ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 280 ประสบพบพักตร์ท่ามกลางผืนฟ้าราตรี

น้ำทะเลสาบที่หนาวเย็นตีข้างแก้ม แหลมคมประดุจใบมีดเล็กๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ตื่นขึ้นมา เมื่อพยายามลืมตา กลับถูกน้ำทะเลสาบที่กระเพื่อมมาโจมตีจนเกิดความเจ็บปวด ทำได้เพียงหลับตาอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าตัวเองขยับไปข้างหน้าในน้ำทะเลสาบด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการ และความรู้สึกที่ส่งผ่านมาจากมือ ยืนยันว่าร่มกระดาษทองช่วยชีวิตตัวเองไว้

ร่มกระดาษทองเป็นสิ่งของไม่มีชีวิต เหตุใดถึงกระทำการด้วยตัวเองได้? สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นคำถามที่ยากที่จะเข้าใจเป็นอย่างมาก เจตจำนงกระบี่ที่เหมือนกับส่งมาจากสถานที่แห่งหนึ่งเบื้องหน้าสายนั้นทำให้เขาเหมือนจะเดาอะไรออกบางอย่าง แต่ยังคงไม่ได้นำเจตจำนงกระบี่สายนั้นเชื่อมโยงกับร่มกระดาษทองไว้ด้วยกัน…เจตจำนงกระบี่สายนั้นน่าจะเป็นของสระกระบี่ในตำนาน หายไปนานกว่าหลายร้อยปีในสวนโจวแล้ว แต่ร่มกระดาษทองเป็นสิ่งของใหม่ที่ซูหลีผู้เป็นอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานเชิญให้ตระกูลถังที่เวิ่นสุ่ยทำขึ้น ในยุคสมัยที่แตกต่างกันของสองสิ่งนี้ ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความเชื่อมโยงใดๆ ถึงจะถูก

ผ่านไปอีกสักพัก เขามีสติปลอดโปร่งขึ้นมามากกว่าเดิม จัดท่าทางให้เรียบร้อยอย่างยากลำบาก ปรือตาขึ้นมาเป็นร่องเล็กเส้นหนึ่ง มองเห็นปีกแสงคู่นั้นที่อยู่ด้านหลังไม่ไกล ถึงจะรู้ว่าความอันตรายไม่ได้พ้นวิสัย ในขณะเดียวกันบาดแผลในร่างกายที่มองไม่เห็นเหล่านั้นเริ่มส่งความเจ็บเข้าสู่สมองของเขาอย่างแจ่มแจ้ง ทำให้เขาเจ็บปวดถึงขีดสุด

ร่มกระดาษทองหมุนอย่างรวดเร็วที่ด้านหน้า ก็เหมือนกับใบพัดเรือพายที่ใช้สำหรับสร้างเรือลำใหญ่ของคนเมืองต้าซี นำพาเขา พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว น้ำทะเลสาบที่ดำมืดเยือกเย็น โจมตีร่างกายของเขาไม่หยุด นำพาความเจ็บปวดที่มากยิ่งขึ้นมาเยือน ต้องทะยานไปถึงเมื่อไร? แล้วร่มกระดาษทองจะพาตนเองไปที่ไหน?

จู่ๆ เขาสังเกตได้ว่าน้ำทะเลสาบหายไปแล้ว ในขณะเดียวกันมีเสียงจำนวนมากส่งเข้ามายังปลายโสตของตัวเอง

นั่นเป็นเสียงแตกออกของน้ำทะเลสาบ เป็นเสียงหริ่งเรไรของแมลงในพงหญ้าข้างทะเลสาบ เสียงร้องที่เห็นได้ชัดถึงความเป็นเด็กแต่กลับมีความโหดร้ายทารุณเล็กน้อย น่าจะมาจากบริเวณไกลมาก แต่เหตุใดกลับรู้สึกเหมือนว่าอยู่ใกล้ข้างหู?

ม่านกั้นฉากที่ดำมืดตรงหน้านี้ เป็นภาพใต้ท้องทะเลสาบจริงๆ หรือ? ไม่ นั่นเป็นท้องฟ้าค่ำคืน ที่มืดดำขนาดนี้ เป็นเพราะว่าในสวนโจวไม่มีดวงดาว

ที่นี่เป็นทะเลสาบเล็กแห่งหนึ่งที่ด้านนอกของข้างหน้าเขาอัสดงสิบกว่าลี้

ทะเลสาบเล็กแห่งนี้ในคืนนี้มองเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านอย่างต่อเนื่องที่ยอดเทือกเขา ได้ยินเสียงหงส์ร้อง ถูกปีกแสงส่องสว่าง ตอนนี้ยังได้ยินเสียงนกยูงร้องอีก เพิ่งจะพยายามสงบก็ถูกตีแตกอีกครั้ง

ร่มกระดาษทองหมุน พาเฉินฉางเซิงทะลุออกจากทะเลสาบ!

น้ำทะเลสาบที่อยู่บนร่มและร่างกายของเขาไหลลง กระเซ็นไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ทำให้กลายเป็นรูปร่างม่านน้ำตกไหลย้อย

เฉินฉางเซิงได้สติขึ้นมา ก็รู้ว่าในที่สุดตัวเองได้จากไปจากน้ำทะเลสาบที่อึมครึมน่ากลัวนั่น กลับไปยังโลกบนทะเลสาบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าอยู่ในสวนโจว หรือว่าฝั่งสระเยือกเย็น

เวลาต่อมา เขาสังเกตเห็นว่าตัวเองมาถึงกลางท้องฟ้าค่ำคืน ทะเลสาบเล็กที่ใต้เท้ากลายเป็นกระจกบานหนึ่ง สูงห่างจากพื้นดินอย่างน้อยหลายสิบจั้ง

จู่ๆ พลันออกจากส่วนลึกในทะเลสาบมายังท้องฟ้าสูงยามค่ำคืน ไม่ว่าเป็นใครก็ล้วนมีความตกตะลึงลนลานเล็กน้อย

และในตอนนี้ น้ำทะเลสาบก็ระเบิดออกอีกครั้ง ปีกแสงคู่นั้นสลายกลายเป็นแสงไหล ไล่ตามมาถึงใต้ร่างกายของเขา ปลายแหลมของปีกประกบกัน สลายกลายเป็นหนามแหลมสายหนึ่ง โจมตีลงกลางกล้ามเนื้อหน้าอกของเขาอย่างแรง!

เสียงหนักหน่วงเสียงหนึ่งดังขึ้น!

เลือดหัวใจเฉินฉางเซิงพลิกไหล เกือบจะพ่นเลือดออกมา ฝืนกลืนลงไป กลับไม่ได้แปลว่าไม่ได้รับบาดเจ็บ

เขาผู้ซึ่งเดิมก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ถูกโจมตีอย่างหนักอีกครั้ง ก็ไม่สามารถทนต่อไปได้อีก

เขาผู้ซึ่งกำร่มกระดาษทองไว้ก็เหมือนกับว่าวสายป่านขาดตัวหนึ่ง บินไปยังท้องฟ้าค่ำคืนที่สูงยิ่งขึ้นด้วยความสิ้นหวัง

รอบินไปยังจุดสูงสุด ตกลงมาที่พื้นดินอีกครั้ง ก็จะเป็นเวลาแห่งความตาย

ขณะนึกถึงเรื่องพวกนี้ เขาพลันสลบไปอีกครั้ง ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่เขาจะสลบไป เขาจู่ๆ รู้สึกว่าท้องฟ้าค่ำคืนสว่างขึ้นกว่าเดิม

นั่นไม่ใช่ภาพลวงตาจากการเฉียดใกล้ความตาย แต่ท้องฟ้าค่ำคืนถูกส่องสว่างอย่างแท้จริง

สิ่งที่ส่องสว่างท้องฟ้าค่ำคืนนั้นเป็นปีกไฟคู่หนึ่ง

ไม่ใช่ปีกไฟของสตรีสองนางนั้นที่ไล่ฆ่าเขาอยู่ข้างหลัง แต่เป็น…ปีกไฟคู่หนึ่ง

ปีกไฟคู่นั้นสยายออกมาในท้องฟ้ายามค่ำคืน ยิ่งใหญ่ ปลดปล่อยเปลวไฟที่อบอุ่นและศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์

ดังนั้น หญิงสาววัยเยาว์ในปีกไฟคู่นั้นเมื่อมองดูแล้วจึงมีความกะทัดรัดบอบบาง

……

……

ปีกไฟทะลุท้องฟ้าค่ำคืนแล้วมาถึง และในช่วงเวลาที่เฉินฉางเซิงกำลังจะตกลงสู่ความตายนั้นก็จับเขาเอาไว้ จากนั้นบินไปยังท้องฟ้าอันกว้างไกลต่อไป

สตรีสองนางที่ตามไล่ฆ่าเขามาถึงตรงกลางนี้ รู้สึกถึงความหวาดกลัวที่รุนแรงชนิดหนึ่งอย่างน่าประหลาดใจ ปีกแสงขยับรวดเร็ว หลบไปยังด้านหลัง จากนั้นก็นึกถึงเสียงนกยูงร้องที่ได้ยินจากในน้ำทะเลสาบในก่อนหน้านี้ ความหวาดกลัวในใจยิ่งเข้มข้นมากขึ้น โดยไม่ทันใช้วิจารณญาณตรึกตรอง ใช้วิธีการที่เกือบจะแผดเผาไฟชีวิต บินไปยังบริเวณเสียงที่ดังขึ้นด้วยความเร็วที่ยากจะจินตนาการ

หนานเค่อกระโดดลงมาจากข้างหน้าผา ยิ่งมายิ่งว่องไวราวกับก้อนหิน เสียงลมพึ่บพั่บพัดเป่าเส้นผมของนาง กลับไม่สามารถพัดความไม่แยแสหว่างคิ้วของนางให้กระจายหายไปได้ ในขณะที่ยิ่งมายิ่งใกล้พื้นดินและความตาย สำหรับนางแล้วไม่มีความหมายใดๆ เพราะว่านางมองได้อย่างชัด ผู้รับใช้สาวสองคนของตัวเองมารอถึงใต้หน้าผาของเทือกเขาอัสดง

อย่างไร้สุ้มเสียง ผู้หญิงสองคนนั้นรับร่างกายอันเล็กของหนานเค่อไว้ จากนั้นจู่ๆ สลายกลายเป็นกลุ่มก้อนเงาแสง ละลายอยู่ในปีกแสง ก็เหมือนกับละลายเข้าไปในเมฆท่ามกลางฟ้าสีคราม ปีกแสงที่สว่างไสวที่ก้อนหน้านี้ไล่ตามเฉินฉางเซิงคู่นั้นจู่ๆ ก็เปลี่ยนสี ขอบของปีกแสงทาทาบด้วยสีเขียวที่เย้ายวน ราวกับเปลี่ยนจากร่างวิญญาณเป็นร่างแท้จริง

ขนปีกสีเขียวขยับไปมาเบาๆ ที่ด้านหลังของหนานเค่อ นางมองไปยังสถานที่ห่างไกลของท้องฟ้าค่ำคืนด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส รอหลังจากยืนยันตำแหน่งของปีกไฟที่กลายเป็นจุดแสงได้ ก็ขยับปีกคู่อย่างไม่ลังเล ไล่ตามไปยังที่ฝั่งนู้น ปีกสีเขียวที่ยาวหลายจั้งพัดลมขึ้นมาสองสายด้านหน้าหน้าผา เสียงพึ่บพั่บแหวกอากาศที่น่ากลัวดังขึ้นมาในท้องฟ้าค่ำคืน พลันอันตรธานไปจากตรงนี้

……

……

สายเลือดพรสวรรค์ของเผ่ามนุษย์หรือเผ่ามาร และการแปลงร่างของเผ่าปีศาจ แม้มองแล้วมีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วมีความต่างกันมาก การรู้ตื่นของสายเลือดพรสวรรค์ปกติแบ่งเป็นสี่ขั้น การรู้ตื่นที่แรกเริ่มสุดอยู่ที่ตัวสายเลือด การรู้ตื่นครั้งที่สองเป็นการรู้ตื่นของดวงวิญญาณ หากใช้วิธีพูดที่ง่ายกว่านี้ หลังจากการรู้ตื่นครั้งแรก ผู้บำเพ็ญเพียรและสายเลือดพรสวรรค์ของนางก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยกของใครของมันอีก เข้าใจอย่างแท้จริงว่าตัวเองคืออะไร

การไม่หลับไม่นอนติดต่อกันสองวันสองคืน ในที่สุดไม่อาจเอาชนะการร่วมมือกันของหนานเค่อและผู้เฒ่าดีดพิณได้ จึงเดินเข้าไปยังเหวลึกแห่งความหมดหวังอย่างสงบ ก่อนหน้าความหวาดกลัวอันใหญ่หลวงจากความตาย สวีโหย่วหรงทำการรู้ตื่นครั้งที่สองได้สำเร็จ ดวงวิญญาณหงส์สวรรค์ที่อยู่ลึกสุดในร่างกายของนางก็ฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยเหตุนี้ สายเลือดและร่างกายของนางหลวมรวมซึ่งกันและกัน ขณะคิดขยับจิตสัมผัส ก็ปรากฏปีกไฟส่องสว่างทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืน

แต่นี่ไม่ได้แปลว่านางจู่ๆ ก็ได้รับความสามารถในการทลายโลกทั้งใบ นางในตอนนี้ยังคงบาดเจ็บสาหัส เลือดพิษของหนานเค่อยังคงทรมานร่างกายของนางอย่างไม่หยุดหย่อน นี่ทำให้สายตาของนางมีความฝ้าฟางเล็กน้อย นางจึงไม่ได้บินกลับไปยังยอดหน้าผาและต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหนานเค่ออีกครั้ง แต่เป็นการบินไปยังสถานที่อันไกลโพ้นในท้องฟ้าค่ำคืน สิ่งที่ตอนนี้นางต้องการมากที่สุดคือการรักษาและหวีขน

แต่แล้วสิ่งที่นางคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ออกไปจากเขาอัสดงเพียงไม่กี่เค่อเท่านั้น ในทะเลสาบเล็กๆ ที่สงบซึ่งไกลออกไปสิบกว่าลี้แห่งนั้น คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับการต่อสู้อีกสนามหนึ่ง นางมองแค่เพียงปราดเดียวก็รู้ว่าสองคนที่ทะลุน้ำออกจากทะเลสาบ ร่างกายเชื่อมต่อกัน สตรีที่บริเวณหลังมีปีกแสงก็คือปีกคู่ของหนานเค่อที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย เช่นนั้นแล้วคนที่ถูกพวกนางไล่ฆ่านั้นเป็นใครกัน?

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset