรค์สวีโหย่วหรงแม้จะไม่เคยเห็นนางตัวเป็นๆ เลยก็ตาม นี่ไม่ใช่ความลับใดๆ ในดินแดนต้าลู่ แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้เผ่ามนุษย์จะด่าว่านายน้อยผ่ามารอย่างรุนแรง กลับไม่ได้โมโหเท่าไหร่นัก กลับมีความทะนงและความสุขที่น่าประหลาดใจ และนี่ เป็นเรื่องที่น่าอับอายของหนานเค่อ

ถูกพรรณนาว่าเป็นภรรยาตัวน้อย สวีโหย่วหรงนั้นไม่ได้โมโห เพียงแต่รู้สึกว่าแปลกใหม่ แล้วคิดอีกว่า เจ้าเองก็เหมือนเด็กผู้หญิงชนบทที่วันๆ เอาแต่ตัดหญ้าให้หมู เหมือนหนานเค่อที่อึมครึมน่ากลัวตามที่เล่าลือเสียที่ไหน?

แต่เนื้อหาบางส่วนในคำพูดของหนานเค่อ ทำให้นางไม่พอใจ…หนานเค่อพูดว่าตัวนางไม่สูง เพราะว่ารูปร่างร่างกายของนางไม่สูงโปร่งอะไรจริงๆ โดยเฉพาะใส่ชุดบูชาสีขาวที่หลวมใหญ่ มองดูแล้วก็จะยิ่งเล็กลง น่ารักมากกว่า

สวีโหย่วหรงคิดแล้วคิดอีก มองหนานเค่อพลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ข้าสูงกว่าเจ้า”

แม้ประโยคนี้จะพูดด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงของนางตั้งใจมาก

ได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของหนานเค่อยิ่งจริงจังขึ้นมา ความเฉยชาไม่แยแสในสายตาถูกโทสะเข้ามาแทนที่

โดยเฉพาะตอนที่สวีโหย่วหรงเงยหน้าเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความทะนงอย่างมาก

เธอคุ้มค่าแก่การให้คนนับถือจริง ไม่ใจกว้างตรงไหน?

สายตาของหนานเค่อขยับจากบนใบหน้าของนางลงมา ตกลงบนหน้าอกของนาง หลังเงียบขรึมสักครู่ พูดว่า “ไร้ยางอาย ไม่กลัวว่าเลือดในร่างกายของเจ้าจะแปดเปื้อน!”

สวีโหย่วหรงอายเล็กน้อยแต่หัวเราะ ไม่ต่อคำ

หนานเค่อยิ่งโมโห พูดว่า “ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามาก อาศัยอะไรมาเปรียบเทียบกับชื่อของข้า!”

ตอนพูดจา ผมสีดำของนางเต้นระบำในสีราตรี กลับกดทับความมืดของท้องฟ้ายามค่ำคืนลงไป

ในโลกเผ่ามนุษย์ หนานเค่อชื่อนี้มิได้คุ้นเคยมากนัก แต่ในหมู่มาร ชื่อนี้กลับแทนความยิ่งใหญ่และเด็ดขาด

หนานเค่อเป็นหนึ่งในลูกสาวคนเล็กที่สุดของราชามาร แต่นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ เพราะว่าในชีวิตที่ยาวนานของราชามาร มีคู่ครองจำนวนมากเกินไป ลูกที่มีประวัติสามารถตรวจสอบได้นั้นก็มีนับสิบคน สาเหตุที่ชื่อของนางสามารถมีความน่ากลัวได้ขนาดนี้ที่เมืองเสวี่ยเหล่า สาเหตุที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ สายเลือดพรสวรรค์ของนางยิ่งใหญ่มาก อีกทั้งนางยังเป็นศิษย์หนึ่งเดียวของใต้เท้าชุดดำ

“เจ้าเพิ่งทะลวงอเวจีปีนี้ ปีที่แล้วข้าก็สำเร็จแล้ว อีกทั้งข้าอายุน้อยกว่าเจ้า ฉะนั้นเห็นได้ชัดมาก ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า” หนานเค่อมองสวีโหย่วหรงพลางพูดด้วยไร้สีหน้าว่า “มาเถอะ พวกเรามาต่อสู้อย่างเป็นธรรมสักสนามหนึ่ง ให้ข้าพิสูจน์ความอ่อนด้อยของเจ้า ให้ทั้งดินแดนต้าลู่ได้รู้ ระหว่างพวกเรา จริงๆ แล้วใครบินได้ไกลกว่ากันแน่”

สวีโหย่วหรงสงบนิ่งไม่พูดจา ในฐานะที่เป็นฝ่ายถูกท้า แน่นอนว่าต้องมีความใจกว้างและความมั่นใจชนิดหนึ่ง

ผู้เฒ่าดีดพิณตั้งแต่ต้นจนจบทำได้แค่ชมอยู่ข้างๆ อย่างเงียบขรึม คำร้องขอขององค์หญิงหนานเค่อ เขาก็ไม่กล้าไม่เห็นด้วย เมื่อเห็นเหตุการณ์ในตอนนี้ แม้เขาจะมีชีวิตมาแล้วนับร้อยปีก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย คิดไว้แล้วว่าการต่อสู้แห่งโชคชะตาสนามนี้จะต้องสะเทือนทั้งต้าลู่ ทำไมตั้งแต่เริ่มต้นจนตอนนี้ถึงเหมือนกับเด็กผู้หญิงไร้สติสองคนกำลังทะเลาะกัน?

แน่นอน นี่ไม่อาจแสดงให้เห็นบทสรุปของการต่อสู้ได้ การต่อสู้นั้นต้องอาศัยการโจมตีเพื่อตัดสินความเป็นตาย จากนั้นจึงจะเห็นการแพ้ชนะ

ยอดเขาอัสดง ลมพัดขึ้นมาทันใด สีราตรีสับสนวุ่นวาย หนานเค่อลอยขึ้นมา ยืมลมพัดผ่าน กระบี่อยู่ในมือ แทงแหวกอากาศไปยังสวีโหย่วหรง!

ภายนอกกระบี่ของหนานเค่อมองดูแล้วไม่มีอะไรผิดแปลก แต่ความจริงแล้วมีความพิเศษมาก

กระบี่ด้ามนี้ผอมเรียวมาก แต่ไม่ประณีตอย่างแน่นอน เพราะว่ากระบี่ด้ามนี้ยาวมาก ยาวจนเกินกว่าปกติ กระทั่งยางกว่าต้นไหวแก่ที่อยู่ใต้เขาเหล่านั้น!

ท่ากระบี่ของหนานเค่อ ก็ดูไม่ออกว่ามีจุดผิดปกติตรงไหน ราวกับแทงตรงๆ ออกมา แต่เป็นเพราะว่ามันรวบรัด กลับมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่ยากที่จะจินตนาการ

ลมกลางคืนจู่ๆ ก็พัดรุนแรงขึ้นมา โอบล้อมหน้าผาเกิดเป็นเสียงดังโหยหวน

กลางอากาศนับร้อยจั้งบนยอดเขา จู่ๆ ก็ปรากฏเส้นโค้งที่แจ่มแจ้ง

ในเหวใต้หน้าผานับสิบจั้ง ก็เกิดเส้นโค้งที่จืดจางเล็กน้อย

นั่นเป็นดินแดนมายาที่ผู้เฒ่าดีดพิณใช้เสียงพิณสร้างขึ้นมา

เยี่ยมยอดขนาดนี้ แม้จะเป็นสวีโหย่วหรงก็ต้องอยู่ในบริเวณลวงตาชั่วครู่ คิดไม่ถึงว่าจะถูกกระบี่ที่มองดูแล้วเหมือนง่ายนี้ทะลวงโจมตี!

นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่ที่เด็ดขาดระดับไหน!

กระบี่หนึ่งกระบวนท่าพุ่งขึ้นมาห่างระยะร้อยจั้ง กลับต้อนมาถึงเบื้องหน้า!

มองดูกระบี่กระบวนท่านี้ บนใบหน้าของสวีโหย่วหรงไม่มีการแสดงออกถึงความสะท้านสะเทือนใดๆ และก็ไม่มีเจตนาระมัดระวังใดๆ กลับรู้สึกว่าสมเหตุสมผลอย่างมาก

เพราะว่านางรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน ดังนั้นจึงรู้ว่าหนานเค่อน่าจะแข็งแกร่งแค่ไหน เตรียมพร้อมสำหรับกระบี่กระบวนท่านี้ไว้นานแล้ว

เพียงเวลาชั่วครู่ที่หนานเค่อออกกระบี่ นางปลดธนูยาวจากด้านหลัง ตั้งไว้ข้างหน้า

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระบี่เล่มนี้มาเร็วเกินไปหรือไม่ นางไม่ทันนำลูกธนูออกมาจากกระบอกลูกธนู จึงทำให้บนธนูไม่มีสิ่งของใด

สองนิ้วที่สวยงามของนางชิดติดกัน ดึงสายธนูอย่างนุ่มนวลแต่แน่วแน่ จากนั้นปล่อยออก

ท่าทีทั้งหมดราวกับเมฆเคลื่อนน้ำไหล กลับรวบรัดชัดเจนผิดปกติ เพียงพอให้มองเห็นการเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ

ผู้เฒ่าดีดพิณหยุดท่าทีดีดสายไปนานแล้ว เสียงพิณกลางหน้าผายุติลง

ในตอนที่นางขยับสายธนู ระหว่างหน้าผาพลันเกิดเสียงพิณขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงที่ชัดเจนและยาวเสียงหนึ่ง…ปึง!

อยู่ห่างหลายร้อยจั้ง สวีโหย่วหรงดึงธนูยิงหนานเค่อ!

อีกทั้ง บนธนูไม่มีลูกธนู จะยิงอย่างไร?

เสียงคันธนูสั่นสะเทือนเพิ่งเกิดขึ้น เสียงลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้นในท้องฟ้ายามค่ำคืน

เสียงลูกธนูนี้เสียงดังชัดมาก ทั้งยังเนิ่นนาน ราวกับดังอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนมานานแล้ว จนกระทั่งตอนนี้ ผู้คนถึงเพิ่งสังเกต!

ลูกธนูหนึ่งดอก มาจากส่วนลึกของท้องฟ้ายามค่ำคืน ราวกับอสนีบาต ยิงไปยังกลางหว่างคิ้วของหนานเค่อ!

นี่เป็นลูกธนูจากที่ไหน?

นี่ก็คือลูกธนูที่สวีโหย่วหรงยิงออกมาหลังจากคิดคำนวณเป็นเวลานานอยู่ที่ข้างต้นไม้โดดเดี่ยวนั่น!

ล้วนคิดว่าเพราะการรบกวนของโลกมายา ลูกธนูดอกนี้จึงหายไปจากกลางหน้าผา แต่ใครจะคิดว่าลูกธนูดอกนี้กลับบินอยู่กลางท้องฟ้าค่ำคืนมาโดยตลอด จนตอนนี้ถึงเพิ่งปรากฏให้ผู้คนได้เห็น!

ลูกธนูข้างต้นไม้โดดเดี่ยวดอกหนึ่ง ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้หลายเค่อแล้ว เพิ่งจะตกลงมาในตอนนี้!

……

……

เสียงตูมดังกัมปนาท!

กรวดทรายบนยอดเขาอัสดงกลิ้งกระเด็น ไอพลังกระจายสี่ทิศ สีราตรีที่สลัวเลือนรางก็ไม่อาจปิดบังอากาศแปรปรวนที่เกิดจากการปะทะเหล่านั้นได้

ผิวนอกหน้าผาหินที่แข็งแกร่ง เกิดรอยร้าวที่เล็กละเอียดจำนวนมาก

รอยร้าวเหล่านั้น ล้วนมาจากใต้เท้าของหนานเค่อ

เท้าของนางเล็กมาก ใส่รองเท้าหนังมังกรวารีสองข้าง เหยียบรอยร้าวที่แตกระแหงไปถึงข้างหน้าผาเหล่านั้น มองภาพนี้แล้วสะเทือนใจยิ่งนัก

รอยร้าวเหล่านั้นแทนพลังปะทะที่หวาดกลัวไร้ที่เปรียบ

หนานเค่อไม่ได้คำนึงถึงลูกธนูดอกนี้ แต่นางป้องกันลูกธนูดอกนี้ไว้ได้

ท่ากระบี่สองเส้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ไขว้กันเป็นเลขสิบเบื้องหน้านาง ป้องกันลูกธนูที่มาจากส่วนลึกของท้องฟ้ายามราตรีดอกนั้นเอาไว้ด้านนอก

ปลายลูกธนูสั่นระรัว ท่ากระบี่ที่ไขว้กับเป็นเลขสิบก็สั่นสะเทือน ชั้นบรรยากาศบนที่ราบหน้าผาก็สั่นตามไปด้วย เส้นแสงหักเหเปลี่ยนรูปร่าง!

หลังภาพไอพลังพุ่งกระจายสี่ทิศ เป็นหน้าของหนานเค่อ สีหน้าของนางยังคงไม่แยแส สายตายังคงแข็งกระด้าง

เสียงพรึบดังขึ้นหนึ่งเสียง ลูกธนูดอกนั้นของสวีโหย่วหรงถูกสั่นสะเทือนจนกลายเป็นผงธุลีจำนวนมาก กระบวนท่ากระบี่สองเส้นที่เด็ดขาดอย่างยิ่งก็หายไปตามกัน

สิ่งที่หายไปพร้อมกันนั้น ยังมีแผ่นกั้นใสระหว่างสองคนแผ่นหนึ่ง กลับไม่รู้ว่านั่นเป็นโลกมายาหรือว่าอะไร

ช่วงเวลานี้ ชายกระโปรงของหนานเค่อพะเยิบเล็กน้อย จากนั้นพร่าเลือนจนกลายเป็นว่างเปล่า

ช่วงเวลาต่อไป นางก็ปรากฏขึ้นในอีกบริเวณหนึ่งของที่ราบหน้าผา ห่างจากสวีโหย่วหรงหลายสิบจั้ง กระบี่ในมือแทงตรงๆ เข้าไป

ทว่า สวีโหย่วหรงเร็วกว่า

นางไม่ได้ขยับ แต่กลับยกคันธนูยาวในมือขึ้นอีกครั้ง ดึงสายธนู

ครั้งนี้ บนธนูมีลูกธนู

เสียงลูกธนูเกิดขึ้นที่ภูเขาค่ำคืน

ชายกระโปรงของหนานเค่อพะเยิบอีกครั้ง ร่างกายพลันพร่าเลือนอีกครั้ง จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นอีกที่หนึ่งของที่ราบหน้าผา

เสียงฟ้าวดังขึ้นเสียงหนึ่ง

ในเวลาเดียวกันกับที่ร่างของนางปรากฏขึ้นมา ลูกธนูดอกที่สามของสวีโหย่วหรงก็ยิงตรงเข้าไป

ลูกธนูนี้ยังคงไม่สามารถยิงโดนหนานเค่อได้ ยิงโดนเพียงแค่ลมกลางคืน จากนั้นก็หายไปในท้องฟ้าค่ำคืนที่กว้างไกล

เห็นท่าร่างมหัศจรรย์ยากจะบรรยายนั้นของหนานเค่อ บนใบหน้าของสวีโหย่วหรง ในที่สุดก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมาเป็นครั้งแรก

แต่ความเร็วในการตั้งท่าธนูไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ท่าทางยังคงรวบรัดและเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนว่ากำลังต่อสู้อยู่

ท่าร่างของหนานเค่อเร็วเกินไป

ท่าธนูของสวีโหย่วหรง กลับมีระดับขั้นความเร็วที่เท่ากับหนานเค่อ

ถ้าคนธรรมดาชมการต่อสู้สนามนี้ เห็นเพียงหนานเค่อหายไปจากจุดเดิม จากนั้นปรากฏอยู่สักที่ในเค่อต่อไป ในทำนองเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถดูรู้เรื่องว่าสวีโหย่วหรงกำลังทำอะไรอยู่ ในสายตาของพวกเขา น่าจะเห็นแค่ลูกธนูที่สั่นสะเทือนอยู่ในท้องฟ้าค่ำคืน เห็นภาพสวีโหย่วหรงดึงสายธนูจำนวนมาก กลับไม่สามารถเห็นได้ว่านางทำอะไรอยู่

มีเพียงการนำภาพเหล่านี้ประกอบกัน ถึงจะมองเห็นโลกที่แท้จริงได้

โลกที่แท้จริงที่เป็นของพวกเขาเท่านั้น

และถ้าให้เฉินฉางเซิงได้เห็นการต่อสู้ของสนามนี้ เขาก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

สวีโหย่วหรงใช้กระบี่ทะลวงเกล็ดน้ำแข็งของเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ โดยใช้…ลูกธนูแทน!

ส่วนหนานเค่อใช้สิ่งที่แปลกประหลาดยากคาดเดาที่สุดของต้าลู่…ย่างก้าวหยั่งเทวา!

และสิ่งที่นางใช้นั้นไม่ใช่ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับปรับปรุงให้ง่ายขึ้นที่เฉินฉางเซิงเรียนรู้อย่างตั้งใจแน่วแน่จากความจำที่ยากจะจินตนาการ แต่เป็นย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับสมบูรณ์ กระทั่งสามารถพูดได้ว่าเป็นย่างก้าวหยั่งเทวาที่สมบูรณ์แบบ เทียบกับผู้แข็งแกร่งเผ่ามารที่ลอบสังหารลั่วลั่วในสำนักฝึกหลวงในตอนนั้น ท่าร่างของนางไม่รู้ว่าเหนือกว่ากี่เท่า!

ตามหลักเหตุผลแล้ว หากไม่ใช่ตระกูลเยียซื่อ ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ย่างก้าวหยั่งเทวาฉบับสมบูรณ์ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉบับสมบูรณ์แบบ แต่หนานเค่อเป็นตระกูลราชวงศ์ ฉะนั้นนางมีสายเลือดพรสวรรค์ของทุกตระกูลในเผ่ามารแต่กำเนิด พูดจากเหตุผลนี้ การบำเพ็ญเพียรนั้นไม่เคยเป็นเรื่องที่ยุติธรรม

ระดับขั้นการบำเพ็ญของสวีโหย่วหรงล้วนไม่แพ้หนานเค่อ กระบวนท่าธนูซึ่งน้อยอย่างมากที่จะปรากฏขึ้นมาในโลกยิ่งยอดเยี่ยมสุดเปรียบ เหมาะสมกับกฎของธรรมชาติ เผชิญหน้ากับท่าย่างก้าวที่ประหลาดยากที่จะพรรณนาของหนานเค่อ นางเงียบสงบไม่เปล่งวาจา ไม่ลนลานแม้แต่น้อย คล้อยตามเสียงธนูที่ดังเป็นระยะๆ กลับทำให้หนานเค่อไม่อาจเข้าใกล้ตัวนางได้!

แต่ว่า…จำนวนลูกธนูในกระบอกธนูนั้นมีจำกัด อย่างไรก็จะมีช่วงเวลาที่ยิงจนหมด

นี่เป็นความจริง แต่ความจริงนี้ก็หมายความว่าจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งอย่างแน่นอน อาจจะเป็นช่วงเวลาต่อไปก็ได้

ในช่วงเวลาต่อไป เมื่อลูกธนูในกระบอกธนูของสวีโหย่วหรงหมดแล้ว

นางก็จะไม่อาจต่อกรกับท่าร่างประหลาดของหนานเค่อได้อีก

เสียงอากาศฉีกขาดดังขึ้น เงาร่างของหนานเค่อสับเปลี่ยนความจริงเท็จในแสงท้องฟ้าราตรี มาถึงข้างหน้านางประมาณหลายสิบจั้ง

เสียงตะคอกรุนแรงเด็ดขาดอย่างยิ่ง ระเบิดออกมาจากในร่างกายที่เล็กบางของหนานเค่อ

ในขณะที่ระเบิดนั้นยังมีแสงกระบี่ที่สว่างชัดแจ่มแจ้งสายหนึ่ง!

แสงกระบี่ที่ยาวหลายชุ่นสายนั้น มาจากบนกระบี่ยาวที่นางกำไว้แน่น

แสงกระบี่วาดเส้นโค้งออกมาท่ามกลางท้องฟ้าค่ำคืน ฟันลงใกล้ร่างกายของสวีโหย่วหรงอย่างรุนแรงไร้ที่เปรียบ!

แสงกระบี่สายนี้นำพาท่ากระบี่ที่เด็ดขาดสุดเปรียบ ปิดกั้นตำแหน่งรอบข้างของสวีโหย่วหรง ให้ความรู้สึกว่าไม่สามารถหลบหลีกได้!

ลมกลางคืนเหนือยอดเขาอัสดงพัดรุนแรง แสงกระบี่สว่างไสวราวอสนีบาต

สายผ้าผูกผมของสวีโหย่วหรง ถูกรุกรานด้วยเจตจำนงกระบี่ ขาดออกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ผมสีดำตกลงบนไหล่

ถ้าถูกตัดด้วยแสงกระบี่สายนี้ นางต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

นางจะรับกระบี่นี้อย่างไร?

นางยื่นมือของตัวเองออกไปยังแสงกระบี่สายนั้น

มือข้างนั้นขาวกระจ่าง งดงามยิ่ง

เทียบกับแสงกระบี่ที่รุนแรงน่ากลัว แสดงออกถึงความเล็กกระจิริดและอ่อนแอ

แต่สีหน้าของนางยังคงสงบเงียบและมั่นใจในตัวเอง

นางมองดวงตาของหนานเค่ออย่างสงบผ่านแสงกระบี่ที่สว่างไสว

เส้นผมสีดำของนางเต้นระบำอ่อนช้อยภายใต้ลมกระบี่

ไอพลังไร้รูปร่างสายหนึ่งกระจายออกมาจากมือนางมุ่งไปยังแสงท้องฟ้ายามค่ำคืน

ไอพลังสายนั้นประณีตอ่อนน้อมมาก ไร้รังสีฆ่าฟันใดๆ ราวกับกำลังเรียกร้องอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้นเอง…ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

ท้องฟ้ายามค่ำคืนเหนือยอดเขาอัสดงทั้งสี่ทิศ มีเสียงคำรามร้ายกาจของลูกธนูจำนวนมากดังขึ้นมา!

ลูกธนูสิบกว่าดอกทะลวงแสงท้องฟ้ายามค่ำคืนมาจากทั่วสารทิศ!

ลูกธนูเหล่านี้ล้วนเป็นลูกธนูที่นางยิงออกมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนหายไปจากท้องฟ้าค่ำคืน กลับเหมือนลูกธนูดอกแรกที่ยิงออกไปจากบนถนนเส้นทางภูเขา ไม่เคยห่างหายจากไปอย่างสิ้นเชิง เพียงแต่แค่รอคอยการร้องหาของนาง!

นางยื่นมือไปในม่านราตรี

ในฟ้าราตรีปรากฏเส้นแสงสิบกว่าสายเพิ่มขึ้นมา ราวกับดาวตกที่ตกลงมาจากท้องฟ้า โผทะยานเข้าปะทะกับหนานเค่อเสียงดังตูม!

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset