ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 29 หนึ่งประโยคปลุกลมฝน

แสงดาวส่องประกายจากท้องฟ้ายามราตรี ผ่านทะลุสิ่งปิดกั้นไร้รูปร่าง ก่อเกิดเป็นแสงหักเหที่แปลกประหลาด ส่องกระทบลงบนใบหน้าของบุรุษเผ่ามารวัยกลางคน ราวกับว่าสีหน้าของเขาซีดขาวขึ้นมาอีก มองแล้วราวกับหิมะที่ไม่ละลายทางทิศเหนือ

ลั่วลั่วยกมือขึ้นมา เช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก จ้องมองเขาแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอยากจะลักพาตัวหรืออยากสังหารข้า”

บุรุษเผ่ามารกล่าวด้วยความสงบ “ลักพาตัวท่าน ข้าไม่มีวิธีที่จะออกจากจิงตูได้ ดังนั้นขออภัย ข้าคงทำได้แค่สังหารท่านเสียทีนี้”

ลั่วลั่วจ้องเขม็งทันใดนั้นก็สามารถมองเห็นเขามารทั้งสองเขาอยู่ระหว่างเส้นผม เอ่ยถาม “ดูเหมือน เจ้ารอข้ามาเป็นเวลานานแล้ว”

บุรุษเผ่ามารก้มกายลงเล็กน้อย กล่าวว่า “เริ่มจากวันที่ฝ่าบาทจากดินแดนมา จะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ ตั้งแต่วันที่ฝ่าบาทข้ามผ่านแม่น้ำที่มีกลิ่นคาวโลหิต ข้าก็เฝ้ารอมาตลอด รอคอยวันนี้มาถึง”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “อย่างนั้นก็รอมานานจริงๆ”

“ข้าจากบ้านเกิดมาเป็นระยะเวลาหลายปี ติดตามตั้งแต่ท่านเริ่มการเดินทางครั้งนี้มาเป็นระยะเวลาปีกว่าแล้ว อยู่ที่จิงตูแอบซ่อนราวกับหนูมาเป็นระยะเวลาครึ่งค่อนปี หากจะกล่าวถึงการดำเนินชีวิตก็คือเฝ้ามองท่านยามค่ำคืนอย่างเงียบๆ ไร้รสชาติและอันตรายอย่างยิ่ง”

บุรุษเผ่ามารบรรยายช่วงชีวิตสองสามปีที่ผ่านมาของตนเอง ไม่สนใจ ในความเป็นจริงเหี้ยมโหดอย่างยิ่ง จนกระทั่งสามารถกล่าวได้ว่าเศร้าสลดและเร้าใจ

หลบซ่อนอยู่ในเมืองซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่สุดของมนุษย์มาเป็นเวลายาวนาน

เขาจำเป็นต้องทุ่มเทสิ่งของที่ต้องแลกเปลี่ยนอย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณ

เขานิ่งเงียบชั่วครู่ หมุนกายจ้องมองไปยังทะเลสาบทางทิศเหนือที่ไกลโพ้น กล่าวออกมาจากใจ “ข้าคิดถึงลมหิมะที่บ้านเกิด ยิ่งคิดถึงภรรยาและลูกสาว ขอบคุณฝ่าบาทที่กรุณาให้โอกาสข้าทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในค่ำคืนนี้สำเร็จ”

หลังจากฟังสองประโยคนี้จบแล้ว ในใจของลั่วลั่วก่อเกิดความเสียใจเล็กน้อย

นางคิดไม่ถึง เผ่ามารเฝ้าจ้องโอกาสกับตนมาตลอด นึกไม่ถึงว่าจะจากบ้านเกิดติดตามมาถึงจิงตูมาโดยตลอด วางแผนล้ำลึกยาวไกล ใช้จิตใจลุ่มลึกจนถึงระดับนี้ โอกาสชั่วพริบตาที่ถูกเผ่ามารจับได้ จะต้องไม่ปรากฏเหตุการณ์คาดไม่ถึงใดๆ เป็นแน่

สิ่งที่นางเสียใจก็คือ โอกาสนี้ตนเองเป็นผู้เสนอให้เผ่ามาร ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางใช้กลอุบายจนหลุดพ้นจากผู้อารักขาของเผ่านางเพื่อตามหาคนผู้นั้น บุรุษเผ่ามารที่อยู่ตรงหน้า อาจจะทำได้เพียงแค่หลบซ่อนตัวต่อไป พลังชีวิตค่อยๆ หมดไปอยู่ในโลกมนุษย์ จนกระทั่งแก่เฒ่า

นางจ้องไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน มองไปยังแสงสะท้อนที่ชัดเจนของดวงดาวเหล่านั้น รู้ว่าของวิเศษชิ้นนั้นสามารถตัดขาดโลกด้านในกับโลกด้านนอกทั้งสองออกจากกันได้โดยสมบูรณ์ แม้ว่าคนของนางอยู่ที่กำแพงด้านนั้นของสำนักฝึกหลวง แต่ก็คงไม่สามารถได้ยินเสียงร้องของนางเป็นแน่

เวลานี้สถานที่นี้ ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยตนได้ นอกจากตนเอง

ลั่วลั่วแน่ใจในสถานการณ์ของตนเอง แต่กลับสงบนิ่ง มองไปยังบุรุษเผ่ามารผู้นั้น ที่มีรูปร่างหน้าตาอ่อนเยาว์ จิตใจแน่วแน่ที่ต้องการจะตอบโต้พลันเข้ามาแทนที่ “ขั้นทะลวงนรกแกร่งกล้ายิ่งนัก แต่ก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติที่จะสังหารข้าได้”

“ในจิงตู อุปสรรคมีมากมาย มนุษย์ที่แกร่งกล้าที่นี่ก็มีมากมาย ถ้าหากข้าแข็งแกร่งเกินไป ข้าสามารถก่อกวนผู้ยิ่งใหญ่ระดับแม่นางม่ออวี่ได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อพระราชวังต้าโจวส่งผู้เก่งกาจมาเพียงไม่กี่คน ข้าก็เสียชีวิตแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถแข็งแกร่งได้”

บุรุษเผ่ามารจ้องมองไปยังนางกล่าวว่า “วิทยายุทธ์ของข้าชำนาญในการอำพรางตัว ถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอ เหมาะแก่การสังหารฝ่าบาทพอดี ดังนั้นข้าจึงเหมาะสมที่สุด ดังนั้นผู้ที่ปรากฏตัวต่อหน้าท่านวันนี้จึงเป็นข้า มิใช่ผู้อื่น”

ลั่วลั่วกล่าวว่า “ข้าต้องการรู้ชื่อของเจ้า”

นางกล่าวประโยคนี้สงบนิ่งอย่างยิ่ง ตนเองมีความรู้สึกอย่างที่ผู้สูงส่งมีต่อผู้ด้อยกว่าชนิดหนึ่ง

“ข้านามว่าโม๋เหอ” บุรุษเผ่ามารกล่าวตอบอย่างเชื่อฟัง

ลั่วลั่วกล่าวว่า “โม๋เหอเป็นแซ่ มิใช่ชื่อ”

บุรุษเผ่ามารยิ้มน้อยๆ ใบหน้าซีดเซียวราวกระดาษขาวพลันย่นขึ้น ดูน่าเกรงกลัวเล็กน้อย “ฝ่าบาท ประวิงเวลาก็ไม่ได้มีความหมาย”

ลั่วลั่วหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะไพเราะอย่างยิ่ง พัดตามสายลมยามค่ำคืนไปยังสถานที่ห่างไกล ถ้าหากไม่มีสิ่งกีดกั้น อย่างน้อยผู้คนที่อยู่กำแพงด้านนั้นคงจะได้ยินอย่างชัดเจน แต่บุรุษเผ่ามารผู้นั้นมิได้มีความคิดที่จะหยุดยั้ง

“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ใส่ใจที่ข้าประวิงเวลา” นางจึงไม่ลองอีก กล่าวอย่างจริงจังออกไป

บุรุษเผ่ามารกล่าวว่า “หากสังหารฝ่าบาท ทำให้ข้าหลบหนีออกจากจิงตูได้อย่างยากยิ่งเป็นแน่ อย่างนั้นเวลานี้ อาจจะเป็นเวลาร้อยกว่าปีสุดท้ายของชีวิตข้า สามารถพูดคุยกับฝ่าบาทผู้มีสายเลือดสูงศักดิ์เช่นนี้ คิดดูแล้ววิญญาณของข้าคงจะพักผ่อนได้ง่ายดายยิ่งขึ้น”

ลั่วลั่วเบิกดวงตากลมโตเขม็ง กะพริบขนตาน้อยๆ เอ่ยถามด้วยความแปลกประหลาดใจ “เจ้าไม่กังวลว่าจะถูกมนุษย์พบหรือ”

บุรุษเผ่ามารชี้ไปยังสิ่งของราวกับแท่งเหล็กที่อยู่บนสนามหญ้าด้านหน้าตน

“ที่นี่ใกล้กับพระราชวังอย่างยิ่ง” นางกล่าวเตือนด้วยความหวังดี

บุรุษเผ่ามารกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก “ข้าเชื่อว่า แม้แต่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กำลังจ้องมองมาที่นี่ ก็ไม่สามารถค้นพบว่าพวกเรากำลังทำสิ่งใด”

“ดีล่ะ ข้าก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าจะไม่มีผู้ใดมาช่วยข้าแล้ว”

ลั่วลั่วถอนหายใจออกมา หน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างชัดเจน กลับดูน่ารักยิ่งนัก

“เช่นนั้น เจ้าแน่ใจว่าสามารถสังหารข้าได้จริงหรือ”

กล่าวประโยคนี้จบ ทันใดนั้นนัยน์ตาของนางแปรเปลี่ยนเป็นสว่างไสวอย่างยิ่ง ราวกับไข่มุกสองเม็ดก็มิปาน มือข้างขวาปลดแส้หนังเส้นหนึ่งออกมาจากเอว แส้หนังเส้นนั้นยาวอย่างยิ่ง ยาวจนกองขึ้นมาอยู่ตรงข้างเท้าของนาง ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เก็บไว้ที่เอวได้อย่างไร

“นี่คือแส้วิรุณโปรยในตำนานหรือ”

บุรุษเผ่ามารราวกับว่าหดหู่ใจอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเห็นอาวุธเทพในตำนาน หรือเพราะว่าสาเหตุอื่น

หลังจากนั้นเขาจ้องมองไปยังลั่วลั่ว กล่าวจริงจังอย่างยิ่ง “ไม่ว่ารอบตัวของท่านจะพกศาสตราวิเศษยากพบเห็นมาเท่าไหร่ ฝ่าบาท ค่ำคืนนี้ท่านก็จะต้องเสียชีวิต เพราะนี่คือการเตรียมการของใต้เท้ากุนซือ เช่นนั้นจึงไม่อาจเกิดเรื่องคาดไม่ถึงใดๆ”

ฟังประโยคนี้ มือน้อยของลั่วลั่วใช้แรงกุมด้ามแส้ จนซีดขาวเล็กน้อย

กุนซือของเผ่ามาร ในดินแดนต้าลู่ชื่อนี้เป็นหนึ่งในชื่อที่น่าหวาดกลัวที่สุด

บิดาของนางก็ให้ความสนใจกับคนผู้นี้อย่างยิ่ง

สงครามครั้งใหญ่ในปีนั้นได้สิ้นสุดลง เผ่ามารพ่ายแพ้ให้กับการร่วมมือกันทางการทหารของมนุษย์และเผ่าปีศาจอย่างย่อยยับ แต่เพราะมิได้สูญเสียเอกราช จึงยังสามารถยืนหยัดอยู่ในดินแดนทางทิศเหนืออันหนาวเหน็บได้อย่างยากลำบาก จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ส่อเค้าว่าจะฟื้นคืนขึ้นมา นอกจากองค์ชายเผ่ามารผู้ไร้ความรู้สึกปกครองดินแดนเสวี่ยเหล่าได้อย่างมั่นคงแล้ว สาเหตุที่สำคัญก็คือแผนการของกุนซือเผ่ามาร ไม่ว่าจะเป็นแผนการร้ายที่คาดคิดไม่ถึง หรือว่าเบื้องหลังนโยบายเรื่องปากท้องของมวลประชาอันน่าประทับใจ ล้วนแต่มีเงาของคนผู้นั้น

ใช่แล้ว เป็นเงาของคนผู้นั้น

กุนซือของเผ่ามาร เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

ไม่มีผู้ใดรู้ เพราะเหตุใดมนุษย์คนหนึ่งยินยอมที่จะหักหลังเผ่าพันธุ์ของตนเอง ทุ่มเทขายชีวิตให้เผ่ามาร แต่ทั่วดินแดนต้าลู่ล้วนทราบดี มนุษย์ผู้นี้ได้รับความยกย่องในเผ่ามารอย่างยิ่ง เพียงมองจากจุดนี้ ก็ทำให้รู้ว่าคนผู้นี้สุดท้ายแล้วเก่งกาจเพียงใด

แผนการเล่ห์กลของกุนซือเผ่ามาร แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยพ่ายแพ้ ความคิดของเขาราวกับว่าไม่มีรูรั่ว เขาเข้าใจจิตใจของมนุษย์จึงนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อยู่เหนือคำที่เรียกว่าฝีมือระดับสุดยอดมานานแล้ว แปรเปลี่ยนเป็นมีพละกำลังที่ยากจะกล่าวถึง

หลายปีมานี้ ไม่รู้ว่าผู้คนที่มุ่งไปยังทางทิศเหนือพ่ายแพ้ให้กับแผนการสกปรกของคนผู้นี้มากี่คราแล้ว แม้กระทั่งกองกำลังใหญ่ยังไม่ได้เคลื่อนกำลังพลก็ล้มตาย คนผู้นี้นำมาซึ่งความเสียหายให้แก่เผ่ามนุษย์ ถึงขนาดที่ว่าเปรียบกับผู้มีฝีมือสูงส่งทั้งแปดของเผ่ามารความน่าหวาดกลัวรวมกันยังคงมีมากกว่า

ผู้แกร่งกล้าเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วน รวมทั้งนักรบของเผ่าปีศาจ ล้วนแต่เคยวางแผนค้นหากุนซือของเผ่ามารผู้นี้ หลังจากนั้นก็จะสังหารเขาอย่างเงียบๆ แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่มีผู้ใดทำสำเร็จ นอกจากผู้แกร่งกล้าที่ใช้กระบี่ของพรรคฉางเซิง ก็ไม่มีผู้ใดหาเขาพบอีก

จนกระทั่งวันนี้ ยังคงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่ากุนซือของเผ่ามารแซ่อะไร รูปร่างลักษณะเป็นเช่นไร เป็นคนที่ไหน มีการไปมาหาสู่อย่างไร ถึงทำให้เขาเลือกที่จะทรยศเผ่ามนุษย์ เข้าร่วมเผ่ามาร ถึงขนาดมีเรื่องเล่าว่า หลังจากที่เผ่ามารพ่ายแพ้ย่อยยับในปีนั้น เดิมทีกุนซือผู้นี้ไม่ได้กลับไปดินแดนเสวี่ยเหล่ากับเผ่ามาร แต่เลือกที่จะปิดบังฐานะของตนเอง ตอนนี้ดำรงชีวิตอยู่ที่โลกมนุษย์ เขาอาจจะเป็นเพื่อนบ้านของเจ้า อาจจะเป็นอาจารย์ของเจ้า จนกระทั่งอาจจะเป็นปรมาจารย์ท่านหนึ่ง

นี่ก็คือจุดที่น่าเกรงกลัวที่สุดของกุนซือเผ่ามาร

ผู้คนเพียงรู้ว่ามักจะสวมใส่เสื้อคลุมสีดำ

ผู้แกร่งกล้าเผ่ามารมากมาย เมื่อเอ่ยถึงเขา ล้วนแต่เรียกด้วยความเคารพยำเกรงว่า

ท่านเสื้อคลุมสีดำผู้ยิ่งใหญ่

ลั่วลั่วจ้องมองไปยังบุรุษเผ่ามารที่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำข้างต้นไม้ ในใจค่อยๆ สงบลง

หากนี่คือแผนการของกุนซือเผ่ามาร อย่างนั้นตนเองอาจจะรอดพ้นได้ยากยิ่ง ผู้ใดล้วนแต่ทราบดี แผนการของกุนซือเผ่ามารมองดูแล้วราวกับว่าง่ายๆ แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรไม่มีรูรั่วใดๆ ไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น

บุรุษเผ่ามารที่สวมเสื้อคลุมสีดำข้างต้นไม้ผู้นั้น คงจะเป็นคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของกุนซือผู้นั้น

อาวุธที่ทำมาจากเหล็กแท่งนั้นอยู่ในสนามหญ้าด้านหน้าเขา ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดจากด้านนอกโดยตรง

นางมาถึงสำนักฝึกหลวงเพียงลำพัง

และไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นนาง

นางคงจะต้องเสียชีวิตเป็นแน่

สถานการณ์นี้ง่ายอย่างยิ่ง กล่าวอยู่บนตรรกะไม่อาจจับผิดได้

นางรู้ว่าตนเองสามารถทำได้เพียงพึ่งพลังของตนเองเพื่อที่จะมีชีวิตรอด

แต่นางรู้ยิ่งกว่าว่า กุนซือเผ่ามารในตำนานนั้น คำนวณกำลังความสามารถที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำมาเป็นแน่ เหมือนกับที่บุรุษเผ่ามารได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้ว เขาไม่นับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้อ่อนกำลัง เหมาะแก่สามารถสังหารนางพอดี

สามารถสังหารนางได้อย่างแน่นอน

นางสามารถมองระดับกำลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามได้ เพราะว่าคือพรสวรรค์ของนาง แต่มิได้หมายความว่านางสามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้

หากแบ่งตามกำลังของมนุษย์ ตอนนี้นางคือขั้นเริ่มถอดจิต พิจารณาตามอายุของนาง ระดับขั้นนี้คงจะทำให้ใต้หล้าตกตะลึง ทว่าหากต้องต่อสู้ชิงความเป็นความตายด้วยมือเปล่ากับผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้ใหญ่ ระดับขั้นนี้ไม่เพียงพอที่จะให้นางมีชีวิตต่อไปได้

“ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตสามารถพูดคุยมากมายกับฝ่าบาทผู้สูงศักดิ์ ข้าพึงพอใจอย่างยิ่ง”

บุรุษเผ่ามารย่างก้าวช้าๆ มุ่งมายังนาง ค่อยๆ ยกมือข้างขวาขึ้น ปลายนิ้วสามารถมองเห็นแสงสีขาวเบาบาง

นั่นคือกลุ่มแสงที่มาจากการรวมกันของปราณแท้

ลั่วลั่วรับรู้ถึงกลิ่นอายอันน่าเกรงกลัวที่แผ่กระจายออกมาจากก้อนแสง จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย

เท้าของบุรุษเผ่ามารสวมใส่รองเท้าที่ยาวขึ้นไปครึ่งน่อง ทั้งเก่าและชำรุด

ส้นรองเท้าเหยียบบนสนามหญ้า ไม่ได้หลงเหลือร่องรอยใดๆ

เวลากลางวัน ต้นหญ้าถูกตัดให้สั้นเตียน โคนที่สั้นเตียนส่งกลิ่นที่ทำให้ผู้คนมีความสุข

คล้ายกับว่าเพราะตัดต้นหญ้าจนสั้นเตียนดังนั้นจึงทำให้ต้นหญ้ามีพลังมากยิ่งขึ้น จึงต้านทานส้นรองเท้าของบุรุษเผ่ามารเอาไว้ได้

ไม่ นั่นเป็นเพียงภาพแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น

ในความเป็นจริง เมื่อบุรุษเผ่ามารกำลังเหยียบก้าวแรก ร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเลือนราง หลังจากนั้นจึงหายไปไม่เห็น!

ดวงตาของลั่วลั่วแปรเปลี่ยนเป็นสุกสว่างยิ่งขึ้น ราวกับว่าต้องการส่องแสงท้องฟ้ายามค่ำคืนให้สว่าง

นางรู้ว่าบุรุษเผ่ามารผู้นี้สามารถหลบซ่อนบนโลกมนุษย์มาเป็นเวลาเนิ่นนาน เหมือนกันกับที่ตัวเขากล่าวไว้ วิชาอำพรางตัวของเขาดีเลิศอย่างยิ่ง แต่คิดไม่ถึงว่า ฝ่ายตรงข้ามจะสามารเลือนหายไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ท่ามกลางการต่อสู้

เวลาต่อมา บุรุษเผ่ามารปรากฏด้านหลังของนาง!

หมัดที่น่าเกรงกลัวนั้น ชกเข้าที่ด้านหลังของนาง!

พลังความสามารถของบุรุษเผ่ามารแข็งแกร่งกว่านางมาก แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ได้ออกหมัดที่แข็งแกร่งที่สุด

เขานำพลังแท้จริงทั้งหมดมารวบรวมไว้ที่ฝ่ามือ โจมตีสุดพลัง ถึงแม้ระหว่างการโจมตี มือข้างขวาของเขาจะต้องใช้การไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่สามารถสังหารหญิงสาวผู้นี้ แม้แต่ชีวิตและวิญญาณของเขาล้วนแต่สามารถถวายให้ได้ แล้วจะใส่ใจกับมือเพียงข้างเดียวได้อย่างไร

ลั่วลั่วหมดหนทางที่จะต้านทานหมัดนั้นไว้ได้ ในความเป็นจริง แม้แต่รอยเท้าของฝ่ายตรงข้ามนางก็ไล่จับไม่ได้

แต่แส้ของนางทำได้

มือขวาของนางกุมแส้ยาวเส้นนั้น ราวกับอสรพิษวิญญาณสะบัดกาย ปลายแส้คล้ายกับลิ้นงู อยู่ในท้องฟ้ายามราตรีสะบัดกวัดแกว่งไปยังกลางอากาศ แทงเข้าไปยังลำคอทางด้านหลังของบุรุษเผ่ามาร

ในเวลาเดียวกัน นางปล่อยมือออก กระดุมเม็ดที่สามได้ร่วงหล่นบนพื้น

ท่าทางเมินเฉยบนใบหน้าที่ขาวซีดของบุรุษเผ่ามาร ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยังคงชกต่อไป

เสียงหัวเราะเยาะเบาๆ เสียงหนึ่ง

บนลำคอของเขามีหยดโลหิตไหลออกมา

ในเวลาเดียวกัน หมัดของเขาชนเข้าที่หลังของลั่วลั่ว

เผ่ามารกำเนิดท่ามกลางหุบเขาสายลมหิมะ พลังของพวกเขาใช้เทือกเขาเป็นชื่อเรียก

หมัดของเขา ก็คือภูเขาหนึ่งลูก

ภูเขาลูกนี้ปะทะไปยังร่างกายของหญิงสาวโดยตรง

ภาพนั้นมองดูแล้วช่างโหดร้ายเหี้ยมโหด

กระดุมเม็ดนั้นร่วงหล่นบนพื้น

หมอกควันเกิดขึ้นเล็กน้อย เมื่อยังไม่กระจาย ลั่วลั่วพลันหมุนกาย เผชิญหน้ากับหมัดที่น่าเกรงกลัวนั่น

การเคลื่อนไหวร่างกายที่แปลกประหลาดอยู่ตรงหน้าของบุรุษเผ่ามารผู้นั้น กล่าวตามเหตุผล เดิมทีนางไม่มีเวลาหมุนกาย แต่ว่านางสามารถทำได้

เพราะว่านางได้ใช้กระดุมพันลี้ไว้ล่วงหน้าก่อน

กระดุมพันลี้หมดหนทางที่จะช่วยนางให้ข้ามผ่านสิ่งกีดกั้นที่ไร้รูปร่างนั้น แต่อย่างน้อยที่สุดก็สามารถช่วยให้นางหมุนกายได้

แต่หมุนกายมาจะสามารถช่วยอะไรได้เล่า

หมัดที่น่าเกรงกลัวยิ่งมายิ่งเข้าใกล้ ปลายนิ้วเต็มไปด้วยแสงของพลังยิ่งมายิ่งจะสว่างไสว

เพียงเพราะว่าฐานะที่สูงส่ง ดังนั้นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต จะต้องสิ้นชีวิตต่อหน้า

ไม่

รูปร่างหน้าตาของลั่วลั่วเต็มไปด้วยความอ่อนเยาว์แต่แสดงออกถึงความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น

นางร้องเสียงดังใส กำหมัดน้อยๆ ชกออกไปอย่างไม่เกรงกลัวหมัดที่มาปะทะใบหน้า

เสียงปะทะกันเสียงหนึ่งดังสนั่นหวั่นไหว!

พื้นดินแยกออกปลิวว่อน ควันละอองฟุ้งกระจาย บนสนามหญ้าปรากฏร่องรอยลึกดังใยแมงมุมนับไม่ถ้วน ป่าไม้ผืนนั้นเพิ่งจะถูกตัดเล็มเสร็จ แต่กลับลู่ไปกับลม!

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านบางเบาและอ่อนนุ่ม

ฝุ่นละอองค่อยๆ หายไป ปรากฏร่างกายของคนสองคน

บุรุษเผ่ามารผู้นั้นยืนอยู่ที่เดิม อารมณ์บนใบหน้าที่ขาวซีดซับซ้อนอย่างยิ่ง หยดโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ ไหลลงมา

เสื้อคลุมสีดำของเขาฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เผยให้เห็นร่างกายขาวซีดแข็งแรง

หมัดขวาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเลือดและเนื้อ มองเห็นกระดูกสีขาวที่น่ากลัว

อาการบาดเจ็บที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือที่ศีรษะ

เขามารด้านซ้ายของเขา หักลงตั้งแต่โคน โลหิตสดๆ กำลังไหลทะลักออกมา

เขี้ยวแหลมที่ส่องแสงสีเหลืองอ่อนๆ ท่อนหนึ่ง ปักลึกเข้าไปบนหน้าผากของเขา สั่นเทาเล็กน้อย

หากเขี้ยวแหลมที่คมกริบนี้แทงเข้าไปลึกอีกนิด อาจจะ สังหารเขาได้แล้ว!

บุรุษเผ่ามารยื่นมือออกไปอยากจะดึงเขี้ยวแหลมอันนั้นออก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด กลับไม่กล้าสัมผัส

เขาทราบดี ถ้าหากไม่ใช่เพราะกุนซือมอบศาสตราวิเศษเอาไว้ปราบปรามสนามรบนี้ อย่างนั้นเขาก็คงจะถูกหญิงสาวผู้นี้จู่โจมสังหารแล้ว

คิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นซีดขาวยิ่งขึ้น หวาดกลัวขึ้นมา

“นี่…ก็คืองาจักรพรรดิ”

เขาจ้องเขม็งไปยังดวงตาของลั่วลั่ว น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย เอ่ยอย่างเจ็บปวดและโกรธแค้น “สมกับตำนานเล่าขานฝ่าบาทผู้มีสิ่งของล้ำค่านับไม่ถ้วนอย่างแท้จริง นึกไม่ถึงว่าจะมีของป้องกันระดับนี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าประเมินท่านต่ำเกินไป”

กระดุมพันลี้สามเม็ด แส้วิรุณโปรยหนึ่งเส้น ยังมีงาจักรพรรดิหนึ่งชิ้น

ไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน หากวางไว้บนโลกใบนี้ก็จะทำให้ครอบครัวล่มจม…ไม่ ผู้แกร่งกล้าเหล่านั้นคงจะยินยอมให้ครอบครัวย่อยยับล้มตายเพื่อครอบครองของล้ำค่า

แต่สิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่บนร่างกายของนาง ถูกนางใช้อย่างไม่เสียดาย

ถ้าหากให้บรรดาผู้แกร่งกล้าบนโลกมองเห็นภาพยามค่ำคืนนี้ คงจะตีอกชกหัวแน่นอน เสียดายอย่างหาที่สุดมิได้

แต่ว่านางไม่เป็นเช่นนั้น เพราะว่านางคือลั่วลั่ว นางใจกว้างอย่างยิ่ง อย่างนั้น นางจึงใจกว้างต่อตนเองก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งของเหล่านี้ เดิมทีก็เป็นของนาง

“ข้าจะต้องยอมรับ ฝ่าบาทท่านโต้ตอบได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ความสามารถของสายเลือดที่มีมาตั้งแต่กำเนิด แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่ที่น่าเสียใจก็คือ…นี่คือแผนการที่กุนซือได้วางไว้ เขาคงจะคิดถึงสิ่งที่อยู่บนตัวท่านแล้วแน่นอน และมั่นใจว่าสิ่งของเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะสังหารข้า”

บุรุษเผ่ามารยื่นมือไปเช็ดโลหิตที่อยู่บนใบหน้าขาวซีด ภายใต้แสงดวงดาวที่โค้งงอเล็กน้อย มองแล้วน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

สุดท้ายแล้วเขากล่าวว่า “ข้ายังมีชีวิตอยู่ อย่างนั้นท่านก็ตายเสียเถอะ”

สถานการณ์ของลั่วลั่วไม่ดีนัก ก่อนหน้านั้นใช้แขนเสื้อเช็ดริมฝีปากจนสะอาดสะอ้าน ตอนนี้มีโลหิตไหลออกมาอีกครา

นางจ้องมองบุรุษเผ่ามาร กระตุกแส้เบาๆ แส้เส้นยาวสะท้อนกับแสงดาว อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืนราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา ไม่ใช่งู แต่คือมังกร

มังกรหนึ่งตัวท่ามกลางลมฝน

แส้วิรุณโปรย อยู่ในอันดับที่สิบเจ็ดของการจัดอันดับอาวุธร้อยชนิด

บุรุษเผ่ามารหายตัวไป บริเวณรอบๆ หอตำราเกิดเสียงคำรามสนั่นหวั่นไหว ด้านในมีแสงไฟลอดออกมาราวกับเรือลำเล็กในคลื่นยักษ์ เดี๋ยวมืดมิดเดี๋ยวสว่างไสว เดี๋ยวหายไปเดี๋ยวปรากฏ

ลั่วลั่วยืนนิ่ง แส้วิรุณโปรยในมือ ร่ายรำอย่างบ้าระห่ำอยู่ในสายลมยามค่ำคืนไม่หยุดหย่อน

มีฝนตกลงมาเบาบาง

บังเอิญมีกลิ่นอายที่เหน็บหนาวแผ่ออกมาจากความมืดยามราตรี จะถูกสายฝนปกคลุมกลบกลับไป

บังเอิญมีแสงที่รวดเร็วสว่างวาบออกมาจากสายลม ทันใดนั้นสายลมกลับเพิ่มความรุนแรง ก่อตัวเป็นสิ่งกีดขวาง

แส้วิรุณโปรย สามารถดึงดูดสายฝนสายลมจากทุกทิศทุกทาง เป็นอาวุธที่ดีที่สุดในการใช้ปกป้องร่างกาย

เมื่อนางออกจากบ้านเกิด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดถึงเลือกแส้วิรุณโปรยเป็นอาวุธ

แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง บรรลุเพียงขั้นเริ่มถอดจิต ห่างกับบุรุษเผ่ามารไกลยิ่งนัก

หากนางใช้งาจักรพรรดิโจมตีฝ่ายตรงข้ามไม่สำเร็จ บุรุษเผ่ามารคงสามารถอาศัยพลังปราณอันทรงพลังต่อต้านอานุภาพของแส้วิรุณโปรยได้โดยตรงและใช้กำลังปะทะสังหารนางได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้ดี

วิทยายุทธ์ของบุรุษเผ่ามารแปลกประหลาดพิสดาร โคจรเป็นวงที่ยากจะเข้าใจ เดินเหินตามสบายใจอยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน

แส้ของนางสามารถขับเคลื่อนลมฝนทั่วสารทิศ นำมาปกป้องตนเองอย่างแน่นหนา กลับไม่มีหนทางที่จะไล่จับฝ่ายตรงข้ามได้ เป็นธรรมดาที่จะหมดหนทางโจมตี

ไม่สามารถโจมตีได้นาน ปกป้องอย่างไรจึงจะสามารถไปได้อย่างต่อเนื่อง

แส้วิรุณโปรยถึงแม้จะมีจิตวิญญาณ แต่สุดท้ายก็ต้องใช้พลังจิตของนางในการควบคุม ลมฝนก่อเกิดอีกระลอกหนึ่ง พลังปราณที่ใช้ค่อยๆ หมดลง

ลมหายใจของนางแปรเปลี่ยนยิ่งมายิ่งถี่ขึ้น ไม่รู้ว่าสามารถประคองของวิเศษที่แปลกประหลาดไว้ไม่ให้เกิดสิ่งใดได้หรือไม่ ประคองจนให้คนของนางคนของนางรีบมาถึง

นางยังคงเยือกเย็นเด็ดเดี่ยวยืนหยัดต่อไปมากกว่าผู้คนที่อายุเท่ากัน กำลังรอคอย

นางเฝ้ารอเวลาเพียงชั่วพริบตาให้ฝ่ายตรงข้ามปรากฏกายออกมาอย่างแท้จริง

นางใช้ของวิเศษที่ติดตัวมาหมดแล้ว แต่ยังคงไม่สามารถหลุดออกมาจากสถานการณ์นี้ได้ แต่ว่านางยังมีแส้ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือ นางยังปกปิดฝีมือเอาไว้

มีแต่นางที่ล่วงรู้ ถึงแม้สิ่งที่นางกุมไว้ในมือคือแส้วิรุณโปรย แต่เวลาใช้กลับใช้วิชาเพลงกระบี่

วิชาเพลงกระบี่ชุดนั้นก็มีลมฝนสองคำนี้

กระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน

จุดที่น่าเกรงกลัวที่สุดของเพลงกระบี่ชุดนี้ ก็คือสามารถรวบรวมลมฝนทั่วทั้งท้องฟ้าให้เป็นหนึ่ง โจมตีจุดอ่อนแอที่สุดของฝ่ายตรงข้าม

บุรุษเผ่ามารผู้นั้นร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถกลับไปแข็งแรงเหมือนก่อนหน้าได้ นางเชื่อว่าหากให้โอกาสตนเองอีกสักครา รับรองว่าสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้

ปัญหาอยู่ตรงนี้ หลังจากบุรุษเผ่ามาได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้จะโกรธแค้น แต่กลับยังคงมีสติสัมปชัญญะ แสดงออกถึงความอดทน คงจะไม่ฉวยโอกาสได้เหมือนคราวก่อน อาศัยวิทยายุทธ์ที่แปลกประหลาด เคลื่อนตัวอยู่ด้านนอกลมฝน ไม่ให้โอกาสนางลงมือเลย

ลั่วลั่ว พลันรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

วิทยายุทธ์ของผู้แกร่งกล้าเผ่ามารแต่ไหนแต่ไรมาต่างลึกลับ ควบคุมมิได้ก็ไม่เป็นไร แต่หากนางสามารถเรียนเคล็ดลับของวิชากระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซานได้สำเร็จทั้งหมด ถ้าหากสามารถเข้าใจสัจธรรมการเรียกลมฝนทั่วสารทิศ คงจะไม่เป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นตอนนี้

เพราะเหตุใดอาจารย์ของสำนักเทียนเต้าและสำนักเด็ดดารา ล้วนแต่ไม่รู้ว่าจะสอนตนอย่างไร ถ้าหากตนเองสามารถหาคนผู้นั้นในค่ำคืนนั้นพบ เขาคงจะสามารถสอนนางได้หรือไม่ ใช่แล้ว ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าตามหาเจ้าหนุ่มคนนั้น ตนเองคงไม่พบกับการลอบสังหารเช่นนี้ เหตุใดถึงน่าเวทนาเช่นนี้

ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนแต่ต้องโทษเจ้าคนผู้นั้น

ลั่วลั่วไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง ดังนั้นนางไม่อยากใจกว้างแล้ว นางตัดสินใจถ้าหากภายหลังสามารถหาคนนั้นพบ ตนเองจะไม่มอบของกำนัลมากมายให้เขา…อาจจะ นำของกำนัลแบ่งเป็นครึ่งหนึ่ง

คิดเรื่องนี้อยู่ การสู้รบยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง

อันตรายกำลังย่างกายเข้ามาใกล้

บนลำคอของนางมีบาดแผลออกมามากขึ้น ก่อนหน้านั้นบุรุษเผ่ามารค้นพบรูรั่วของแส้วิรุณโปรย นำมาซึ่งการโจมตีที่เกือบจะถึงชีวิต

ลั่วลั่วไม่เพียงแค่ไม่ได้รับความเป็นธรรม เริ่มเศร้าโศกเสียใจขึ้นมา

นางไม่อยากจะเสียชีวิต

ตั้งแต่ต้นจนจบนางคิดว่าการมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด เป็นเรื่องที่งดงามที่สุด เจ้าดู เมฆบนฟ้างดงามอย่างยิ่ง เมฆของเมืองจิงตูช่างสวยงาม บางคราเหมือนกับเส้นผมของหญิงสาวที่เดินตามถนน เมฆของบ้านเกิดก็สวยงาม บางคราก็เหมือนกับใบหน้าหนุ่มน้อยของกลุ่มโจรที่ขี่ม้าออกปล้น

ถึงแม้จะต้องตาย นางก็ไม่ต้องการถูกสังหารที่จิงตู

เพราะเช่นนั้นจะทำให้ผู้คนจำนวนมากมายเสียชีวิตโดยที่ไม่มีโทษ ดังเช่นหญิงสาวที่อยู่บนถนน ดังเช่นโจรขี่ม้าหนุ่มน้อย

โลหิตบนร่างกายของลั่วลั่วยิ่งมายิ่งไหลมากขึ้น

แส้วิรุณโปรยก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นไม่มีแรงขึ้นมา

บุรุษเผ่ามารยังคงหลบซ่อนอยู่ในความมืดยามราตรี ไม่รู้อยู่แห่งใด

นางเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง หลังจากนั้นรู้สึกง่วงนิดหน่อย

แส้วิรุณโปรยนี้ไร้เสียงไร้ลมหายใจอยู่ในความมืดยามราตรี สายลมสายฝนโปรยพัดลงมาก็ไม่มีเสียง บุรุษเผ่ามารผู้นั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น

ทั่วทั้งผืนของสำนักฝึกหลวงเงียบเชียบ เหมาะแก่การนอนหลับอย่างยิ่ง

นอกจากนางฝึกบำเพ็ญเพียร เที่ยวเล่น เรื่องที่ชื่นชอบที่สุดก็คือการนอนหลับ

นางรู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถนอนหลับได้ แต่ว่าง่วงอย่างยิ่ง

ตอนนี้ มีเสียงหนึ่งได้ทำลายความเงียบ

สำนักฝึกหลวงที่ตกอยู่ในความมืดยามราตรีได้ตื่นขึ้นมา

ลั่วลั่วก็ตื่นขึ้นมา

“สะท้อนดวงดาว พลังปราณตามปรารถนา ข้อมือขึ้นสู่ไหล่ รวบรวมลมฝน”

ลั่วลั่วไม่รู้ว่าผู้ใดเอ่ย

แต่นางรู้ว่านี่คือเนื้อหาเพลงกระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน

ใต้จิตสำนึกให้นางกุมแส้หมุนข้อมือ เข่าข้างซ้ายงอเล็กน้อย พลังปราณขึ้นสู่ด้านบน ไม่ใส่ใจว่าวิชากระบี่จะเอ่ยถึงพลังลมปราณเหล่านั้น ทำตามที่ร่างกายเคลื่อนไหว ก้าวผ่านอวัยวะภายในโดยตรง มาถึงระหว่างหน้าอก หลังจากนั้นนางรู้สึกว่ามือที่จับด้ามแส้ร้อนขึ้นมา

ต่อมาล่ะ

นางคิดด้วยความผิดหวังห่อเหี่ยว

ความมืดยามราตรียังคงดำมืด

เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครา

“โต้วเจิ่น ขุยหลิ่ว”

คำทั้งสองฟังแล้วรู้สึกแปลกประหลาด

แต่หากแยกออกมา ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ล้วนแต่รู้ดีว่านี่คือสิ่งใด

โต้วเจิ่น คือดาวสองดวงที่แยกกันอยู่ทางตะวันออกและตะวันตก

ขุยหลิ่ว คือดาวสองดวงที่แยกกันอยู่ทางทิศใต้และทิศเหนือ

ระยะเวลาหมื่นปีพันปีดวงดาวยังคงไม่เคลื่อนไหวคงที่เช่นนี้ตลอดไป โดยเฉพาะดวงดาวที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น บรรดาผู้คนบนโลกตั้งแต่คนชราไปจนถึงเยาว์วัย ล้วนจดจำตำแหน่งของพวกมันได้อย่างชัดเจน

ลั่วลั่วตะลึงงัน ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งนี้ นี่คือทิศทางไหน

หรือว่าจะต้องแทงออกไปยังตำแหน่งของดาวโต้วบนท้องฟ้า หลังจากนั้นดาวเจิ่น

ทันใดนั้น นางตื่นจากภวังค์

ระหว่างโต้วเจิ่น สามารถวาดได้หนึ่งเส้น

ระหว่างขุยหลิ่ว ก็สามารถวาดได้หนึ่งเส้น

จุดที่ทั้งสองเส้นมาบรรจบกัน ก็คือจุดหนึ่งเดียวในท้องฟ้ายามราตรี

ลั่วลั่วเบิกตากลมโต มองไปยังทิศทางนั้น

แส้วิรุณโปรยในมือของนาง เตรียมตัวที่จะแทงไปยังทิศทางของจุดนั้นในท้องฟ้าอยู่ก่อนแล้ว

แส้วิรุณโปรยรวบรวมลมฝนนับร้อยเป็นเส้นเดียว แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม

กระบี่ลมฝนแห่งเขาจงซาน

ในสำนักฝึกหลวง ลมฝนสงบอย่างรวดเร็ว ความปรารถนาของกระบี่กลับยิ่งใหญ่

เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา

มีโลหิตสดๆ ไหลพุ่งออกมาราวกับความมืดยามราตรี

เวลาเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้นมา เป็นเสียงร้องที่เจ็บปวดแฝงไปด้วยความตกตะลึงและโกรธแค้นของบุรุษเผ่ามารผู้นั้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset