ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 39 จากสวนร้อยหญ้าถึงสำนักฝึกหลวง

ลั่วลั่วกลับไปถึงสวนร้อยหญ้า คนของนางต่างรู้ว่าวันนี้นางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เพราะว่านางกระโดดโลดเต้นมาตลอดทาง ก้าวเดินทั้งแผ่วเบาและปราดเปรียวราวกับเหยียบย่ำบนก้อนเมฆ เพราะว่านางร้องเพลงพื้นบ้านเบาๆ เสียงไพเราะราวกับนกขมิ้น เพราะว่าคิ้วของนางคล้ายกับจะบินได้มิปาน

ผู้ช่วยจินและผู้ดูแลหลี่มองกันแวบหนึ่ง จึงรีบตามไป พวกเขาย่อมรู้สาเหตุที่องค์หญิงอารมณ์ดีแน่นอน เพียงแต่ว่าพวกเขามองไม่เห็นว่าในหอตำราเกิดสิ่งใดขึ้น เลี่ยงมิได้ที่จะงงงวย การคารวะอาจารย์สำเร็จมันคุ้มค่าที่จะดีใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หนุ่มน้อยที่สำนักฝึกหลวงแท้จริงแล้วมีดีอะไร

ลั่วลั่วชำระร่างกาย หวีผมอย่างง่ายๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สบายๆ รับเอาชาจินเหมยที่เย็นชุ่มชื่นในมือของสาวใช้มาดื่มสองอึก เดินกลับไปยังหน้าห้องด้านหน้าห้องโถง จ้องมองไปยังคนทั้งสอง พลางเอ่ย “มีสิ่งใดจะถามก็รีบถาม คืนนี้ข้าจะรีบนอน พรุ่งนี้ต้องไปเรียนแต่เช้า มิกล้าที่จะล่าช้า”

ผู้ช่วยจินคิดในใจองค์หญิงขยันหมั่นเพียรร่ำเรียนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แน่นอนว่า คำตำหนิไม่สามารถเอ่ยออกไปได้ เขาจึงได้แต่หัวเราะตาม พลางเอ่ยว่า “ไปล่าช้าเล็กน้อยก็คงจะมิเป็นเรื่องใหญ่ หรือว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นกล้าที่จะทำอันใดกับฝ่าบาทเล่า”

“เขาคืออาจารย์ข้า อย่าเรียกหนุ่มน้อยผู้นั้น หนุ่มน้อยผู้นั้น จากนี้…พวกเจ้าเรียกเขาว่าเฉินฉางเซิงแล้วกัน”

ลั่วลั่วคิดไปถึงความรู้สึกเคร่งขรึมเมื่ออาจารย์อ่านตำราการฝึกบำเพ็ญเพียร และยังรักษาเวลาคล้ายกับว่าเคร่งครัดอย่างยิ่ง จึงมองทั้งสองเอ่ยด้วยความน่าสงสาร “ถ้าหากเรียนตอนเช้าแล้วไปสาย อาจารย์จะต้องโกรธจริงๆ วันต่อมาข้าไม่อยากโดนไม้เรียวติดๆ กัน”

ผู้ช่วยจินเมื่อได้ยินประโยคนั้นตกตะลึงเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะเชื่อหูของตน คิดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นจะกล้าใช้ไม้เรียวกับองค์หญิงของเรา! ถ้าให้ผู้คนที่อยู่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำแดงที่ห่างไกลออกไปแปดร้อยลี้ล่วงรู้เรื่องนี้ เกรงว่าจิงตูคงจะถูกพลิกเป็นแน่!

เขากำลังเตรียมที่จะไปสั่งสอนเฉินฉางเซิงด้วยประโยคที่ดุร้าย ทันใดนั้นรู้สึกว่าแขนเสื้อถูกผู้ช่วยหลี่กระตุกเบาๆ จนแทบจะไม่รู้สึกสองที ถึงจะสังเกตเห็นว่าองค์หญิงน้อยไม่มีท่าทีว่าไม่ยินดีแต่อย่างใด ท่าทางที่น่าสงสารคงจะเป็นการตั้งใจทำเสียมากกว่า แต่ภายในกลับมีความชื่นชอบที่ไม่อาจปิดให้มิดได้อยู่!

ท่าทางของผู้ช่วยจินเหม่อลอย เขาหมดหนทางที่จะเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่กี่วันนี้ ยิ่งไม่เข้าใจหนุ่มน้อยนามว่าเฉินฉางเซิงอย่างสิ้นเชิง…เอาเถอะ อาจารย์เฉินท่านนั้น นอกจากความกล้าหาญและจิตใจที่ดีงาม ท้ายที่สุดแล้วมีความสามารถอย่างไร ถึงทำให้องค์หญิงน้อยเลื่อมใสศรัทธาเช่นนี้!

“อาจารย์ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา”

ลั่วลั่วรู้ว่าคนของนางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ จ้องมองท่าทางที่งงงวยของผู้ช่วยจินและท่าทีเป็นกังวลของผู้ดูแลหลี่ จึงเอ่ยอย่างสงบ

ผู้ช่วยจินไม่สะดวกที่จะเอ่ยสิ่งใด ผู้ดูแลจินใกล้ชิดกับองค์หญิงกว่า ทนไม่ได้ที่จะเอ่ยเบาๆ “แม้แต่การชำระล้างกระดูกก็ยังไม่สำเร็จ…เช่นนี้ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้วเพคะ”

ลั่วลั่วกล่าว “พวกเจ้าคิดว่า คนธรรมดาหนึ่งคนที่ชำระล้างกระดูกไม่สำเร็จ แต่สามารถแก้ปัญหาที่แม้แต่ท่านพ่อของข้าก็ยังแก้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ผู้ช่วยจินลังเลเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “หรือว่า…เป็นโชคขอรับ”

ลั่วลั่วคิดไปถึงเหตุการณ์ตอนกลางวัน เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ไม่ สิ่งที่อาจารย์ไม่ต้องการที่สุดก็คือโชค”

ผู้ดูแลหลี่ถามสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ “ในเมื่อ…อาจารย์เฉินไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะเหตุใดถึงเข้าสำนักฝึกหลวง เขากำลังซ่อนเร้นสิ่งใดอยู่เพคะ”

“ศึกษาการบำเพ็ญเพียรเงียบๆ ไม่เปิดเผยความสามารถให้ชัดเจนดังขุนเขาที่ตั้งตระหง่านดังแม่น้ำที่หลั่งไหล ขอเป็นมัจฉาผู้แหวกว่ายในลำธารที่ไม่มีผู้ใดสนใจไต่ถาม เฝ้ารอสายฝนสายลมที่โหมกระหน่ำเข้ามา มัจฉาตัวนั้นแหวกว่ายข้ามประตูมังกรแปรเปลี่ยนเป็นมังกรยักษ์อย่างแท้จริง มองทั่วทั้งแผ่นดินต้าลู่จากข้างบน ชื่อเสียงปรากฏก้องฟ้าดิน…”

ดวงตาของลั่วลั่วยิ่งนานยิ่งสุกใส น้ำเสียงยิ่งนานยิ่งดัง “ความคิดของอาจารย์ ช่างสุดยอดจริงๆ”

ผู้ช่วยจินหัวเราะเงียบๆ ในใจครุ่นคิดนี่คือโลกแห่งความเป็นจริง จะมีเค้าโครงเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูแล้วแม้องค์หญิงเติบใหญ่ขึ้นมาก แต่แท้จริงแล้วยังคงเยาว์วัย

เช้าต่อมาเวลาห้ายาม ลั่วลั่วตื่นนอนตรงเวลา แน่นอนว่าถ้าหากเป็นความเคยชินในการพักผ่อนตามปกติ หญิงสาวผู้ละโมบในการนอนหลับคงจะตะเกียกตะกายไม่ขึ้นเป็นแน่ แต่สาวใช้ตั้งแต่สี่ยามสี่สิบห้าก็ไม่หยุดที่จะตีฆ้องตีกลองร้องตามคำสั่งนาง นางไม่อยากจะตื่นก็คงทำมิได้

นางคลุมผ้าคลุมไหล่ ขยี้ดวงตา ผลักประตูห้อง เอ่ยด้วยความโมโหเบาๆ “หนวกหูจะตายอยู่แล้ว!”

บรรดาสาวใช้เก็บกดความหวาดกลัวและความไม่สงบเคาะตีฆ้องตีกลอง ใบหน้าขาวซีด เมื่อได้ฟังองค์หญิงโมโหออกมา ยิ่งตกใจคุกเข่ากับพื้น ขออภัยโทษไม่หยุด

“ข้าก็เอ่ยตามอารมณ์”

ลั่วลั่วหาวครั้งหนึ่ง จึงส่งสัญญาณให้พวกนางลุกขึ้น เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่มีความผิด มีคุณงามความดี รอชั่วครู่จึงไปเอาเบี้ยรางวัลที่แม่หลี่…ทำตามกฎที่ได้ตั้งไว้เมื่อคืน สามารถทำให้ข้าตื่นนอนก่อนห้ายามได้ ก็จะมีรางวัล หากข้าไม่ตื่นนอน เช่นนั้นเบี้ยหวัดเดือนนี้ของพวกเจ้าก็จะไม่มี!”

บรรดาสาวใช้จ้องมองกันและกัน แน่ใจว่าองค์หญิงไม่ได้โกรธ ถึงจะยืนขึ้นทั้งที่ใจยังคงมีความหวาดผวาหลงเหลืออยู่ รีบยกสิ่งของใช้ขึ้นมา ล้างหน้าจัดผมให้เป็นระเบียบ มีคนนำเสื้อผ้ามาสิบชุด ให้องค์หญิงเลือกสวมใส่

ลั่วลั่วเลือกชุดที่สุภาพและงดงาม เลือกกระโปรงที่เรียบง่ายที่สุดมาสวมใส่ กินข้าวต้มชิงจิงถ้วยหนึ่งและกินขนมไส้เนื้อรมควันหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นจึงเปิดกล่องอาหารที่เตรียมไว้บนโต๊ะ ตรวจสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จึงหิ้วเดินไปยังกำแพงของสวน

ผลักประตูไม้ที่เอี่ยมอ่องบานนั้น ก็สามารถจากสวนร้อยหญ้ามาถึงสำนักฝึกหลวง

กำแพงทางด้านนั้นไม่มีถังไม้ เป็นธรรมดาที่จะไม่มีหนุ่มน้อยชำระร่างกาย สิ่งที่พบเจอครั้งก่อนทำให้เฉินฉางเซิงจดจำลึกซึ้งอย่างยิ่ง เมื่อค่ำคืนนั้นผ่านไป สิ่งแรกที่เขาทำก็คือย้ายถังไม้มาไว้ในอาคารหลังเล็กๆ เวลาเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะติดกุญแจให้กับอาคาร และดึงม่านที่ประตูห้องน้ำลง

สำนักฝึกหลวงที่เงียบสงบไร้เสียงได้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง

เพราะว่าที่นี่ตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เฉินฉางเซิง

สำนักฝึกหลวง ตอนนี้มีนักเรียนสองคนแล้ว

อ่านตำรา หลังจากนั้นฝึกบำเพ็ญเพียร

นี่ยังคงเป็นกฎหลักของสำนักฝึกหลวง

นอกจากไม่สามารถอาบน้ำกลางแจ้งแล้ว แต่เมื่ออยู่ในห้องน้ำสามารถร้องเพลงได้…เฉินฉางเซิงคิดว่าชีวิตตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก อาหารของตนเปลี่ยนเป็นดีขึ้นอย่างยิ่ง วันที่สองหลังจากที่ลั่วลั่วคารวะเป็นศิษย์ เขาก็เริ่มรับประทานอาหารเช้า อาหารเที่ยง รวมทั้งอาหารบ่ายที่ลั่วลั่วนำมาจากสวนร้อยหญ้า

สำหรับอาหารสามมื้อที่สวนร้อยหญ้าทำ เขาพึงพอใจอย่างมาก ไม่ว่าจะอาหารที่มีหลากหลายชนิด จัดผัก ผลไม้ ธัญพืชและเนื้อสัตว์สอดคล้อง การบำรุงร่างกายที่สมดุลและยังเป็นรสชาติที่ชื่นชอบ เขาคิดว่ามันเกินกว่าจินตนาการที่ดีที่สุดของเขาไปแล้ว อยู่ที่วัดเก่าซีหนิงเป็นศิษย์พี่ที่ทำอาหาร การบำรุงร่างกายไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่รสชาติธรรมดาอย่างยิ่ง

เขาพึงพอใจกับอาหารเหล่านี้ ยิ่งพึงพอใจกับการแสดงออกของลั่วลั่ว ความจริงแล้ว อาหารเหล่านี้และการแสดงออกด้วยหัวใจของนาง น้ำใจของนาง

ลั่วลั่วใกล้ชิดเขายิ่งนัก ทุกเวลาล้วนแต่อยากอยู่ข้างกายเขา เขาไม่ได้ระมัดระวัง หญิงสาวจึงกอดแขนของเขา เข้าใกล้อ้อมกอดสูดดมกลิ่นกายของเขาไม่หยุด ราวกับลูกแมวที่น่ารักตัวหนึ่ง ถ้าหากมิใช่เพราะว่าเขาคัดค้านเด็ดเดี่ยว นางคงถึงขนาดจะไม่กลับไปนอนที่สวนร้อยหญ้า

เฉินฉางเซิงเป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุสิบสี่ปี ไม่คุ้นเคยที่ลั่วลั่วแสดงออกด้วยความเคารพและไว้วางใจ ถึงแม้กระทั่งถึงตอนนี้เขาจะคิดว่าลั่วลั่วอายุสิบกว่า แต่อยู่ใกล้ชิดกับหญิงสาวเช่นนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเก้อเขิน เพียงแค่ความรู้สึกนี้ดีอย่างยิ่ง ดีจนเขายินยอมที่จะรับ

ทว่าการฝึกบำเพ็ญเพียรของเขายังไม่บรรลุไปถึงไหน วันเวลาผ่านไปหลายวัน การดึงแสงดวงดาวชำระล้างกระดูกเขาทำมาตลอด ร่างกายของเขากลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีจิตใจที่แน่วแน่เช่นเขา ตอนนี้กับเริ่มสงสัยในตนเอง อย่างน้อยเขาคิดว่าโชคของตนเองคล้ายกับไม่ค่อยจะดีนัก

เขาไม่รู้ว่าลั่วลั่วเคยเอ่ยถึงเขาให้กับคนของนางฟัง เขาเป็นคนที่ไม่ต้องการโชคที่สุด

โชคของลั่วลั่วดีอย่างยิ่ง ถ้าเอ่ยถึงโชคแล้ว โชคของนางคงจะทำให้ต้นไม้ล้มระเนระนาด ไม่มีสิ่งใดขัดขวางได้!

ตั้งแต่ค่ำคืนที่พบเจอเฉินฉางเซิง จนถึงคารวะเขาเป็นอาจารย์ และมาถึงตอนนี้เพียงแค่ระยะเวลาหลายสิบวัน ปลายฤดูใบไม้ผลิยังไม่ได้สิ้นสุด เฉินฉางเซิงสามารถหาหนทางการขับเคลื่อนพลังปราณแท้ทั้งหมดสามทางให้กับนาง นางเรียนรู้เคล็ดลับกระบี่ลมฝนจงซานทั้งสิบเจ็ดกระบวนท่าแล้ว!

ฤดูร้อนเพิ่งจะมาถึง การสอบเตรียมของการสอบใหญ่ก็สิ้นสุดลง

หนทางและตรอกซอยของจิงตูทั่วทั้งผืนครึกครื้น นักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาจากทุกหนทุกแห่งของต้าลู่ อาจจะดีใจอาจจะเศร้าโศกเสียใจ อาจจะใช้สุราเพื่อฉลองหรืออาจจะใช้สุรามาเพื่อแก้ทุกข์ หอสุราทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยลูกค้า ค่ำคืนยังไม่ได้มาเยือน หอสุราที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นต่างแขวนประดับโคมสีสันต่างๆ

ระยะนี้เฉินฉางเซิงเนื่องจากปัญหาการฝึกบำเพ็ญเพียร ความรู้สึกจึงตกต่ำเล็กน้อย เขารู้ว่าสิ่งที่ตึงจนเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี ตนจำต้องผ่อนคลายจิตใจเสียหน่อย ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดเขาจึงเดินออกมาจากสำนักฝึกหลวง ใช้เวลาครึ่งวันที่ล้ำค่าไปในการดูทิวทัศน์ ที่น่าสนใจหรืออาจจะเอ่ยได้ว่าทำให้ผู้คนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้ก็คือ เขาไม่ได้ไปพระราชวังหลีดูไม้เลื้อย และก็ไม่ได้ไปนับก้อนหินที่สะพานหน่ายเหอ แต่…พาลั่วลั่วเดินเข้าทางเข้าตรอกไป๋ฮวา นั่งเหม่อลอยอยู่ริมบ่อน้ำด้านล่างชายคา

ลั่วลั่วรับฟังและเชื่อมั่นเขามาตลอด ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร นางไม่เคยปริปากสิ่งใด นางคิดว่าเขาตัดสินใจทำสิ่งใดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ถูก ถึงแม้มองดูแล้วจะเหลวไหล แต่ด้านหลังจะต้องมีสิ่งที่ตนไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งซ่อนอยู่ชั่วคราว จนกระทั่งถึงวันนี้ ในที่สุดนางก็ไม่ยินดี

“อาจารย์…”

นางนั่งลงที่ตรงบันได จ้องมองตะไคร่น้ำที่อยู่บนปากบ่อน้ำ ปากเรียวเล็กงุ้มลง เตะใบไม้ที่อยู่ด้านหน้าด้วยความเบื่อหน่าย อยากจะบ่นโทษสองสามประโยค กลับไม่เอ่ยออกมา นางคิดว่ายากอย่างยิ่งที่จะได้ออกมา จะเดินไปไกลอีกสักนิดไม่ได้เชียวหรือ อยากไปเดินท่องเที่ยวกับอาจารย์ คิดแล้วก็คงจะมีความหมายอย่างยิ่ง

“เป็นอะไรหรือ”

เฉินฉางเซิงถือไอติมสองแท่ง พลางเอ่ย “ไม่อยากกินหรือ ข้าคนเดียวกินสองแท่งคงจะท้องเสียเป็นแน่”

ลั่วลั่วคิดในใจอาจารย์ยังคงเป็นห่วงตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงดีใจขึ้นมา รับเอาไอติมจากมือของเขา นั่งลงข้างๆ เขา จ้องมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอย่างเหม่อลอย

นางกัดแท่งไอติม พลางเอ่ยถาม “เหตุใดวันนี้ถึงคึกคักเช่นนี้”

เสียงกลืนไอติมของเฉินฉางเซิงดังขึ้น เขากัดไอติมที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เอ่ยว่า “ตอนซื้อไอติม ได้ยินผู้คนเอ่ยว่า การเตรียมสอบของการสอบใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว”

ลั่วลั่วเบิกตาโต “หา!”

เฉินฉางเซิงหันหน้ามองไปยังนาง เอ่ยถาม “ทำไมรึ น่าตกตะลึงมากหรือ”

ลั่วลั่วมองมาทางเขา เอ่ยด้วยความไม่มั่นใจ “ข้าคิดว่าพวกเราเหมือนจะลืมเรื่องอะไรไปบางอย่าง”

เฉินฉางเซิงเริ่มหวนคิดอย่างจริงจัง หัวคิ้วยิ่งนานยิ่งจะบีบเข้ามากัน ทันใดนั้นจึงผ่อนคลายลง

“ข้าคิดออกแล้ว พวกเราเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย”

ใช่แล้ว การเตรียมสอบของการสอบใหญ่สิ้นสุดลง ฤดูร้อนมาถึงแล้ว

การชุมนุมไม้เลื้อยก็คงจะต้องเรียกประชุมแล้ว

ลั่วลั่ว ถามขึ้นมา “พวกเราต้องไปหรือไม่”

เฉินฉางเซิงคิดไตร่ตรอง จึงเอ่ยว่า “ก็คงต้องไป”

ลั่วลั่ว เอ่ยถาม “แต่เหมือนกับว่าไม่มีผู้ใดมาแจ้งพวกเรา”

เฉินฉางเซิงกล่าวว่า “ถ้าหากสำนักการศึกษากลางลืมเสีย พวกเราก็ประจวบเหมาะที่จะไม่ต้องไป”

ลั่วลั่วเลียน้ำไอติมที่ไหลลงมาอย่างเอร็ดอร่อย พลางเอ่ยว่า “อืม เชื่อฟังอาจารย์”

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset