ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 41 จวงห้วนอวี่

มีคนนึกออก สำนักไม้เลื้อยทั้งหกยังมีสำนักฝึกหลวงอีกแห่งหนึ่ง คล้ายว่าห่างจากพระราชวังไม่ไกล คล้ายว่าเคยมีหน้ามีตา คล้ายว่าไม่มีข่าวคราวหลายปีแล้ว คล้ายว่าการชุมนุมไม้เลื้อยเมื่อหลายปีก่อนเดิมทีไม่มีที่นั่งของสำนักแห่งนี้ ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่ก็มิปาน

สำนักที่ถูกทิ้งไว้นานหลายปี สำนักที่ใกล้จะถูกผู้คนลืมเลือน คาดไม่ถึงยังมีคุณสมบัติเป็นสำนักไม้เลื้อยทั้งหก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีนี้การชุมนุมไม้เลื้อยจัดเตรียมที่นั่งในการชุมนุมผืนเล็กๆ ให้ใหม่เลยหรือ นี่เพราะเหตุใด หรือเพราะเป็นข่าวลือว่าปีนี้สำนักฝึกหลวงในที่สุดก็มีนักเรียนใหม่

ใช่แล้ว สาเหตุก็ง่ายดายเช่นนี้ ปีนี้สำนักฝึกหลวงมีนักเรียน ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย ราชวงศ์ต้าโจวแต่ไหนแต่ไรมาให้ความสำคัญกับประเพณีที่สืบทอดกันมา การชุมนุมไม้เลื้อยก็คือประเพณี ถึงแม้อาจารย์สำนักเทียนเต้าที่รับผิดชอบควบคุมการชุมนุมไม้เลื้อย ที่จริงแล้วปรารถนาให้สำนักฝึกหลวงถูกเปลวไฟแผดเผาให้ราบคาบเป็นหน้ากอง ใช้การชุมนุมในครั้งนี้ให้ออกจากประวัติศาสตร์เสีย แต่ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะปฏิเสธสำนักฝึกหลวงเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย แม้ว่านักเรียนของสำนักฝึกหลวงจะมีเพียงแค่สองคน

ผ้าม่านปลิวไสวตามสายลมยามค่ำคืน เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเดินเข้ามาด้านในอาคาร มุ่งไปยังทิศทางข้างหน้าสุดตามคำชี้นำของนักเรียนสำนักเทียนเต้าหลวงผู้นั้น

ภายในอาคารมีเสียงพูดคุยกันดังขึ้นมา บรรดานักเรียนหลายร้อยคนที่แยกย้ายนั่งตามที่นั่งต่างไม่รู้จักพวกเขา และผู้คนที่อยู่ในเขตรั้วไม้พยุงหอมก็ไม่รู้จักพวกเขา เมื่อเห็นทิศทางที่พวกเขาเดินเข้าไป บางคนเดาได้ว่าหนุ่มสาววัยรุ่นคู่นี้เป็นนักเรียนของสำนักฝึกหลวง สายตาของผู้คนทั้งหมดจ้องมองมาที่พวกเขา มีความตกตะลึงอยู่บ้าง ที่มากกว่านั้นก็คือแปลกประหลาดใจ

ในคำที่เล่าลือกันมา นักเรียนใหม่ของสำนักฝึกหลวงเป็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ดังนั้นสายตาส่วนใหญ่จึงจ้องมองที่เฉินฉางเซิง แต่ก็มีคนสนใจลั่วลั่วที่เดินตามเขาทุกฝีเท้า ถึงพบว่าหญิงสาวผู้นี้งดงามอย่างยิ่ง ราวกับแก้วก็มิปาน ดวงตาเปล่งประกายวาบขึ้นมาราวกับเคลือบมันไว้

ชายหนุ่มที่อยู่บนที่นั่งของสำนักเทียนเต้า รูปหน้างดงาม ท่าทางเย็นชา ถึงแม้จะนั่งอยู่ในการชุมนุมไม้เลื้อย แต่จิตใจกลับไม่ได้อยู่ที่นี่ ราวกับว่าเดิมทีไม่ได้สนใจการประลองฝีมือ ไม่ได้พยายามเผยให้เห็นถึงความทะนง แต่ทะนงตนเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

นักเรียนดีเด่นสิบกว่าคนของสำนักเทียนเต้าผู้เตรียมตัวที่จะเข้าร่วมการสอบใหญ่ มองแล้วคล้ายกับว่านั่งอยู่ข้างหลังของชายหนุ่มผู้นี้ตามอัธยาศัย แต่ชัดเจนยิ่งนักว่าเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ประหนึ่งภาพวาดดาวดวงหนึ่งที่ถูกล้อมรอบไปด้วยหมู่ดาว สามารถทำให้นักเรียนสำนักเทียนเต้าผู้ทะนงตนแสดงลักษณะท่าทางเช่นนี้ออกมา ยิ่งทำให้โดดเด่น ไม่ธรรมดากว่าผู้คนที่อยู่ที่แห่งนี้

ชายหนุ่มกำลังคิดถึงเรื่องเมื่อวานที่เจ้าสำนักได้กำชับไว้ ถ้าพรรคฉางเซิงได้ส่งคนออกมาก่อน ตนรับหน้าที่เป็นตัวแทนของสำนักเทียนเต้า ควรจะโต้ตอบอย่างไรเล่า การชุมนุมไม้เลื้อยปีนี้มีสำนักเทียนเต้าเป็นเจ้าภาพ เขาไม่อาจยินยอมให้ผู้คนทางทิศใต้เหล่านั้นช่วงชิงเกียรติยศของต้าโจวไป

ทันใดนั้น หางตาของเขาเหลือบไปเห็นเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว

ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ท่าทางแปรเปลี่ยน

นักเรียนเทียนเต้าสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขา มองคล้ายกับว่าสงบนิ่ง ที่จริงแล้วให้ความสนใจเขาตลอด เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของเขา อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง นักเรียนหนุ่มสาวจำนวนมากในอาคารกำลังจ้องมองลั่วลั่ว ล้วนรู้สึกตกตะลึงในความงดงาม แต่พวกเขายังคงหมดหนทางที่จะรับได้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับศิษย์พี่ของเขา

ใช่แล้ว นักเรียนหนุ่มสำนักเทียนเต้าผู้นี้ ก็คือจวงห้วนอวี่ในตำนาน อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นลำดับที่สิบ!

บุคคลเช่นนี้ จะแสดงท่าทางประทับใจในหญิงสาวที่เกิดมางดงามคนหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างไร

หญิงสาวผู้นี้แท้จริงแล้วคือใคร บรรดาผู้คนของสำนักเทียนเต้ามองไปยังเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว นักเรียนในจำนวนนั้นที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกับจวงห้วนอวี่ มองใบหน้าของลั่วลั่ว ทันใดนั้นจึงคิดบางอย่างออก เอ่ยเสียงเบาด้วยความตกใจ “นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องผู้นั้นหรือ นางมาได้อย่างไร”

ความเป็นมาของสำนักเทียนเต้ายาวนาน ในสำนักมีเรื่องเล่าเก่าแก่จำนวนนับไม่ถ้วน ที่นี่มีนักเรียนคุณหนูคุณชายผู้ล้ำเลิศจำนวนมากมายศึกษาและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังนั้นในสำนักจึงมีเรื่องเล่าแบบเด็กเยาว์วัยนับไม่ถ้วน ในเรื่องราวเหล่านั้นมีเรื่องหนึ่งที่สองปีมานี้เพิ่งจะเริ่มเล่าขานกัน

ในเรื่องเล่านั้น ในป่าด้านหลังของสำนักเทียนเต้า มีปีศาจผู้งดงามไม่สามารถแยกแยะได้ตนหนึ่ง บางครั้งบางคราวปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนราวกับหงส์ป่าที่ตกใจก็มิปาน ปีศาจตนนั้นมองแล้วคล้ายกับหญิงสาวที่น่ารักนางหนึ่ง มีเพียงผู้ที่มีจิตใจซื่อสัตย์จริงใจถึงจะสามารถมองเห็นนางได้

เรื่องราวไม่ใช่เรื่องจริงแน่นอน แต่มีเค้ามูลของความจริง ปีศาจสาวที่งดงามนางนั้น เป็นลั่วลั่วที่บางครั้งบางคราวไปศึกษาและไต่ถามความรู้กับคนของนางที่สำนักเทียนเต้า

จวงห้วนอวี่อยู่สำนักเทียนเต้ามีตำแหน่งพิเศษ เป็นธรรมดาที่จะไม่เชื่อเรื่องราวเหล่านี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์ให้เขาสอนตำรากับศิษย์น้องสองสามคนเป็นส่วนตัว เขาเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง แสงอาทิตย์ส่องกระทบเข้ากับใบหน้าของนาง นางงดงามราวกับแก้วที่มีสีสัน

เขาลุ่มหลงในการฝึกบำเพ็ญเพียร เดิมทีไม่ได้สนใจในความเรื่องราวความรักชอบของบุรุษสตรีแต่อย่างใด เขาอยู่ในสำนักมีตำแหน่งที่สูงส่งมาตลอด สำหรับสายตาที่ชื่นชอบของนักเรียนสตรีเหล่านั้น แม้แต่การมองจากที่สูงลงมาด้านล่างก็ไม่คุ้มค่าที่จะมอบให้ แต่เวลานี้ เขากลับไม่สามารถเคลื่อนสายตาไปที่อื่นได้

หลังจากนั้น เขาจึงพบนางหลายครั้งที่ห้องของอาจารย์

อาจารย์ของเขาก็คือเจ้าสำนักเทียนเต้า เขาฟังอาจารย์กับหญิงสาวผู้นั้นถกปัญหาทางด้านการฝึกบำเพ็ญเพียร คิดไม่ถึงว่าความเร็วในการไตร่ตรองปัญหาสามารถไล่ตามอาจารย์ได้ทัน ทำให้เขาตกตะลึงไม่น้อย หลังจากนั้นเขาพบว่า ผู้อารักขาข้างกายนางล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าความเป็นมาของนางไม่ธรรมดา

เขารู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย คิดว่าหญิงสาวผู้นี้คู่ควรที่ตนจะชื่นชอบ

ทว่า หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอนางอีกเลย

นางไม่ได้ปรากฏออกมาอีกเลย ราวกับว่าเดิมทีไม่เคยมาที่นี่

เขาไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใด เพราะว่านางหายไปทันทีทันใด เขาจึงเงียบขรึมเป็นเวลานาน เขากำลังคิด การไม่ได้ครอบครองคือสิ่งที่สุดแล้ว หรือว่า ความผิดพลาดจะทำให้คนจดจำได้ลึกซึ้ง มิเช่นนั้นเพราะเหตุใดตนถึงคิดถึงนางบ่อยๆ เล่า

เขาหวังให้นางปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาอีกสักครั้ง

ด้วยเหตุนี้ เขายินยอมละทิ้งความทะนงของตน กล่าวทักทายประโยคแรกกับนางก่อน

เวลานี้ เขารู้สึกว่าราวกับได้ยินเสียงหัวใจของตนแล้ว

ในการชุมนุมไม้เลื้อย นางปรากฏตัวออกมาอย่างไม่คาดคิดจริงๆ!

อีกทั้งภายใต้สายตาที่จ้องเขม็งมานับไม่ถ้วน นางกำลังเดินมาทางตน!

จวงห้วนอวี่จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ยืดตัวลุกขึ้น จ้องมองลั่วลั่วที่ยิ่งนานยิ่งใกล้เข้ามาอย่างสงบนิ่ง

นักเรียนสำนักเทียนเต้าที่อยู่รอบๆ ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดศิษย์พี่ยืนขึ้น นอกจากมองเห็นลั่วลั่วก็สามารถคาดเดาได้รางๆ ว่าเป็นเพราะเหตุใด ล้วนแต่คาดคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของสำนักเทียนเต้าที่ต้อนรับหนุ่มสาวสตรีบุรุษคู่นี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดศิษย์พี่สนใจเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเดินมาถึงที่นั่งประชุมของสำนักเทียนเต้า กำลังจะทำตามคำชี้นำของนักเรียนสำนักเทียนเต้าคนก่อนหน้านั้น เดินไปยังพื้นที่ตรงมุมทางนั้น คิดไม่ถึงว่าเวลานี้ที่นั่งของสำนักเทียนเต้าพลันมีผู้คนพรวดพราดยืนขึ้นสิบกว่าคน ทำให้เขาทำอะไรไม่ถูก เท้าจึงชะงักทันที

ริมฝีปากของจวงห้วนอวี่ค่อยๆ ยกขึ้น ราวกับหัวเราะอยากจะเอ่ยสิ่งใดออกมา

เขาเตรียมที่เอ่ยประโยคไม่เจอกันนานกับลั่วลั่ว

ทว่าในเวลาต่อมา ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเขายังไม่ได้แสดงออกมาพลันหายไป แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดังแต่ก่อน จนกระทั่งเพิ่มความเย็นชาเพราะว่าลั่วลั่วมองไม่เห็นเขา

ลั่วลั่วกำลังมองเฉินฉางเซิง

ตั้งแต่ค่ำคืนนั้นที่ข้ามกำแพงเข้ามาในสำนักฝึกหลวง เพียงแค่มีเฉินฉางเซิง สายตาของนางหากไม่อยู่ในตำรา ก็จะอยู่ที่ตัวของเฉินฉางเซิง ไม่มีเวลาไหน ทุกเวลา เวลานี้ก็ไม่ยกเว้น

นางจ้องมองเฉินฉางเซิง ในแววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

เลื่อมใสศรัทธากับทุ่มเทความรักมีเพียงแค่ตัวอักษรเดียวที่แตกต่างกัน จึงมักถูกเข้าใจผิดง่ายอย่างยิ่ง

จวงห้วนอวี่ไม่รู้ว่ามองผิดหรือไม่ แต่จิตใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นย่ำแย่อย่างยิ่ง

ในสายตาของข้ามีเพียงเจ้า สายตาของเจ้ากลับมีผู้อื่น เดิมทีนี่เป็นเรื่องบนโลกมนุษย์ที่ทำให้ผู้คนโกรธแค้น

เมื่อหางตาของเขามองเห็นมือของลั่วลั่วกำลังฉุดแขนเสื้อของเฉินฉางเซิง ความโกรธแค้นจึงถึงขีดสูงสุด

จวงห้วนอวี่ไม่ได้ทำสิ่งใด

เขาคือผู้มีพรสวรรค์อยู่อันดับสิบของประกาศชิงอวิ๋น เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเทียนเต้า เขาเป็นตัวแทนมากมาย และแบกรับมากมาย

ดังนั้นเขาไม่สามารถโมโหง่าย ยิ่งไม่สามารถลืมตัวเพราะเรื่องพรรค์นี้

เขาจ้องมองเฉินฉางเซิง ทำความเคารพอย่างสงบ

ความสูงของแขนที่ยกขึ้นมา ระยะห่างระหว่างแขนเสื้อกับข้อมือ ล้วนแต่สมบูรณ์แบบ

เพียงแค่แววตาของเขาสงบนิ่งเกินไป เย็นชาเกินไป

เฉินฉางเซิงตะลึงเล็กน้อย ทำความเคารพกลับด้วยความสงบ

ความสูงของแขนที่ยกขึ้นมา ระยะห่างระหว่างแขนเสื้อกับข้อมือ ล้วนแต่สมบูรณ์แบบ

แววตาของเขาคล้ายกับว่างุนงง หาคำตอบไม่ได้

ทั่วทั้งอาคารสงบนิ่ง

จวงห้วนอวี่ปล่อยมือทั้งสองข้างลง

เฉินฉางเซิงจึงทำตาม

ไม่รู้ว่ามีเสียงมาจากที่ใด เหมือนกับว่ามีคนกลั้นหายใจเป็นเวลานาน ในที่สุดจึงถอนออกมา

ล้วนแต่เป็นมารยาทที่มีบรรทัดฐานที่สุด แต่ในสายตาของฝูงชน จวงห้วนอวี่สง่างามไร้ที่ติ เฉินฉางเซิงระแวดระวังพูดน้อย ผู้ใดเก่งกาจมองแวบเดียวก็ดูออก

ในความเป็นจริง นี่เป็นเพราะว่าเขาคือจวงห้วนอวี่ แต่เฉินฉางเซิงคือคนที่ไม่มีชื่อเสียง

จวงห้วนอวี่มองลั่วลั่ว กล่าวถาม “ศิษย์น้อง นานแล้วไม่ได้เจอ”

เขาเอ่ยออกมาตามสบายอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงเขาจริงจังอย่างยิ่ง ถึงขนาดเปรียบกับครั้งแรกที่ได้เจอบิดาผู้ให้กำเนิดคงจะจริงจังมากเสียกว่า

ลั่วลั่วเบิกตาโต จ้องมองเขาชั่วครู่ พลันคิดอะไรบางอย่างออก ยิ้มพลางเอ่ยว่า “อ้อ เป็นเจ้านั่นเอง ไม่ได้เจอกันนาน”

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของนางน่ารักอย่างยิ่ง

จวงห้วนอวี่กลับรู้สึกว่าน่าเกลียด

เขายอมหากนางจำไม่ได้ว่าตนคือผู้ใด และไม่เหมือนกับตอนนี้ ที่ต้องครุ่นคิดระยะเวลาหนึ่งถึงคิดออกว่าตนคือผู้ใด

ข้าคือใคร ข้าคือจวงห้วนอวี่

ไม่ว่าผู้ใดที่เคยเจอข้า ล้วนแต่ไม่สามารถลืมข้า

เจ้าลืมข้าได้อย่างไร

เพราะเหตุใดเจ้าแสร้งจำข้าไม่ได้

นี่คือการล้อเล่น หรือคือการยั่วเย้ากัน

ในใจของเขาราวกับคลื่นที่ซัดโหมกระหน่ำบ้าคลั่ง ลักษณะท่าทางกลับสงบนิ่งเป็นปรกติ

ในตอนที่…เขากำลังเตรียมที่จะเอ่ยบางอย่าง ดังเช่นถ้าหากไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ใกล้จะลืมท่าทางของศิษย์น้องอยู่แล้ว ลั่วลั่วฉุดแขนเสื้อของเฉินฉางเซิงออกจากที่นั่งของสำนักเทียนเต้า มุ่งไปยังมุมทางนั้น และยังพูดคุยอะไรบางอย่างดีอกดีใจกับเฉินฉางเซิง

เหลือเพียงแค่ภาพด้านหลังให้กับจวงห้วนอวี่

จวงห้วนอวี่จ้องมองภาพด้านหลังของเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด

เขาไม่ได้สนใจการถกปัญหาของการชุมนุมก่อนหน้านี้ ในใจครุ่นคิด ศิษย์น้องเจ้ายังคงเป็นนักเรียนของสำนักเทียนเต้า เพราะเหตุใดจะต้องจากไป

เมื่อเขาจ้องมองเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วเดินไปยังพื้นที่ว่างผืนนั้น จึงรู้ว่า ที่แท้พวกเขาเป็นตัวแทนของสำนักฝึกหลวง

เขาเอ่ยถาม “หนุ่มน้อยผู้นั้นคือเฉินฉางเซิงรึ”

นักเรียนสำนักเทียนเต้าที่ก่อนหน้านี้รับหน้าที่ในการชี้นำทิศทางไม่รู้ว่ารีบมาตั้งแต่เมื่อใด จึงตอบรับเสียงเบา

“ถึงว่าช่างน่าสนใจยิ่งนัก”

จวงห้วนอวี่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดมากกว่านี้ ถือส่วนหน้าของชุดที่สวมใส่สะบัดขึ้นเบาๆ นั่งลงไปยังที่นั่งอีกครา

ท่าทางของเขายังคงไม่ใส่ใจ หากความจริงแล้วความรู้สึกของเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset