ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา – ตอนที่ 42 เสียงหัวเราะ

ฐานะของสำนักฝึกหลวงอยู่ระดับเดียวกับสำนักไม้เลื้อยห้าสำนักที่เหลือ แต่อยู่ในมุมด้านในสุด ลับตาคนอย่างยิ่ง ทั้งยังมีที่นั่งยาวเพียงตัวเดียว มองแล้วยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกเงียบเหงาไม่มีสง่าราศี แต่เฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วไม่ได้สนใจกับเรื่องพรรค์นี้ นั่งลงตามสบาย

“เจ้ารู้จักนักเรียนสำนักเทียนเต้าคนก่อนหน้านั้นรึ” เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม

ลั่วลั่วครุ่นคิด จึงกล่าวว่า “เมื่อก่อนมาสำนักเทียนเต้า เคยเจอหลายครั้ง”

เฉินฉางเซิงคิดถึงรูปภาพดาวดวงหนึ่งถูกรายล้อมไปด้วยหมู่ดาว พลางเอ่ยว่า “มองแล้วคงจะมีชื่อเสียงใช่หรือไม่”

ครั้งนี้ลั่วลั่วไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิด “จวงห้วนอวี่ ผู้คนจำนวนมากเรียกเขาว่าองค์ชายห้วนอวี่”

เฉินฉางเซิงนึกถึงตอนที่ตนอยู่ตรงกำแพงแผ่นหินที่หอจงซื่อ คล้ายกับว่าเคยเห็นชื่อนี้อยู่อันดับต้นๆ ของการประกาศชิงอวิ๋น คิดว่าลั่วลั่วไม่ต้องไตร่ตรองอะไรก็สามารถเอ่ยชื่อของคนผู้นี้ได้ตรงๆ จึงเอ่ยหยอกล้อ “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้ชื่อของเขา”

ลั่วลั่วเบ้ปากพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ ท่านเพิ่งเอ่ยไปแล้ว เขามีชื่อเสียงอย่างยิ่ง”

เฉินฉางเซิงเอ่ย “ตามนิสัยของเจ้า มีชื่อเสียงมากกว่านี้ก็คงจะไม่รู้จัก”

ลั่วลั่วแลบลิ้นออกมาด้วยความเขินอาย กล่าวว่า “ห่างกันใกล้อย่างยิ่ง คงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักชื่อเขา”

เฉินฉางเซิงไม่ได้ฟังประโยคของนางเข้าใจอย่างถ่องแท้ คิดว่านางเอ่ยเป็นเรื่องเมื่อตอนศึกษาอยู่ที่สำนักเทียนเต้า เขามองไปยังทิศทางที่นั่งของสำนักเทียนเต้า มั่นใจว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มองตกหล่น รู้สึกไม่เข้าใจ พลางเอ่ย “เจ้าเด็กนั้นคิดไม่ถึงว่าจะไม่มาจริงๆ”

ลั่วลั่วรู้ว่าเขาเอ่ยถึงผู้ใด ถามด้วยความแปลกใจ “อาจารย์ ท่านรู้จักถังซานสือลิ่วจริงหรือ”

เฉินฉางเซิงกล่าว “ถึงแม้จะไม่รู้ว่ารู้จักเขาได้อย่างไร…แต่ รู้จักแน่นอน”

ระหว่างที่พูดคุย ภาระหน้าที่ต้องจัดเตรียมของการชุมนุมไม้เลื้อยได้เสร็จสิ้น ที่นั่งประชุมด้านล่างม่านล้วนถูกจับจองจนเต็ม อาจารย์และนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหกต่างมาถึงอาคารหมดแล้ว คนสุดท้ายที่เข้ามาก็คืออาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าเจ้าภาพการชุมนุมไม้เลื้อยปีนี้ รวมถึงผู้ยิ่งใหญ่สองท่านที่เป็นตัวแทนของราชสำนักกับนิกายหลวง

ใต้เท้ามุขนายกสำนักการศึกษากลางแห่งนิกายหลวงเหมยหลี่ซา รวมทั้ง…ขุนพลเทพกองทัพอวี้ตงสวีซื่อจี

เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองเข้ามาในอาคาร อาจารย์กับนักเรียนในอาคารยืดตัวขึ้นคำนับพร้อมกัน ราวกับสายน้ำที่หลั่งไหลมิปาน

เหมยหลี่ซาควบคุมสำนักการศึกษากลางมานานหลายปี มีอิทธิพลต่อบรรดาสำนักที่อยู่ในจิงตู สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เขาเป็นคนใกล้ชิดกับใต้เท้าสังฆราช ผลตอบแทนของสวีซื่อจีขุนพลเทพอวี้ตงเทียบไม่ได้กับหัวหน้าสำนักการศึกษากลาง แต่หลายปีมานี้ความดีความชอบในการรบโดดเด่น จึงได้รับความไว้วางใจและให้ความสำคัญจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก และทั่วทั้งต้าลู่ต่างล่วงรู้ เขาให้กำเนิดบุตรสาวที่ดีคนหนึ่ง

การชุมนุมไม้เลื้อยก็คือการประชุมของหนุ่มสาวในต้าโจวที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทุกที่นั่งล้วนแต่เป็นคนหนุ่มสาวอัจฉริยะจับจองนั่งจนเต็ม แต่เมื่อคิดถึงสตรีที่อายุสี่สิบปีบนเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้เงยหน้ามองรายชื่อบนประกาศชิงอวิ๋นที่ไม่สามารถสูญสลายตามกาลเวลาราวกับใช้มีดสลักเข้าในทองสัมฤทธิ์ ใครจะกล้าเรียกตนเองว่าผู้มีพรสวรรค์

เฉินฉางเซิงจ้องมองสวีซื่อจีที่นั่งอยู่ทิศทางบนสุด ท่าทางสงบนิ่ง ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน มีเพียงแค่ลั่วลั่วที่สังเกตเห็น การถอดทอนหายใจของเขาถี่กว่าปกติเล็กน้อย แม้ยังคงราบเรียบ แต่ที่จริงแล้วถี่เล็กน้อย หลังจากคบค้าสมาคมกันมาหลายวัน นางรู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้กำลังแทนอารมณ์ที่ไม่สุขุมมั่นคง

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงพบเจอสวีซื่อจี

ในความเป็นจริง วันนี้เขายินยอมเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อย สาเหตุหนึ่งในนั้นก็คืออาจารย์ซินบอกเขาว่า สวีซื่อจีถูกเชิญให้เข้าร่วม เขาคิดว่าคนผู้นี้เกือบจะเป็นพ่อตาของตน และก็เกือบจะทำให้ตนจมดิ่งจนเป็นคนที่ไม่อาจจะฟื้นขึ้นมาได้อีก

สวีซื่อจีมองแล้วเหมือนเป็นเพียงแค่บุรุษวัยกลางคนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เฉินฉางเซิงจ้องมองเขาจากที่ไกล รับรู้ถึงลมปราณน่าเกรงขามที่ซ่อนเร้นอยู่และยังมีกลิ่นอายคาวโลหิตอ่อนๆ คิ้วที่งดงามได้รูปพลันขยับขึ้น ปีกจมูกขยับเบาๆ นี่เป็นกลิ่นที่เขาไม่ชื่นชอบ

เขาคิดไปถึงฮูหยินสวีที่เคยพบในจวนขุนพลเทพ คิดไปถึงหลังจากมาถึงจิงตูได้รับความอัปยศอดสูกับความพ่ายแพ้ ไหล่ทั้งสองพลันยกสูงขึ้น ความเร็วของปีกจมูกขยับยิ่งนานยิ่งเร็วขึ้น เวลาเดียวกันการถอดทอนหายใจยิ่งนานยิ่งหนักหน่วง

คู่สามีภรรยาเช่นนี้ให้กำเนิดบุตรธิดา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสายเลือดหงส์กลับชาติมาเกิด สวรรค์แท้ที่จริงยากที่จะเป็นธรรม

ลั่วลั่วสังเกตท่าทีโต้ตอบของเขาอยู่ตลอด รู้ว่าอารมณ์เขาตอนนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถทนไว้ได้ เอ่ยถามเสียงเบาด้วยความระมัดระวัง “อาจารย์ มองแล้วความสัมพันธ์ของท่านกับสวีโหย่วหรงคงไม่ดีจริงๆ …แท้จริงแล้วเพราะเหตุใด”

เฉินฉางเซิงตะลึงงัน เอ่ยว่า “คิดว่าเจ้าคงสามารถทนได้ตลอดไม่ถามเสียอีก”

ลั่วลั่วฉุดแขนเสื้อเขา กระเง้ากระงอดส่ายไปมา พลางกล่าวว่า “ข้าแค่แปลกใจเท่านั้นเอง”

เฉินฉางเซิงจำใจเอ่ย “ข้ารับปากผู้อื่นไว้ เรื่องนี้ไม่สามารถเอ่ยได้จริงๆ”

เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะคิดไม่ถึง ภาพที่เข้าใกล้คุยสัพเพเหระด้วยเสียงเบามองแล้วสนิทสนมอย่างยิ่ง และคงยิ่งคาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของจวงห้วนอวี่

ท่าทางของจวงห้วนอวี่ยังคงสงบนิ่งเหมือนกับปกติ

ยังมีอีกหนึ่งคนที่มองเห็นเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่วพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ท่าทางของเขากลับไม่สงบนิ่ง

อาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้าชักสายตากลับมาจากมุมนั้น สีหน้าเยือกเย็นจนถึงขีดสุด แต่ที่แปลกใจก็คือ เขาไม่ได้ตำหนิเฉินฉางเซิงกับลั่วลั่ว และก็ไม่ได้ถือโอกาสเอ่ยออกมาด้วยความเคียดแค้นสำนักฝึกหลวง แต่ยังคงรักษาความนิ่งเงียบต่อไป

การชุมนุมไม้เลื้อยใช้กฎระเบียบเช่นเดียวกับการสอบใหญ่ แบ่งเป็นสามแบบ การสอบความรู้ วิทยายุทธ์ และการประลอง การเรียงลำดับการทดสอบสามารถปรับได้ตามความต้องการ แต่ในนี้ยังมีกฎระเบียบอีกมากมาย เวลานี้ล้วนแต่ออกมาจากปากของอาจารย์ผู้ดูแลสำนักเทียนเต้า

บรรดานักเรียนที่นั่งอยู่ด้านล่างของผ้าม่าน ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เหมือนนักเรียนของสำนักไม้เลื้อยทั้งหก มีอาจารย์และศิษย์พี่ค่อยอธิบายกฎระเบียบของการสอบใหญ่อย่างละเอียด การชุมนุมไม้เลื้อยในวันนี้เท่ากับว่าราชสำนักให้โอกาสในการแสดงฝีมือก่อนจะถึงวันจริง เป็นธรรมดาจะต้องเพิ่มความตั้งใจมากขึ้น

เฉินฉางเซิงก็ตั้งใจฟังอย่างยิ่ง ไม่พลาดแม้แต่อักษรเดียว ถึงแม้สำนักฝึกหลวงเองก็เป็นหนึ่งในสำนักไม้เลื้อยทั้งหก แต่เขาไม่มีอาจารย์ ทั้งหมดล้วนแต่ต้องมาด้วยตนเอง เขามาเข้าร่วมการชุมนุมไม้เลื้อยในวันนี้ นอกจากอยากมาดูบิดาของสวีโหย่วหรง สิ่งสำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเหตุผลนี้

ความหมายชื่อของการชุมนุมไม้เลื้อยก็คือการชุมนุม แต่ในความเป็นจริงคือการแสดงฝีมือของการสอบใหญ่ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นกังหันลมเสียมากกว่า นอกจากลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของนิกายพรรคทางทิศใต้เหล่านั้นแล้ว ลำดับสุดท้ายของการชุมนุมไม้เลื้อย พื้นฐานแล้วจะเหมือนกับลำดับสุดท้ายของการสอบใหญ่ ถึงแม้มีการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มากมาย การบำเพ็ญเพียรจะต้องอาศัยกาลเวลาสั่งสม ใช้เวลาขัดเกลา จากการชุมนุมไม้เลื้อยมีระยะเวลาเพียงครึ่งปีก็ถึงการสอบใหญ่ แล้วจะสามารถทำให้ความสามารถของคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงจนพลิกฟ้าได้รึ

การชุมนุมไม้เลื้อยในปีนี้ ตอนนี้เฉินฉางเซิงแม้แต่การชำระล้างกระดูกยังไม่สำเร็จ ยังคงเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ์ แต่กลับคิดจะเอาประกาศแรกลำดับแรกของการสอบใหญ่ในปีหน้า ไม่แปลกที่ถังซานสือลิ่วคิดว่าเขาคือคนโง่เง่าหรือว่าตนคือคนโง่เง่า นอกจากลั่วลั่ว ใครเล่าจะเชื่อเขา

วกกลับมากล่าวถึงการชุมนุมไม้เลื้อย ถึงแม้ว่านักเรียนที่เข้าร่วมผ่านการเตรียมสอบบางครั้งบางคราจะทำให้ผู้คนบนโลกดีใจและแปลกประหลาดใจอย่างยิ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้ว ก็ยังคงเป็นนักเรียนของสำนักใหญ่ๆ เหล่านั้นที่เป็นผู้มีบทบาท การชุมนุมไม้เลื้อยสิบปีมานี้ สุดท้ายแล้วแปรเปลี่ยนเป็นการประลองฝีมือของบรรดาสำนักใหญ่ๆ เสียมากกว่า

การชุมนุมไม้เลื้อยมีทั้งหมดสามคืน คืนนี้เป็นคืนแรก ประจวบเหมาะว่าเป็นการประลองพอดี หรือจะพูดอีกอย่างว่า เดี๋ยวอีกสักครู่ก็คงจะคึกคักอย่างยิ่ง บรรดาผู้ชมการต่อสู้รวมถึงสวีซื่อจีและขุนนางทั้งหลายต่างก็คิดว่าปีนี้สำนักเทียนเต้าเป็นเจ้าภาพ มิรู้ว่าจะปล่อยวางความสงบเสงี่ยมแล้วให้จวงห้วนอวี่ขึ้นแสดงฝีมือหรือไม่

จวงห้วนอวี่อยู่ในประกาศชิงอวิ๋นอันดับสิบ มองแล้วยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง เพียงคิดไปถึงว่าสำนักเทียนเต้าที่เลื่องชื่อเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าลู่ และเขาก็คือผู้แทนของเทียนเต้า เช่นนี้ก็มีบางสิ่งที่ทำให้กล่าวออกไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเหนือสวีโหย่วหรงผู้มีสายเลือดหงส์กลับชาติมาเกิด แต่ลำดับนี้ก็อยู่รั้งท้ายเกินไปเสียหน่อย

มีเพียงบุคคลที่เหมือนดังสวีโหย่วหรงถึงจะล่วงรู้ ดังนั้นเพราะเหตุนี้ เพราะตั้งแต่สองปีก่อนจวงห้วนอวี่ได้ต่อสู้กับหนึ่งในเจ็ดยอดฝีมือดินแดนเทพ หลังจากได้รับตำแหน่งอยู่ในอันดับที่สิบของประกาศชิงอวิ๋น ก็ไม่ได้ท้าประลองกับผู้มีพรสวรรค์ที่อยู่อันดับก่อนหน้า

เช่นนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเขาขี้ขลาดตาขาว เพียงเพราะเมื่อสองปีก่อนเขาอายุสิบห้าปีแล้ว เวลานั้นชิวซานจวินออกจากประกาศชิงอวิ๋น เริ่มเข้าไปอยู่ในอันดับแรกของประกาศเตี่ยนจิน เขาคิดว่าเพราะเหตุนี้ ประกาศชิงอวิ๋นจึงมิได้มีความหมายใดๆ ต่อตนอีก

แล้วค่ำคืนนี้ จวงห้วนอวี่จะลงต่อสู้หรือไม่

นักเรียนที่แยกย้ายนั่งตามที่นั่งประชุมสามารถสมัครเข้าร่วมการต่อสู้ได้ด้วยตนเอง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายากจะชนะนักเรียนสำนักไม้เลื้อยทั้งหกที่มีอาจารย์มีชื่อเสียงคอยสอน แต่คิดแล้วการชุมนุมไม้เลื้อยน้อยครั้งที่จะพลาดพลั้งจนเกิดเหตุการณ์เลือดตกยางออก และก็เป็นโอกาสที่หายากในการพัฒนาฝีมือ ดังนั้นจึงกระโจนกันเข้าไปสมัคร ต่อจากนั้น สำนักที่เหลือของสำนักไม้เลื้อยทั้งหกก็สมัครนักเรียนเข้าร่วมการต่อสู้ นอกจากอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้ากับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่าน ผู้ใดก็ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วมีใครสมัครไปบ้าง

ท้ายที่สุด ก็เหลือเพียงแค่สำนักฝึกหลวง

เฉินฉางเซิงได้รับการยืนยันจากอาจารย์ซินมาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ฟังอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าอย่างชัดเจน รู้ว่าตนกับลั่วลั่วมีคุณสมบัติสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของการชุมนุมไม้เลื้อย ดังนั้นสามารถเข้าต่อสู้ได้ แต่นี่ไม่ได้แสดงว่าตนกับลั่วลั่วจะต้องเข้าร่วมการต่อสู้

การชุมนุมไม้เลื้อยอย่างไรเสียก็ไม่ใช่การสอบใหญ่ ความสามารถของเฉินฉางเซิงตอนนี้ ลงต่อสู้…ก็คงจะทำได้ไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจะไม่ลงต่อสู้อย่างแน่นอน

นี่คือความคิดของเขา ทว่ามีคนอยากจะบังคับให้เขาลงสนาม บังคับจนเขาลงต่อสู้อย่างไม่ค่อยจะดีนัก

อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าจ้องมองที่มุมนั้น ใบหน้าไร้ความรู้สึก กล่าวว่า “รายชื่อของสำนักฝึกหลวงล่ะ”

ตามกฎเกณฑ์การชุมนุมไม้เลื้อยปีที่แล้ว หากไม่สมัครก็คือยินยอมไม่ต่อสู้ ยอมแพ้ เพียงแค่เปลี่ยนคู่ต่อสู้ให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างสมศักดิ์ศรีก็เท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เคยมีผู้ใดเปิดเผยออกมา เพราะว่าเกี่ยวเนื่องไปถึงเกียรติของสำนัก การบีบบังคับฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าผลจะปรากฏอย่างไร

ค่ำคืนนี้ อาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าได้ทำเช่นนี้ เขาไม่สนเกียรติของสำนักฝึกหลวง และยิ่งไม่ใส่ใจว่าผลจะเกิดเช่นไร เพียงแค่หลังจากเจ้าเด็กทั้งสองของสำนักฝึกหลวงได้รับความอับอาย จะมีความสามารถทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้อย่างไร นั่นคือเรื่องน่าขบขัน

คำพูดของอาจารย์ดูแลสำนักเทียนเต้าดังสะท้อนเข้ามาในอาคาร

ทั่วทั้งผืนเงียบสงบ

เวลาผ่านไปชั่วครู่ อาจเพราะว่ามองโต๊ะนั่งที่ซอมซ่อของสำนักฝึกหลวงกับคู่หนุ่มสาวที่เงียบนิ่ง หรือเพราะคิดไปถึงสภาพทรุดโทรมของสำนักฝึกหลวง ความเป็นมาที่โศกเศร้าเวทนา และยังมีอากัปกิริยาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชที่มีต่อสำนักแห่งนี้…

ทั่วทั้งอาคารมีเสียงหัวเราะ

มีเผลอยิ้มออกมา ยังมีหัวเราะเยาะ

มีเสียงหัวเราะที่ไม่มีความหมาย มีเสียงหัวเราะที่มีความหมาย

ล้วนแต่แสบแก้วหู

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ตลอดชีวิตของ เฉินฉางเซิง นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ เริ่มต้นจากกลิ่นหอมประหลาดที่แผ่กำจายออกมาจากตัวทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตเกิดความหิวกระหาย ตามมาด้วยร่างกายที่อ่อนแอเสียจนทำให้ไม่อาจบำเพ็ญเพียรได้ สุดท้ายจบลงที่อาการป่วยที่ทำให้ชีวิตของเขามิอาจยืนยาว ตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาเขาทำได้แค่ท่องตำราจำนวนหลายพันเล่ม แม้จะรู้ว่าอาการป่วยมิอาจรักษา บางทีมันจะเป็นโชคชะตา แต่เขาก็อยากจะท้าทายลิขิตฟ้านี้ดูสักครั้ง เขามิใช่คนเก่ง แต่เขาอยากลอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นเส้นทางการพลิกโชคชะตาของเขา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset